ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่เปิดใจให้เด็กชายผมสีเขียวมิ้นท์ที่เข้ามาทักในวันนั้น
01.
เพราะเขาว่ากันว่า ช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวตอนั้นเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงในหลายๆเรื่อง
และใช่ว่าทุกคนจะได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอ
เขาเองก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น
พอเรื่มโตขึ้นมาบ้าง—
แต่ก็ยังเด็กนะ แต่ด้วยความคิดและทัศนคติเกินกว่าเด็กอายุสิบสาม มันก็สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่เหมือนกับอาการที่เกิดจากการวิ่งรอบสนามในคาบพละ หรือตื่นเต้นมากเกินไปในตอนที่คุณครูให้ลุกขึ้นตอบสูตรเลขที่เขาจำไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ และเพราะอะไร
หรือแค่จากความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้มาตั้งแต่วัยประถมศึกษา
จนกลายเป็นว่ากำแพงที่ถูกสร้างเอาไว้เสียหนาแน่นถูกพังทลายมันตั้งแต่ตอนนั้น เลยพลอยไม่รู้ตัวว่าความรู้สึกถลาลึกเข้าไปมากเกินจะหวนกลับมาจุดเดิมอย่างที่มันควรจะเป็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เรื่องแย่ๆอีกเรื่องนึง อย่างประโยคหนึ่งในหนังสือจิตวิทยาของคุณยายซักเล่มบอกเอาไว้ว่า
‘คนเราพอมีความรัก ก็มีจะมีอคติคิดเข้าข้างตน เขาทำอะไร ก็ว่าเขามีใจ’ก็
เผลอตกลงไปในมหาสมุทรนั้นแล้วสิ
02.
“กลับบ้านกัน”
กี่ครั้งแล้วที่เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก แล้วพบเพียงนิชิมูระคนน้องที่ใบหน้าเหมือนคนพี่ราวกับคนเดียวกันยืนอยู่คนเดียว
ช่วงนี้เริ่มรู้สึกว่าสนิทกับเคนจิโร่มากขึ้นกว่าปกติ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เจ้าตัวในสายตาเขานั้นค่อนข้างจะเข้าหายากกว่าเมื่อในสมัยเด็ก
เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เคนอิจิเริ่มทำตัวออกห่าง อย่างวันนี้ที่ไม่ได้มารอกลับบ้านด้วยกัน หรือบางวันก็ไม่ได้ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน
คำถามก็คือ
ไม่รู้เพราะไม่ได้สังเกต
หรือว่าไม่กล้าที่จะตอบคำถามนั้นกันแน่
หรือถ้าให้พูดจริงๆแล้ว ใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป
ไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกหรอ?
“อ่อ อื้อ เดี๋ยวเราเก็บของก่อน”
ยิ้มพลางตอบเคนจิโร่ ก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกวาดอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะลงในกระเป๋ากับนิชิมูระคนน้องไม่เหมือนคนพี่ เป็นเพียงความรู้สึกดีที่เหมือนระยะปลอดภัยที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สบายใจที่จะอยู่ด้วย แต่ถ้าถามว่าไม่มีได้มั้ย?
นั่นก็แย่อยู่
เขาคงไม่ปล่อยให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้น“เดี๋ยวนี้เหม่อบ่อยเกินไปแล้ว...มีอะไรรึเปล่า?” เคนจิโร่เอ่ยถามระหว่างทางขณะเดินกลับบ้าน “ดูเหนื่อยๆทุกวันเลย ตอนเช้าก็ไม่ค่อยได้มาพร้อมกัน”
แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากส่งยิ้มแห้งๆไปให้ “นอนไม่พอนิดหน่อยอะ เลยตื่นสายด้วย...”
รู้ตัวว่าตัวเอง
โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย คำตอบที่ว่าไปจึงปราศจากการมองตาคู่สนทนา
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง”
ซึ่งนับว่ายังโชคดีที่โลกนี้ไม่ใจร้ายกับเขาเกินไปที่ เคนจิโร่ไม่ได้ถามอะไรกลับมา
03.
เมื่อทนกับความรู้สึกบ้าๆนั่นมาเกือบปี ก่อนจะตัดสินใจดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในจุดเดิมได้ในช่วงปลายปีของชั้นม.ต้นปีสอง
แล้วเก็บคำว่า
ชอบ ในแบบนั้นให้ลงไปได้ลึกที่สุด
อันที่จริง อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เลยทำให้ตัดสินใจที่จะถอยกลับได้ไม่ยากนัก หรือเป็นความรู้สึกเพียงชั่ววูบของเด็กวัยหัวเลี้ยวหัวตอ
หรือเพียงแค่เพราะ ไม่อยากเสียเพื่อนไป
เคนอิจิกลับมานั่งกินข้าวหรือกลับบ้านด้วยกันเหมือนเดิมแล้ว แค่ดูซึมๆไป ไม่ค่อยพูดจาหรือร่าเริงเหมือนเก่า
เด็กชายไม่ได้ถามอะไรออกไป มันไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะล้วงความลับคนอื่นที่เจ้าตัวไม่ต้องการจะบอก
แค่ได้พื้นที่เล็กๆนั้นในฐานะเพื่อนคืนมา หรือไม่ต้องคอยนับตัวเลขจนเกือบพันในใจคอยสงบสติอารมณ์และความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
มันก็ดีมากพอแล้วจริงๆ
แค่เพื่อนก็พอแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in