ชยานนท์รู้สึกตัวเพราะเสียงอึกทึกจากนอกประตูห้องพัก ใช้เวลาไม่นานสำนึกรู้ต่างๆ ก็กลับมาจากการหลับลึกครบถ้วน แต่เขายังนอนนิ่งบนฟูก เงี่ยหูฟังเสียงความวุ่นวายที่ค่อยๆ เบาลงจนทุกอย่างกลับมาสงบอีกครั้งจึงถอดผ้าปิดตาโยนไว้ข้างหมอน เปิดดวงตามองเพดานห้องอยู่อีกครู่ใหญ่ แสงสีส้มอ่อนจางที่ฉายผ่านม่านโปร่งเข้ามาทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว
เขายกนาฬิกาข้อมือแบบแอนะล็อก ที่สวมติดตัวตลอดเวลาขึ้นดู เข็มสั้นและเข็มยาวบอกเวลาห้าโมงเศษ ชยานนท์ลุกออกจากฟูก พับผ้าห่มและจัดหมอน ก่อนเดินไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ เขาอดเสียดายไม่ได้ที่วันนี้ตื่นสายกว่าปกติ
ดวงอาทิตย์เกือบหายลับขอบฟ้ากว่าชยานนท์จะเริ่มชงกาแฟแก้วแรก เขายกโมก้าพ็อต ซึ่งเดือดได้ที่ลงจากเตาไฟฟ้า รินกาแฟดำจากหม้อต้มใส่แก้วมัคสีฟ้าอ่อนใบโปรด เติมน้ำตาลทรายแดงและผงโกโก้อย่างละสองช้อน ตามด้วยนมอุ่นจากไมโครเวฟ คนกาแฟอย่างไม่ใส่ใจแล้วจึงยกกาแฟที่พร้อมสำหรับการดื่มขึ้นจิบ สีหน้าอิดโรยเคร่งเครียดผ่อนคลายลงเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลและคาเฟอีน ชยานนท์สูดลมหายใจเข้าพร้อมควันกาแฟ ไอละอองของผงบดหยาบจากดอยสะเก็ด คั่วกลาง ปนกลิ่นถั่วเล็กๆ ผสมนมและผงโกโก้ ม้วนเป็นสายกรูเข้าปอด ทั้งยังผลักความเหนื่อยล้าสะสมออกมาพร้อมลมหายใจออก
จิบกาแฟได้สองสามคำจากเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ เขาก็ย้ายตัวเองไปที่ส่วนห้องทำงาน ชยานนท์นั่งลงบนโซฟาเบดที่ตั้งชิดผนังฝั่งขวา จิบกาแฟต่ออีกอึก สติไม่อยู่กับตัว อันที่จริงมันไม่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เขาตั้งโมก้าพ็อตบนเตาแล้ว เขาเพียงปล่อยให้ทุกกิจกรรมเป็นไปตามการจดจำของไขสันหลัง
ระหว่างนั้น ชยานนท์ปล่อยสายตาลอยออกไปนอกกระจกหน้าต่างที่ม่านรูดปิดไว้เพียงครึ่ง มันจับนิ่งอยู่กับท้องฟ้าซึ่งค่อยๆ สลัวลงตามลำดับ ในวินาทีที่พระอาทิตย์มุดหายไปเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่เพียงแอบซ่อนอยู่หลังหมู่อาคารหนาแน่นแต่ยังเปล่งแสงสุดท้ายอย่างห้าวหาญ ความมืดก็ไต่เข้าปกคลุมทั้งห้องอย่างรวดเร็ว พวกมันออกมาจากหลืบข้างประตูห้องซึ่งอยู่ด้านในสุด กระโจนใส่เครื่องเรือนทุกชิ้นและพื้นที่ทุกตารางเมตร ไม่ว่าเพดาน ผนังหรือพื้นพวกมันล้วนเกาะแน่น ซ้ำยังทักทายกับความเปลี่ยวดายข้นเข้มในบรรยากาศอย่างสนิทสนม ความมืดคืบและคลาน ค่อยๆ ยืดขยายร่างเข้าโอบล้อมชยานนท์ที่นั่งชันขากอดแก้วมัคไม่ติงไหว ก่อนจะสะดุ้งหนีเข้าที่ซ่อนเมื่อไฟจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ใกล้บานหน้าต่างห้องวาบขึ้น
