หากเป็นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เขาคงสัมผัสไม่ได้เลยว่า แสงสว่างภายในร้านสะดวกซื้อจะทำให้รู้สึกปลอดภัยถึงเพียงนี้
เขานั่งเอนหลังพิงเคาน์เตอร์คิดเงินของร้านสะดวกซื้อ หันปลายเท้าหาชั้นวางสินค้า แหงนคอมองประกายระริกในหลอดฟลูออเรสเซ้นต์ เหนือศีรษะตาแทบไม่กะพริบ บางขณะเขาคล้ายคนเหม่อลอย แต่บางขณะก็คล้ายคนที่กำลังเพ่งสมาธิอย่างแรงกล้า เพื่อมองให้เห็นไปถึงการไหวเคลื่อนของก๊าซอาร์กอนแรงดันต่ำในหลอดแก้ว
เขาจ้องและจ้องอย่างแน่วแน่ ดวงตากะพริบเชื่องช้าราวกับถูกสะกดไว้ด้วยสสารไร้รูปร่าง ก่อนเสียงขยับตัวจากทางขวามือจะยุติกิจกรรมเดียวที่เขาทำมาตั้งแต่เช้าลงเพียงเท่านั้น
เขาเหลือบตามองเขาอีกคนผู้นอนขดตะแคงอยู่ด้านข้าง การหายใจถี่และหนักขึ้นทำให้รู้ว่าเขาอีกคนกำลังค่อยๆ กลับมาจากการหลับลึก กระบวนการตื่นดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติประมาณห้านาที แล้วดวงตาอ่อนโยนคู่หนึ่งก็ปรือขึ้นมามองเขา พร้อมรอยยิ้มซึ่งปัดเป่าทุกความกังวลให้สิ้นสลาย
“ผมดีใจที่ยังเห็นคุณอยู่ตรงนี้” เจ้าของดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นว่า
“แน่ละที่คุณดีใจ ในเมื่อผมเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่คุณเหลืออยู่ตอนนี้”
“คุณไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ทำให้ผมดีใจ...ที่ยังเห็นคุณอยู่ตรงนี้”
“ผมแน่ใจว่าผมเข้าใจ และแน่ใจอีกว่าผมเข้าใจมันอย่างถูกต้อง” เขาถอนใจ พูดต่อไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง “ทั้งยังแน่ใจด้วยว่าคุณกำลังเข้าใจอย่างผิดๆ เพราะความอ้างว้างและความหวาดกลัว”
“กลับกัน ผมรู้สึกครบสมบูรณ์และมีแรงใจเต็มเปี่ยมแค่ตื่นมาเห็นหน้าคุณ”
“นั่นไง คุณเข้าใจผิดมหันต์ นั่นไม่ใช่ความรักหรอก”
เขาชะงัก ขณะเขาอีกคนยิ้ม กล่าวต่อไปเนิบนาบ
“คุณพูดอย่างกับรู้จักความรักดีพอ”
“ผมรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ดีพอต่างหาก ในสถานการณ์ไม่ปกติอย่างที่เรากำลังเผชิญอยู่ด้วยกัน หัวใจคุณกำลังเต้นผิดจังหวะเพราะความกลัว แต่คุณกลับเข้าใจว่านั่นคือการตกหลุมรัก และสถานการณ์อย่างนี้ก็ทำให้มนุษย์ต้องการพึ่งพามนุษย์อีกคนมากกว่าปกติ มันเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดตามกลไกธรรมชาติ”
“ผมแยกออกว่าอะไรคือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดตามกลไกธรรมชาติ และอะไรคือการตกหลุมรัก”
“คุณไม่มีทางแยกออกหรอก”
การถกเถียงยุติลงเมื่อเขาอีกคนผู้นอนมองเขาอยู่ในเวลานี้ไม่กล่าวอะไรอีก รอยยิ้มที่ช่วยปัดเป่าความกังวลของเขายังค้างอยู่ในสีหน้า ปะปนไปกับร่องรอยความเอ็นดูอ่อนบาง
ดวงตาของพวกเขาประสานกันไม่ลดละ คล้ายพยายามควานคว้าหาชัยชนะเบ็ดเสร็จในหัวข้อที่เพิ่งโต้คารมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขามองอย่างจดจ้อง เขาอีกคนมองอย่างจดจ่อ ท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่สร้างความอึดอัดคับข้อง เขาสัมผัสได้ถึงแรงขยับแผ่วเบาจากปีกบางใสของสิ่งมีชีวิตลึกลับในช่องท้อง
นานราวห้านาทีหรืออาจนานกว่านั้น นาฬิกาข้อมือของเขาส่งเสียงแหวกความเงียบแปลกประหลาดที่คลี่คลุมบรรยากาศ เขาและเขาอีกคนขยับตัวจากท่าเดิมในฉับพลัน เขายันตัวลุกจากพื้นเดินไปทางฝั่งกระจกร้านสะดวกซื้อ ส่วนเขาอีกคนลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิก่อนถามทั้งที่รู้คำตอบ
“กี่โมงแล้วครับ”
“เที่ยงแล้ว...เที่ยงวัน” เขาตอบทันทีโดยไม่ต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง
พวกเขาต่างมองออกไปนอกกระจกร้านสะดวกซื้อและต่างถอนหายใจ แม้ไม่อาจมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงวินาทีต่อวินาทีที่เคลื่อนผ่าน เข็มยาวขยับจากการทาบสนิทกับเข็มสั้นตรงเลขสิบสองไปหาเส้นเวลาที่อยู่ข้างหน้า แต่ท้องฟ้าซึ่งมองเห็นจากภายในร้านกลับมืดสนิท
ไม่มีแสงแดดจัดจ้านอย่างที่พึงมี เพราะพระอาทิตย์ไม่ขึ้นมาสิบสี่วันแล้ว กรุงเทพฯ ถูกแช่แข็งค้างในกลางดึก พวกเขารู้วันเวลาได้จากนาฬิกาข้อมือเรือนที่เขาสวมใส่เป็นประจำเท่านั้น เพราะมันเป็นนาฬิกาเพียงเรือนเดียวที่ยังหมุนเคลื่อนอย่างมั่นคงและเที่ยงตรง ขณะนาฬิกาเรือนอื่นๆ พากันหยุดนิ่ง ณ เวลาสามนาฬิกาสามสิบสามนาทีของสิบสี่วันก่อน
เขายังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น หรือมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็ระแคะระคายว่ามันอาจเป็นผลต่อเนื่องมาจากการกระทำใดการกระทำหนึ่งของเขาเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in