เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lost and Found in IcelandBANLUEBOOKS
02: คืนฝึกจิต

  • แสงไฟยามราตรีในทิโวลี่
    สวนสนุกที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของโลก



  • เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา ผมรีบวิ่งไปยังจุดต่างๆ ที่เคยยืนถ่ายรูปภายในอาคารสถานี ทั้งตรงชานชาลา ร้าน 7-11 และม้านั่งข้างประตูหมายเลขสี่ แต่ก็ไร้วี่แววขาตั้งกล้องเพื่อนยาก

    “ลืมเอามาจากที่พักรึเปล่า?” สาลี่ถาม

    “ไม่นะ พี่จำได้ว่าเอามาแน่ ความรู้สึกมันยังค้างอยู่ที่ไหล่ข้างขวาเลย”

    “พี่ก็เห็นว่าเธอเอามา” พี่จุ๋มยืนยัน

    ผมยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่เพื่อทบทวนลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ลมหายใจหนักๆ ถูกระบายออกมาเป็นช่วงๆ เพื่อลดอาการอึดอัดที่เกิดขึ้นในใจ

    “นึกออกแล้ว ผมต้องลืมมันไว้บนรถไฟตอนเคลิ้มหลับแน่ๆ” แต่รถไฟขบวนนั้นออกจากสถานีไปเรียบร้อย และบริเวณนั้นก็ไม่เหลือเจ้าหน้าที่สักคนให้ผมสอบถาม

    ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วจนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่อยู่รอบตัว ผมเดินวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้นเป็นหนูติดจั่นที่หาทางออกไม่เจอ

    “เพิ่งได้มา ยังไม่เคยใช้เลย ราคาก็แพง อยู่ๆ ก็มาทำหายแบบโง่ๆ ทำไมซวยแบบนี้?” ผมบ่นกับรางรถไฟ

    เมื่อลองไปถามพนักงานในร้านขายของชำ เขาบอกว่าต้องติดต่อเจ้าหน้าที่แผนก Lost and Found ที่สำนักงานรถไฟโดยตรง แต่เวลานี้ปิดทำการแล้ว ต้องรอพรุ่งนี้ซึ่งจะเปิดตอนเก้าโมงเช้า นั่นคืออีก 12 ชั่วโมงข้างหน้า

    ผมว้าวุ่นใจสุดขีดจนอยากกระโดดข้ามเวลาไปเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ก็คงทำได้แค่รอและปรับใจให้เข้าที่โดยเร่งด่วน จะมามัวอาลัยขาตั้งกล้องไม่ได้ เพราะมันจะทำให้คนอื่นหมดสนุกและแผนการท่องเที่ยวคืนนี้รวมถึงวันต่อไปอาจพังพินาศได้ จึงต้องฝืนยิ้ม แล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ของนอกกาย” เพื่อนๆ ก็ปลอบใจว่า พรุ่งนี้มาที่ Lost and Found เดี๋ยวคงเจอ คนที่นี่เขาไม่ค่อยเอาของคนอื่น น่าจะมีคนเอามาคืน ผมก็หวังลึกๆ ไว้แบบนั้น ทั้งที่ใจตัวเองยอมรับแล้ว ว่านี่อาจเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ เพราะเท่าที่รู้มา อุปกรณ์ถ่ายภาพเหล่านี้เป็นที่นิยมของตลาด พวกมิจฉาชีพจึงจ้องขโมยอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเผลอลืมไว้ก็เท่ากับเป็นการใส่พานถวายโจร

    ผมจ่ายเงินค่าตั๋วแล้วเดินตามทุกคนเข้าไปในทิโวลี่ด้วยร่างไร้วิญญาณ ด้านในเต็มไปด้วยแสงไฟวิบวับหลากสีห้อยอยู่ตามต้นไม้และเสาไฟ
  • เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะกระหึ่มออกมาจากสวนสนุก ไม่ได้ทำให้ผมหายจากอาการจิตตก ผมพยายามยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสิ่งที่อยู่รอบตัว แต่ก็ยังทำใจลำบาก ภาพรอยยิ้มของเด็กน้อยและครอบครัว ภาพความสนุกสนานของผู้คนบนเครื่องเล่น ภาพความอ่อนโยนของชายหนุ่มที่กอดแฟนสาวให้คลายหนาว ทุกอย่างกลายเป็นภาพขาวดำ หม่นเศร้า ไม่มีความรู้สึกรื่นรมย์เกิดขึ้นในใจ สวนสนุกกลายเป็นสวนสลดไปซะแล้ว