ความมืดเจ็บใจที่มันไม่เคยครอบครองกรุงเทพฯ ได้อย่างแท้จริง
เขาจิบกาแฟต่อไปในความสลัวที่มีป้ายโฆษณาเป็นแหล่งกำเนิดแสง ดวงตาเหม่อคว้างไกลออกไปที่ใดสักแห่ง ความคิดเตลิดลอยล่องไม่ปะติดปะต่อ ทรงจำซ้อนทรงจำผุดวาบแล้วเลือนหายจับต้องไม่ทัน สติของชยานนท์กลับเข้าที่ทางเมื่อกาแฟหยดสุดท้ายไหลผ่านหลอดอาหาร เขากะพริบตาเชื่องช้า ถอนใจยาวแล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ หลอดฟลูออเรสเซ้นส์กะพริบสองสามทีก่อนเปล่งแสงจ้า แสงขาวขับไล่ความมืดที่แอบซ่อนอยู่ตามหลืบและมุมต่างๆ ให้กระเจิดกระเจิง รวมถึงทำให้ดวงตาของชยานนท์พร่าเลือนไปชั่วขณะ รอจนสายตาปรับได้กับแสงจ้าเขาจึงลุกจากโซฟาเบดไปที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่อีกฟาก และนั่งลงจัดการต้นฉบับที่เขียนค้างไว้จากเมื่อวานอย่างตั้งอกตั้งใจ
ชยานนท์เป็นนักเขียนอาชีพ เขาเริ่มเขียนงานชิ้นแรกตอนอายุสิบเจ็ดปีเพื่อส่งประกวดโครงการเรื่องสั้นสยองขวัญ เมื่อชนะรางวัลที่หนึ่งและได้ออกหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกก็มีแรงบันดาลใจในการเขียนมาตลอด ปัจจุบันเขาอายุยี่สิบสี่ปี มีผลงานตีพิมพ์เป็นรูปเล่มกับสำนักพิมพ์ห้าหกฉบับในประเภทสยองขวัญ ที่ตีพิมพ์เองอีกสองฉบับเป็นนิยายไซไฟ หลังจากนั้นเขาผันตัวมาเป็นนักเขียนนิยายรายตอน หารายได้หลักจากการลงผลงานสัปดาห์ละครั้งบนเว็ปไซต์สำหรับเผยแพร่นิยายออนไลน์ที่สามารถตั้งราคาขายรายตอนได้
ผลงานชิ้นล่าสุดของชยานนท์เป็นนิยายแนวยุทธภพ มีผลตอบรับดีประมาณหนึ่งและรักษาความนิยมไว้ได้ต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อคำนวณรายได้จากจำนวนเนื้อหากว่าสองร้อยบท แม้ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์กับเว็ปไซต์เขาก็ยังมีรายได้ต่อเดือนเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแบบไม่ขัดสนตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
เนื้อหาส่วนที่เขากำลังปรับแก้เป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวความยาวกว่าสองร้อยบท ชยานนท์จึงมุ่งมั่นกับมันยิ่งกว่าที่เคยมุ่งมั่น เขาปล่อยตัวเองให้จมหายเข้าไปสิงสู่ความคิดของตัวละครหลัก ทั้งอนุญาตให้มันสวมใส่ร่างกายของเขาเพื่อนำพาไปสู่ฉากจบของเรื่องราวสุดท้ายอย่างสมบูรณ์แบบ
