เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ขอสวรรค์จงมาถึง AS IT IS IN HEAVENSALMONBOOKS
บทที่ 3
  • ความกดอากาศสูงเคลื่อนผ่าน ลมหนาวหวนมาเยือนมหานครอีกครั้ง ผู้คนแย้มยิ้ม ปิดแอร์ฯ เปิดหน้าต่าง ซุกตัวหลับใหลใต้ผ้าห่มผืนหนา แต่ต้องทอดถอนใจเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่า มันจะอยู่กับเราอย่างนี้ต่อไปอีกแค่สี่วัน

    ในโลกที่ความโหยไห้แสนหวานไม่มีที่ทางให้ดำรงอยู่ ไม่มีเพราะสภาพอากาศแปรปรวนอนุญาตให้ลมหนาวพัดผ่านได้เพียงอึดใจ ไม่มีเพราะถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องไม่
    ได้งดงามอย่างฉากในหนัง หรือคลับคล้ายสถาปัตยกรรมใดในความทรงจำ ไม่มีเพราะความแก่เฒ่าทำให้หัวใจแก่ชราไปพร้อมกัน ไม่มีเพราะเราไม่สามารถรัก หรือเกลียดชังสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างหมดจิตหมดใจได้อีกแล้ว

    เจ้าเหมียวเอ๋ย ในที่สุดแกก็จากไป
  • ศีรษะถูกตัดขาด ตั้งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลง เลือดกระจัดกระจายลากเป็นทางยาว ขนฟูสีดำสลับน้ำตาลอ่อนหม่นหมอง ผมเห็นมันพยายามอ้าปากร้อง แต่เสียงที่ถูกขับออกมามีแค่เสียง ฟี่ ฟี่ ของลมหายใจรวยริน เสียงแปร่งหูแผ่วเบาของฟองอากาศเปื้อนเลือดจำนวนมากที่ค่อยๆ แตกระเบิด เสียงแปลกประหลาดจากโลกเหนือจริงของภาวะที่ฟองอากาศเริ่มผุดขึ้นมาใหม่ผ่านริมฝีปาก และค่อยๆ แตกระเบิดอีกครั้ง

    ผมแตกเป็นเสี่ยง หัวใจแหลกสลาย แต่การพยายามตะเกียกตะกายจะมีชีวิตอยู่ของมันก็คล้ายตะโกนสั่งให้ผมต้องเล่า เล่าเพื่อให้เจ้าเหมียวยังมีชีวิต เป็นแมวน้อยไร้ชื่อของผมชั่วนิรันดร์ เสียง ฟี่ ฟี่ ของลมหายใจรวยรินดังก้องอยู่ในรูหูทุกค่ำคืนที่หลับฝัน ภายใต้นิทรากึ่งหลับกึ่งตื่นจากภาพของการยื้อยึดให้ชีวิตดำรงอยู่ ลำตัวไร้หัวพร้อมขาทั้งสี่ข้างจากอีกมุมหนึ่งของบ้านพยายามยืนขึ้น พยายาม แล้วก็ล้มลง แล้วพยายามใหม่ ... แต่ไม่มีอีกแล้ว หลังบานประตูเมื่อเสียบกุญแจเข้าบ้านไร้เสียงร้องเรียก ตัวหดเล็กลงกว่าเดิม ความเจ้าเล่ห์มลายหาย น้ำตาของผมตกแหมะก่อนตัวเองจะร้องไห้ โหยหาการขึ้นมาเหยียบหน้าอก นั่งจ้องหน้าอย่างท้าทาย เฝ้ารอว่าเมื่อไรผมจะลุกจากเตียง แล้วเทอาหารใส่จานให้เสียที

    วันนั้น ผมอุ้มแมวน้อยไว้ในมือทั้งสองข้าง ประคองศีรษะที่โดนแยกขาดไปแล้วให้กลับมาต่อติดกับลำตัวที่ขาทั้งสี่ยังพยายามตะเกียกตะกายยืนขึ้น ประคองอย่างแผ่วเบาที่สุด ระลึกถึงวันแรกที่ผมอุ้มมันขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าร่างกายบอบบางของแมวน้อยอายุไม่เต็มสี่เดือนจะแตกหัก 
  • ค่อยๆ จับมันใส่ตะกร้า นำถุงผ้ามาสวมทับอีกชั้น เหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง เมื่อต้องเดินผ่านพนักงานของอพาร์ตเมนต์ที่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ พลางภาวนาในใจขออย่าให้มันร้องออกมาตรงนั้น

    แต่ตอนนี้ฉันอยากให้แกร้อง ร้องออกมาดังๆ ดังจนกลบเสียงครวญโหยเศร้าจากอดีต ลบเลือนคำพูดวิปลาสของคนที่นำ แกเข้ามาในชีวิตฉัน

    ร้องสิเจ้าเหมียว ร้อง...

    “เราหวาดกลัวเหลือเกิน” แผ่วเบาและโรยแรง เสียงนั่นดังก้องขึ้นในหู

    ร้องสิเจ้าเหมียว ร้อง...

    “มีความสุขเหลือเกิน” ตาดำหดเล็กเข้าไปในขอบเขตของตาขาว

    ร้องสิเจ้าเหมียว ร้อง...

    “หวาดกลัวความสุขเหลือเกิน” สติของเธอยังจมอยู่ใต้บงการของร่างกาย ตับพังอย่างหนักหน่วงและถาวร ขณะนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หลังรอดพ้นการฆ่าตัวตาย ด้วยการกรอกยาแก้ปวดกว่าสามสิบเม็ดลงท้อง ในตอนที่ความสัมพันธ์แสนสั้นของเราเดินมาถึงจุดแตกหัก ก่อนอ้าปากเล่าอัตชีวประวัติของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าที่สุด รันทดที่สุด ลมหายใจแผ่วเบาที่สุด และเป็นวินาทีที่เธอปรารถนามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกยาวนานมากที่สุดด้วยเช่นกัน มีชีวิตเพื่อจะได้ลองฆ่าตัวตายอีกหลายๆ ครั้ง หมื่นๆ ปี หมื่นๆ ปี หมื่นๆ ปี จูบแรกของผม ถึงตอนนั้น คุณจะฆ่าตัวตาย และกินไข่ขาวดิบๆ เพื่อสำรอกเอาความตายออกมายื้อชีวิตอีกกี่ครั้งกันนะ
  • “ชื่อ’ไร” ผมเอ่ยปากถาม ในตอนที่ได้เจอกับเจ้าเหมียวครั้งแรก

    เธอยิ้มเศร้า คล้ายกำลังโหยไห้ถึงใครอีกคนที่นำเจ้าเหมียวเข้ามาในชีวิตของเธอเช่นกัน

    “ยัง ยังไม่ได้คิดเลย”

    และมันจะไม่มีชื่อเรียกอีกยาวนานหลังจากนั้น ...ไม่มีอีกเลย

    จนกระทั่งถึงวันที่มันจากไปอย่างไม่หวนกลับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in