เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ผมรีบวิ่งไปยังจุดต่างๆ ที่เคยยืนถ่ายรูปภายในอาคารสถานี ทั้งตรงชานชาลา ร้าน 7-11 และม้านั่งข้างประตูหมายเลขสี่ แต่ก็ไร้วี่แววขาตั้งกล้องเพื่อนยาก
“ลืมเอามาจากที่พักรึเปล่า?” สาลี่ถาม
“ไม่นะ พี่จำได้ว่าเอามาแน่ ความรู้สึกมันยังค้างอยู่ที่ไหล่ข้างขวาเลย”
“พี่ก็เห็นว่าเธอเอามา” พี่จุ๋มยืนยัน
ผมยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่เพื่อทบทวนลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ลมหายใจหนักๆ ถูกระบายออกมาเป็นช่วงๆ เพื่อลดอาการอึดอัดที่เกิดขึ้นในใจ
“นึกออกแล้ว ผมต้องลืมมันไว้บนรถไฟตอนเคลิ้มหลับแน่ๆ” แต่รถไฟขบวนนั้นออกจากสถานีไปเรียบร้อย และบริเวณนั้นก็ไม่เหลือเจ้าหน้าที่สักคนให้ผมสอบถาม
ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วจนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่อยู่รอบตัว ผมเดินวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้นเป็นหนูติดจั่นที่หาทางออกไม่เจอ
“เพิ่งได้มา ยังไม่เคยใช้เลย ราคาก็แพง อยู่ๆ ก็มาทำหายแบบโง่ๆ ทำไมซวยแบบนี้?” ผมบ่นกับรางรถไฟ
เมื่อลองไปถามพนักงานในร้านขายของชำ เขาบอกว่าต้องติดต่อเจ้าหน้าที่แผนก Lost and Found ที่สำนักงานรถไฟโดยตรง แต่เวลานี้ปิดทำการแล้ว ต้องรอพรุ่งนี้ซึ่งจะเปิดตอนเก้าโมงเช้า นั่นคืออีก 12 ชั่วโมงข้างหน้า
ผมว้าวุ่นใจสุดขีดจนอยากกระโดดข้ามเวลาไปเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ก็คงทำได้แค่รอและปรับใจให้เข้าที่โดยเร่งด่วน จะมามัวอาลัยขาตั้งกล้องไม่ได้ เพราะมันจะทำให้คนอื่นหมดสนุกและแผนการท่องเที่ยวคืนนี้รวมถึงวันต่อไปอาจพังพินาศได้ จึงต้องฝืนยิ้ม แล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ของนอกกาย” เพื่อนๆ ก็ปลอบใจว่า พรุ่งนี้มาที่ Lost and Found เดี๋ยวคงเจอ คนที่นี่เขาไม่ค่อยเอาของคนอื่น น่าจะมีคนเอามาคืน ผมก็หวังลึกๆ ไว้แบบนั้น ทั้งที่ใจตัวเองยอมรับแล้ว ว่านี่อาจเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ เพราะเท่าที่รู้มา อุปกรณ์ถ่ายภาพเหล่านี้เป็นที่นิยมของตลาด พวกมิจฉาชีพจึงจ้องขโมยอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเผลอลืมไว้ก็เท่ากับเป็นการใส่พานถวายโจร
ผมจ่ายเงินค่าตั๋วแล้วเดินตามทุกคนเข้าไปในทิโวลี่ด้วยร่างไร้วิญญาณ ด้านในเต็มไปด้วยแสงไฟวิบวับหลากสีห้อยอยู่ตามต้นไม้และเสาไฟ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in