การจมหายไปในโลกสมมุติที่สร้างขึ้นมาไม่มีวันและเวลา หนึ่งชั่วโมงอาจโบยบินผ่านไปในพริบตาเดียว ชยานนท์จึงต้องตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อถอนตัวเองกลับมายังความเป็นจริง เมื่อนาฬิกาข้อมือร้องเตือนเวลาสองทุ่ม ร่างกายที่คล้ายจะหยุดนิ่งไปกว่าสองชั่วโมงของชยานนท์ ระหว่างถ่ายทอดความคิดจากสมองไปสู่ปลายนิ้วจึงเคลื่อนไหวเปลี่ยนท่า เขาหายใจยาวหลายครั้งราวกับเมื่อครู่ลืมหายใจ ลูบใบหน้าและดวงตาครู่หนึ่งจึงตรวจทานต้นฉบับตอนสุดท้ายและแก้ไขคำผิดอีกหน ก่อนคัดลอกเนื้อหาทั้งตอนจากไฟล์งานมาวางในหน้านิยายของเว็ปไซต์ หัวใจเขาวูบโหวงเมื่อต้องพิมพ์ต่อท้ายเนื้อหาว่า ‘จบบริบูรณ์’
ชยานนท์จ้องคำนั้นอยู่ครู่ใหญ่คล้ายยังลังเล แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าและตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จบบริบูรณ์ แปลว่าไม่มีอีกต่อไปแล้ว นิยายของเขาดำเนินมาถึงจุดจบที่สมบูรณ์แล้วเพียงเท่านี้ ปลายนิ้วของเขาเคาะแป้นวรรคข้อความลงมาสี่ห้าบรรทัด เขาพิมพ์ประโยคส่งท้าย เป็นการขอบคุณและอำลาเรียบง่าย
/เราเดินทางกันมาไกลจากนิยายบทแรก ไกลจนผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเรามาถึงฉากสุดท้าย ผมดีใจที่ครั้งหนึ่งได้สบตาคุณผ่านตัวอักษร
ขอบคุณและลาก่อน ตลอดกาล./
สามทุ่มตรง ชยานนท์กดปุ่มยืนยันเพื่ออัปเดตนิยายตอนสุดท้ายขึ้นระบบ กดรีเฟรชทดสอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยเบ็ดเสร็จจึงปิดคอมพิวเตอร์ เขาถอนหายใจยาวอีกครั้งเมื่อไร้ภาระติดค้างใดอีกแล้ว ดื่มด่ำกับความโล่งใจ พร้อมกวาดดวงตามองไปรอบห้องพักที่ดูดีกว่าเคย เสื้อผ้าที่มักกองระเกะระกะถูกนำไปซักและพับเก็บในตู้เสื้อผ้า หนังสือที่วางกระจัดกระจายทั่วพื้นห้องทำงานถูกจัดขึ้นชั้น จานทุกใบถูกล้างเก็บในที่ทาง ถุงขยะทุกถุงถูกมัดรอการนำไปทิ้ง เรียบร้อยและเป็นระเบียบ ชยานนท์คิดและยิ้มออกมานิดหนึ่งอย่างพอใจ เขาจัดการทุกอย่างให้พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางไกลเพียงลำพัง
แต่หลังจากอาบน้ำอีกรอบ ชยานนท์คิดว่าเขาควรไปกินมื้อเย็นดีๆ สักมื้อ อาจชมภาพยนตร์สักเรื่องแล้วค่อยออกเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลาคิดซ้ำสอง เขาแต่งตัวแล้วคว้าสัมภาระ ออกจากห้องพักเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองเดือน
ชยานนท์จำได้ไม่แน่ชัดว่าเขาเลิกใช้ชีวิตใต้แสงอาทิตย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ผ่านไปได้ราวหนึ่งปีแล้วจากวันที่เขากลายมาเป็นมนุษย์กลางคืน วันใหม่เริ่มต้นตอนบ่ายแก่ บางครั้งก็เย็นจนเกือบค่ำ สบตากับดวงอาทิตย์ รับแสงแดดอ่อนล้าเฮือกสุดท้ายพร้อมกาแฟและอาหารมื้อแรกได้ไม่เท่าไหร่ ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ใต้เงาของรัตติกาล