    หากพูดกันตามความจริง พื้นที่ภายในทิโวลี่ก็เหมือนสวนสนุกทั่วไป แทบไม่ต่างจากสวนสนุกบ้านเรา ไม่ได้มีเครื่องเล่นโบราณหรืออะไรที่ดูคลาสสิกย้อนยุคให้เห็น และหลายๆ ชิ้นเราก็เคยเห็นกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นม้าหมุนบ้านๆ ที่วิ่งเป็นวงกลม ชิงช้าสวรรค์เล็กๆ ซุ้มยิงปืน ปากระป๋อง รถบั๊มพ์ เรียกว่าที่นี่แทบจะก๊อบปี้งานวัดแถวบ้านเรามาก็ไม่ผิด ต่างกันเล็กน้อยตรงที่ชาวเดนมาร์กจับเอาอุปกรณ์เหล่านี้มาแต่งตัวให้ดูไฮโซน่าสัมผัส มีการเพิ่มเครื่องเล่นที่ดุดันน่ากลัวเข้าไป เช่น บรรดาเครื่องเล่นกระตุ้นอาเจียนที่คอยจับคนเหวี่ยง หมุน พลิกคว่ำหงาย ก่อนที่จะโยนขึ้นไปที่สูงแล้วปล่อยให้ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง


  • และอีกอย่างคือที่นี่ไม่มีรถเข็นขายปลาหมึกปิ้ง น้ำอัดลม และมหรสพพื้นเมืองพวกลิเก ลำตัด

    เราเดินวนสวนสนุกในทิศทวนเข็มนาฬิกา ผ่านรถไฟเหาะตีลังกาและหมู่บ้านญี่ปุ่นที่มีกลิ่นอายความเป็นตะวันตกโชยออกมาชัดเจน จากนั้นก็เดินข้ามสะพานเพื่อไปชมบริเวณที่จะจัดแสงสี แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้ผมจมดิ่งลงไปในความเศร้ายิ่งกว่าเดิม

    ไฟที่ประดับตามอาคารเก่า ต้นไม้โบราณ และเสาไฟ ดูอ่อนช้อยราวหลุดออกมาจากเทพนิยาย ลำแสงหลากสีที่ส่องสว่างเป็นลำขึ้นไปบนฟ้า ช่างสวยงามน่าหลงใหลและชวนให้บันทึกภาพไว้เหลือเกิน และการเห็นขาตั้งกล้องเรียงรายหลายสิบอันกำลังยืนเป็นฐานให้กล้อง DSLR อย่างแข็งขันยิ่งทำให้อาการปวดตับกำเริบ 

    ความจริง คืนนี้ผมควรจะเป็นหนึ่งในกลุ่มช่างภาพที่สาละวนอยู่กับการหามุมถ่ายภาพดีๆ เพื่อให้ตัวเองมีผลงานเล็กๆ น้อยๆ จากยุโรปเหนือติดมือกลับบ้าน แต่ความจริงยิ่งกว่าคือผมได้แต่ยืนมองตาละห้อย เพราะทำขาตั้งกล้องหาย



  • พวกเราเดินวนจบหนึ่งรอบ โดยไม่ได้แตะเครื่องเล่นชิ้นใดเลย เพราะราคาค่าเล่นถือว่าโหดเอาการ และอากาศก็หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนน้ำมูกย้อยออกมาแบบไม่รู้ตัวเหมือนก๊อกน้ำประปาที่ปิดไม่สนิท ถ่ายรูปแต่ละทีน้ำมูกสะท้อนแสงแฟลชแวววาวอย่างกับรีเฟล็กซ์

    ขากลับ ทุกคนนั่งสัปหงกบนรถไฟอย่างอ่อนเพลียง่วงหงอย เหลือเพียงผมที่ตาค้างอยู่คนเดียว พออยู่ลำพังจิตใจก็กลับมาคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับเราด้วย เราทำอะไรผิดสวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้งแบบนี้ ผมพยายามคิดบวกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นมา เพราะเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ย่อมมีเหตุผลและข้อดีของมันเสมอ แต่ขาตั้งกล้องราคาหลายหมื่นบาทหายนี่มันมีอะไรบ้างที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นข้อดี ผมคิดออกแต่เรื่องเสียเงิน เสียเวลา เสียโอกาส เสียอารมณ์

    อ้อ! นึกออกแล้ว การเดินทางตลอดทริปนี้ผมคงสบายตัวมากขึ้น เพราะไม่ต้องแบกขาตั้งกล้องอีกต่อไป

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in