ถัดจาก New York - New York แล้วก็ก็เจอ
Monte Carlo
ซึ่งที่นี่เราก็แวะเข้าไปกดเล่นสลอตมาสามตา
ผลคือ
เจ๊ง!
เรื่อยๆมาเรียงๆ คนเมาเดินเฉียงไปทั้งหมู่
เราไปเจอเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน
พาไปกินเบียร์ลับที่ถูกที่สุดในลาสเวกัส คือ ขวดละ 2 ดอลลาร์
ตรงแถวๆโรงแรม Flamingo Las Vegas
ที่มีสวนนกฟลามิงโก้อยู่จริงๆด้วย
จากนั้นก็เดินมาต่อที่ Paris Las Vegas
ที่มีหอไอเฟลปลอมๆให้ได้ถ่ายรูปเล่น
หลังจากที่เดินจนขาลาก
เราก็กลับไปนอนเอาแรง
หงุดหงิดกับเมทเชี่ยๆ
และตอนกลางวันก็ออกมาเดินเล่นรับแสงตะวันบ้าง
จุดมุ่งหมายคือป้าย Welcome to Las Vegas นั่นแหละ
นั่งบัสออกไปไกลมาก ต้นถนนเลย
คนเยอะแยะ
มีคนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งจำนวนมาก พร้อมกับเอลวิสอีกหลายสิบชีวิต
ก็ได้รูปมาแหละ
แต่เป็นรูปคู่
ขอไม่ลงละกัน
กลางวันร้อนมาก ไม่มีอะไรเลย
ควรมาเดินเฉพาะตอนกลางคืนที่แท้จริง
ร้อนเชี่ยๆเลยกลับไปนอนหลบแดด
เธอเกิดอยากจะกินบุฟเฟ่นานาชาติขึ้นมาซะงั้น
เลยกูเกิลไปมา ปรากฎว่าเจอดีลในเว็บ groupon
บุฟเฟ่นานาชาติ บวกไวน์ ในราคาดี ณ โรงแรม Rio
โรงแรมที่เขาแข่งโปกเกอร์กันนั่นแหละ
แทะขาปูอลาสก้าวนไปเรื่อยๆจ้ะ
อาห์ ฟินนนนนนน
ตัดภาพกลับยามที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
เราตั้งใจว่าจะเดินไปดูโชว์ฟรีทุกโชว์ของทุกโรงแรม
เริ่มต้นที่ Bellagio Hotel & Casino ที่มีน้ำพุเต้นระบำอยู่ข้างหน้า
ใหญ่บึ้ม อลังการงานสร้างมากกับเพลง My heart will go on
ประหนึ่งเห็นไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งอยู่เบื้องหน้า
ไปต่อที่ Caesars Palace ที่พาเราย้อนกลับไปสู่ยุคโรมันอันรุ่งเรื่อง
มาหมดตั้งแต่เสาโรมัน ยันน้ำพุเทรวี่ และโคลอสเซียม มีรูปปั้นซุสตระหง่านตา
ที่นี่ไม่มีโชว์ เป็นทางผ่านเฉยๆ
ได้ข่าวว่าบุฟเฟ่อร่อยดี
เป้าหมายของเราคือ The Mirage ต่างหาก
ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีโชว์เหมือนจะเอามาฟาดฟันกับน้ำพุของ Bellagio
นั่นคือการแสดงลาวา ภูเขาไฟ
วูบวาบตระการตามาก
จริงๆมันมีโชว์โจรสลัดอีกที่แหละ แต่ปิดไป เลยไปเดินเล่นที่ The Venetian แทน
คืนสุดท้ายในเวกัส
เราเดินมานั่งกินอาหารจีนราคาถูกที่ร้าน Panda Express
ที่อยู่ชั้นสองในตึกเก่าๆบน Las Vegas Boulervard
มันเป็นโซนร้านอาหารฟู้ดคอร์ทราคาถูกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาซุกตัวอยู่บนถนนเส้นนี้
ที่เต็มไปด้วยความวิบวับของแสงไฟนีออนและป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์
เบาะหนังเก่า กระจกมัวๆ คนกระดกเบียร์พูดคุยงึมงำอยู่รอบตัว
เหมือนหลุดออกมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่สุดแสนจะแตกต่างจากโลกบนถนนด้านนอก
...
4 วัน 3 คืนในเมืองที่ไม่เคยหลับ
ทุกอย่างที่เล่ามานั้นเป็นความทรงจำแบบผ่านๆ แว้บๆเข้ามาในสมองพอให้คิดถึงบ้าง
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับเวกัสที่ชัดเจนที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องๆธรรมดา
ไม่ใช่โชว์อลังการดาวล้านดวง อาหารหรูหราในโรงแรม
หรือสาวผมบลอน topless ยืนสวยๆให้ถ่ายรูปได้ (และจับก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเสียตัง)
แต่เป็นที่ฟู้ดคอร์ทชั้นสองของซักตึก บรรยากาศทึมๆเก่าๆแห่งนี้
เสียงเอลวิสร้องเพลง Blue Hawaii ดังออกมาเบาๆจากลำโพงที่เสียงแตก
มีคนฮัมเพลงตามและคุยกันงึมงำเป็นภาษาต่างๆ
เราโซ้ยบะหมี่ชืดๆและมันเยิ้มเข้าปากด้วยความหิว
มองดูคนเดินเรียงเป็นแถวไหลไปมาที่ถนนด้านล่าง
แสงไฟของตึกตรงข้ามกระพริบเป็นจังหวะผ่านกระจกหน้าต่างมัวๆ
มันธรรมดามาก ธรรมดาเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่าจำรายละเอียดขนาดนี้ได้ยังไง
อาจเป็นเพราะตอนนั้นคนข้างๆเอื้อมมาจับมือไว้เงียบๆก่อนจะบอกว่า
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ เรามาถึงลาสเวกัสกันแล้วนะ”
ถ้าถามว่าเราชอบช่วงเวลาไหนมากที่สุดในเวกัส
เราว่าเราชอบตอนนี้
เป็นความเงียบในเมืองที่พลุ่งพล่าน
รู้สึกดีที่มีกัน
รู้สึกดีที่มาที่นี่ด้วยกัน
ป.ล.1 ตอนนั้นอยู่ในสถาพเงินหมด รู้สึกกันว่านี่แหละ มาเวกัสต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าถึงจริงๆ
ป.ล.2 โมเม้นต์นั้นคือโคตรดี เหมือนหยุดเวลาของตัวเองไว้ และนั่งดูโลกหมุนไปเรื่อยๆ
ป.ล.3 โดนน็อคด้วยความทรงจำอีกแล้ว…
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in