งานเขียนรายตอนทุกตอนถูกเขียนในเวลากลางคืน เขาทานทานอาหารมื้อที่สองตอนสามทุ่มครึ่ง แล้วก็อาจอ่านหนังสือ หรือออกกำลังกาย ออกไปดูหนังรอบดึกบ้าง ไปดื่มเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่ส่วนมากเขามักนั่งทำงานต่อจนถึงตีสามตีสี่แล้วเข้านอนตอนใกล้พระอาทิตย์ขึ้น มาตื่นเริ่มวันใหม่อีกทีตอนบ่ายแก่ บางครั้งก็เย็นจนเกือบค่ำ
ชีวิตของชยานนท์เวียนวนซ้ำซากอยู่อย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน (และเขาก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยน) ยิ่งพักหลังมานี้วงการเดลิเวอรี่ส่งได้ทุกอย่าง ไหนจะร้านค้าต่างๆ ที่หันมาขายออนไลน์กันมากขึ้น เขาจึงซื้อทุกอย่างผ่านปลายนิ้ว ทั้งอาหาร ของจากร้านสะดวกซื้อ ของสดในซูเปอร์มาร์เก็ต หนังสือ เสื้อผ้า หรือของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ชยานนท์จึงไม่ได้ย่างกรายออกจากรัศมีอพาร์ทเม้นต์เป็นเวลาสองเดือนเต็ม นอกจากบุรุษไปรษณีย์ คนส่งสินค้า และนิติบุคคลประจำอพาร์ทเม้นต์แล้ว เขาก็ไม่ได้พบมนุษย์คนไหนอีกเลย
ชยานนท์จึงออกอาการตื่นเต้นเล็กน้อยบนแท็กซี่ที่เรียกได้จากหน้าอพาร์ทเม้นท์การจราจรบนท้องถนนของมหานครยังติดขัดแสนสาหัสไม่เปลี่ยน ข้อดีคือมันช่วยหน่วงเวลาให้เขาได้ชื่นชมกรุงเทพยามค่ำที่สว่างไสวไม่ต่างจากกลางวันได้นานขึ้น เขาซบใบหน้าแนบขอบประตู มองเหม่อออกไปนอกกระจกหน้าต่าง
สายตาที่ถูกปล่อยไปโดยไร้จุดหมายทำพฤติกรรมเดียวกับแมลงเม่า ลอยเข้าหาไฟถนนจากเสาไฟสูงชะลูด โผเผบินไปหาไฟจากป้ายโฆษณาที่เรียงรายเป็นทิวแถว เมื่อรถขยับครั้งหนึ่งเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ลอยไปเกาะไฟท้ายสีแดงของรถข้างเคียง หากช่วงไหนการจราจรไม่ติดขัดรถแท็กซี่ที่โดยสารทำความเร็วได้ เขาก็ปล่อยสายตาโฉบผ่านหลอดฟลูออเรสเซ้นต์ของร้านค้าทุกร้านที่เห็น
ชยานนท์มองไฟสังเคราะห์จากแหล่งต่างๆ มากที่สุดเท่าที่จะมองได้ เขาเพลิดเพลินไปกับมัน และรู้สึกว่าแสงเหล่านั้นช่างเย้ายวนสายตาและให้ความรู้สึกสบายใจกว่า แม้จะสาดแสงสว่างจ้าก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าถูกบีบเคล้นเหมือนเวลายืนอยู่ใต้แสงแดด บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชยานนท์เลือกเป็นมนุษย์กลางคืน แสงจากหลอดไฟมีรัศมีจำกัด มันจะเปิดเผยเฉพาะสิ่งที่เขาเต็มใจเปิดเผย สิ่งไหนเขาไม่อยากให้ใครรู้ก็ซ่อนเร้นไว้ในความมืดนอกขอบเขตแสง
ขณะแสงจากดวงอาทิตย์บีบบังคับให้เขาเผยทุกรูปทุกนามใต้การสาดส่องอย่างแรงกล้า หลายครั้งชยานนท์จึงรู้สึกราวกับว่า เมื่ออยู่ใต้ดวงอาทิตย์แล้ว แม้แต่ความลับหรือความเศร้า เขาก็ยังไม่สามารถแอบซ่อนให้เป็นเพียงของตัวเอง
ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงร้านอาหารซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง โชคดีที่เขายังมาทันออเดอร์สุดท้าย พนักงานสาวผู้ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านจึงต้องเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งด้านในด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก ชยานนท์เลือกนั่งที่โต๊ะตัวเดิมริมกระจกร้านฝั่งติดถนน เขาสั่งอาหารและเครื่องดื่มแบบเดิมโดยไม่สนใจรายการอื่นๆ พนักงานสาวอีกคนผู้เข้ามาให้บริการรับคำพร้อมรวบแผ่นเมนูเดินตึงตังจากไป เมื่อเหลือเพียงเขากับความสงบอันคุ้นเคย ในสถานที่ที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้า ชยานนท์ก็รู้สึกผ่อนคลายลง
เขากวาดสายตาสำรวจไปทั่ว ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่พบคือสีของผนังร้าน ชยานนท์ยกปลายนิ้วลูบผนังสีน้ำเงินเข้มที่ให้ความรู้สึกเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นผนังปูนเปลือยที่ให้อารมณ์ดิบๆ และเป็นกันเองมากกว่า ร้านคงเพิ่งทาสีใหม่ทับไม่นานกลิ่นสีจึงยังกรุ่นอยู่ในอากาศบางๆ ปะปนไปกับกลิ่นอับอันเป็นเอกลักษณ์เก่าก่อน
/ร้านนี้ดีทุกอย่างเลยนนท์ อาหารอร่อย ราคาปานกลาง สะอาด ติดอย่างเดียวคือกลิ่นอับๆ นี่เอง/ ทรงจำกระซิบบอก /แต่กลิ่นก็ดีขึ้นแล้วนะ เมื่อก่อนแย่กว่านี้/
ชยานนท์มองเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ยิ้มจางให้ความว่างเปล่าและปล่อยให้ทรงจำทำหน้าที่ของตัวเอง
/นนท์ดูตึกฝั่งตรงข้ามสิ ยังเป็นร้านขายปิ้งย่างหรือเปล่า/
ชยานนท์มองผ่านกระจกร้านข้ามฟากไปมองอาคารคูหาเดียวขนาสองชั้นครึ่งฝั่งตรงข้าม กระซิบตอบเบายิ่งกว่าเบา
ไม่ล่ะ เป็นร้านเบียร์คราฟต์ไปแล้ว
/จำได้ไหมว่ารอบก่อนที่เรามากินข้าวกันเป็นร้านอาหารไทย/
จำได้.
/เราเคยได้ยินคนพูดกันว่าตรงนั้นเป็นที่อาถรรพ์ เจ้าของเก่าเขาหวง คนใหม่เช่าขายอะไรได้ไม่นานก็เจ๊ง เลยต้องเปลี่ยนมือบ่อยๆ น่าจะเป็นเรื่องจริง/
เชื่อเรื่องผีด้วยหรือ.
/แล้วนนท์ล่ะเชื่อไหม แต่เขียนนิยายผี ไม่เชื่อเรื่องผีก็ไม่ได้หรือเปล่า/
ยังไม่ตอบคำถามเราเลย.
/ครับๆ ยอมรับก็ได้ว่าเชื่อ เอ้า ไม่หัวเราะเราสิ เราเชื่อว่าผีมีจริง ไม่งั้นคนตายแล้วจะไปไหนล่ะ ก็ต้องเป็นผีวนๆ เวียนๆ รอเกิดใหม่ไม่ใช่หรือ/
ก็ไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไง.
/แต่เราว่าคนตายกลับไปอยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วยมากกว่า/
ไม่จริงหรอก.
/จริง เนี่ย ถ้าเราตาย เราจะกลับไปอยู่กับนนท์/
ไม่จริงหรอก
อาหารและเครื่องดื่มถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกันในไม่กี่อึดใจถัดมา ชยานนท์จึงถอนสายตากลับมาจากอาคารคูหาเดียวฝั่งตรงข้าม แม้ปริศนาเกี่ยวกับที่ดินอาถรรพ์จะน่าสนใจ (ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ และมันจะไปสิ้นสุดลงที่ร้านใด) แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้อยู่เป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
ชยานนท์ละเลียดกินข้าวหมูทอดแกงกะหรี่ที่ร้อนจนขึ้นควันฉุยช้าๆ รสชาติมันแปลกจากที่เคยกินไปเล็กน้อย เขาเดาว่าร้านคงเปลี่ยนวัตถุดิบหรือไม่ก็เปลี่ยนพ่อครัว อันที่จริงรสชาติดั้งเดิมของข้าวหมูทอดแกงกะหรี่ร้านนี้ก็ไม่ได้ดีเลิศอยู่แล้ว มีร้านอาหารร้านอื่นที่มีข้าวหมูทอดแกงกะหรี่รสชาติดีกว่านี้ แต่ชยานนท์ก็ยังเจาะจงพาตัวเองมาที่นี่ เพราะมันเป็นร้านอาหารเพียงร้านเดียวที่เขามีทรงจำฝากฝังเอาไว้
หลังจัดการมื้อดึกเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็วางเงินเกินราคาอาหารทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนเดินออกจากร้าน ความตั้งใจแรกที่คิดจะแวะดูภาพยนตร์รอบดึกสักเรื่องเป็นอันต้องล้มเลิก เพราะชยานนท์เพิ่งนึกออกว่าตัวเองเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน จึงไม่มีอะไรใช้ตรวจดูรอบฉาย ชยานนท์ไม่ชอบการไปยืนลุ้นหน้าโรงหนังว่ามีอะไรที่อยากดูหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใจโบกแท็กซี่กลับไปอพาร์ทเม้นต์ เพื่อจะได้ออกเดินทางไกลสักที
“ผมขอแวะร้านสะดวกซื้อซัก ครู่ได้ไหมครับ”
เสียงถามไถ่แหบต่ำจากคนขับชายวัยกลางคนดึงสติของชยานนท์กลับเข้าร่าง เมื่อครู่เขากำลังลอยไปกับเสียงคำรามครั่นครืนของท้องฟ้ายามดึก เมื่อรู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าฝนเริ่มโปรยแล้ว ชยานนท์ตอบกลับไปหลังหาเสียงของตัวเองเจอในที่สุด
“ครับ ร้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงหัวมุมถนนซอยที่ผมจะไป”
นั่นเป็นประโยคยาวที่สุดที่ชยานนท์ได้พูดในรอบเดือนเขาจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ชยานนท์ถอนใจยาว นั่งเงียบไปตลอดระยะทางสั้นๆ จากจุดที่พวกเขาคุยกันมาถึงร้านสะดวกซื้อร้านที่ว่า คนขับกดหยุดมิเตอร์ไว้ชั่วคราวหลังหยุดรถหน้าร้าน แต่เมื่อชยานนท์บอกว่าต้องการจะลงไปซื้อของด้วย อีกฝ่ายจึงดับเครื่องยนต์พร้อมบอกว่าค่าโดยสารจากร้านสะดวกซื้อเข้าไปถึงอพาร์ทเม้นต์ที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยจะไม่คิดเงินเพิ่ม
ชยานนท์เดินตามคนขับแท็กซี่ชายวัยกลางคนผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดปะทะใบหน้า แสงขาวๆ แข็งสว่างจ้าทำให้ดวงตาเขาพร่าเลือนไปชั่วขณะ เมื่อปรับสายตาได้ เขาจึงเห็นว่าภายในร้านสะดวกซื้อมีพนักงานชายประจำเคาน์เตอร์คิดเงินอยู่เพียงหนึ่งคน และมีลูกค้าเพียงสามคน คือตัวเขาเองคนขับแท็กซี่ชายวัยกลางคน และหญิงสาวในชุดพยาบาลสีฟ้าอ่อน
ภายในร้านไม่ได้เปิดเพลงผ่านเครื่องขยายเสียง มันจึงค่อนข้างเงียบสงบ จะมีก็แต่เสียงฟ้าคำรนครืนโครมจากด้านนอก และเสียงฝนที่ทิ้งตัวกระแทกหลังคาโครมใหญ่ ชยานนท์เดินห่อไหล่ด้วยเพราะอากาศเย็นลงกะทันหันไปหยุดหน้าตู้แช่เครื่องดื่มด้านใน เขาเอื้อมมือไปจับที่เปิดตู้แช่น้ำเปล่าแทบจะพร้อมพยาบาลสาว เธอเอียงหน้ามาช้อนตามองเขานิดหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนบาง แล้วผละมือออกไป ประกายบางอย่างในดวงตาของเธอทำให้ชยานนท์ตัวแข็งค้างไปครู่หนึ่ง
ชยานนท์รู้สึกคลับคล้ายกับสายตาแบบนั้น เขาคิดพลางเปิดตู้แช่ ผายมือให้เธอโน้มเข้าไปหยิบขวดน้ำก่อนแล้วจึงเป็นฝ่ายหยิบทีหลัง ทรงจำของเขาทำงานกึงกังเหมือนเครื่องจักรเก่าๆ หลังค้นคว้าอยู่หลายอึดใจชยานนท์ก็พยักหน้า แน่ใจแล้วว่าเขาเคยเห็นสายตาแบบนั้นบนกระจก ในดวงตาของเขาเอง
“ขอบคุณค่ะ” พยาบาลสาวยิ้มให้บางๆ แล้วผละไปจากหน้าตู้แช่เครื่องดื่ม
ทิ้งชยานนท์ไว้กับความปั่นป่วนอ่อนจางในใจ เพราะเขาไม่เคยรู้ว่าสายตาของเธอ...ของเขาจะว่างเปล่าถึงเพียงนั้น ว่างเปล่าและเย็นชืด เหมือนห้วงน้ำวนที่ดูดทุกความรู้สึกลงไปขังไว้ข้างใต้ จนไม่อาจรู้สึกสุขหรือเศร้า บางทีอาจนิยามได้ว่ามันคือดวงตาของผู้ที่ไม่มีสิ่งใดยึดโยงไว้กับโลก
พวกเขาทั้งสามคนเดินไปถึงเคาน์เตอร์คิดเงินที่เปิดให้บริการเพียงเครื่องเดียวแทบจะพร้อมกัน คนขับแท็กซี่ชายวัยกลางคนเป็นคิวแรก ตามด้วยพยาบาลสาวเป็นคิวที่สอง และชยานนท์เป็นคิวสุดท้าย ขณะเขายืนหลุบตาฟังเสียงเครื่องสแกนบาร์โค้ดเพลินๆ ฉับพลันนั้นท้องฟ้าก็คำรามอย่างกราดเกรี้ยวจนพื้นสะเทือน แสงสว่างภายในร้านกะพริบติดกันสี่ครั้ง เมื่อพวกเขาทุกคนแหงนหน้ามองแผงไฟ ระบบไฟฟ้าก็หยุดทำงานโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่ใช่เพียงแค่ไฟภายในร้าน แต่เป็นไฟจากด้านนอกด้วย พวกเขาทั้งสี่คนจึงตกอยู่ในความมืดมิดที่ไม่อาจมองเห็นแม้แต่ฝ่ามือของตัวเอง
ชยานนท์รู้สึกสงบอย่างประหลาดในความมืดอันเงียบงัน ไร้เสียงโวยวาย หรือความตื่นตระหนก หรือการขยับเคลื่อนใดๆ อึดใจใหญ่ไฟสำรองของร้านสะดวกซื้อก็ทำงาน แสงจากหลอดไฟเล็กๆ บนชั้นวางสินค้าด้านหลังเคาน์เตอร์สว่างวาบขึ้น แล้วพนักงานหนุ่มก็คิดเงินต่อไปราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนขับแท็กซี่หยิบกระป๋องกาแฟและซองบุหรี่มาด้วยสีหน้าเฉยๆ ไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับพยาบาลสาว และเช่นเดียวกับชยานนท์
รอจนฝนซาเม็ดจนเหลือเพียงอาการเปาะแปะอย่างอ่อนแรง ชยานนท์ก็เดินออกจากร้านไปหาคนขับแท็กซี่ชายวัยกลางคนเพื่อเดินทางต่อ แต่พยาบาลสาวกำลังคุยกับอีกฝ่ายอยู่ก่อนหน้าเขา เธอว่าหลังคนขับไปส่งเขาที่อพาร์ทเม้นต์แล้วจะวนรถกลับมารับเธอไปส่งยังที่พักไม่ไกลจากบริเวณนี้ได้หรือไม่ ชยานนท์ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปยังที่พักเอง ระยะทางเท่านี้สายฝนแผ่วจางไม่ใช่ปัญหา เขาจ่ายเงินค่าเดินทางให้คนขับแท็กซี่ อีกฝ่ายรับเงินไปและกล่าวขอบคุณ ก่อนขึ้นรถไปพร้อมด้วยผู้โดยสารคนใหม่ เครื่องยนต์ของรถกลางเก่ากลางใหม่สีเหลืองคาดเขียวส่งเสียงกระหึ่มเมื่อถูกสตาร์ท ไฟคู่หน้าสว่างจ้าสาดแสงตรงเข้ามาหาชยานนท์ที่ยืนอยู่ตรงประตูร้านสะดวกซื้อ พวกเขาลาจากกันแค่นั้นเมื่อทั้งคู่เคลื่อนห่างออกไปในความมืด
ชยานนท์เดินกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ราวห้าทุ่มเศษ เขารวบถุงขยะที่ลืมหยิบติดมือในตอนแรกไปทิ้ง และกลับมาอาบน้ำอีกรอบ เสื้อผ้าชุดที่เพิ่งสวมใส่ถูกปั่นตากขึ้นราวเล็กๆ ตรงระเบียง ชยานนท์สวมชุดนอนตัวโปรดก่อนคลานขึ้นเตียงเร็วกว่าทุกวัน เขาหยิบกระปุกยาในลิ้นชักข้างเตียงมาเทใส่ฝ่ามือ กลืนมันลงไปทั้งหมดตามด้วยน้ำเปล่าขวดเล็กที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ จากนั้นก็ซุกตัวเข้าผ้าห่ม
แอร์เย็นจัดทำให้ความง่วงงุนจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว ปลายมือและปลายเท้าของเขาชาและเย็นเยือกเพราะความเหน็บหนาว ลมหายใจของเขาแผ่วลงและแผ่วลง ขณะความคิดลอยล่องสู่ดินแดนฝันที่นับจากนี้จะไม่มีวันสิ้นสลาย
ในห้วงสุดท้ายของความสำนึกรู้ ชยานนท์เห็นสายตาแบบเดียวกับพยาบาลสาวที่พบในร้านสะดวกซื้อหลังม่านตา แต่ดวงตาคู่ที่มองเห็นในความคิดตอนนั้นคือดวงตาของเขาเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in