“พวกเขาพูดว่าสิ่งที่ทำไปล้วนทำเพื่อให้ทุกคนเท่าเทียม
แต่ความเท่าเทียมนั้นคืออะไรกันล่ะ
ฉันหมายถึงจริงๆ แล้วน่ะ มันคืออะไรกันแน่
และคุณมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่ปลูกฝังคุณมามันคือสิ่งที่ถูกต้อง”
มันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า วอลเตอร์เรย์
ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งฝน”ปริมาณฝนที่ตกในวอลเตอร์เรย์ค่อนข้างมีมากกว่าสถานที่อื่นๆ บางครั้งฝนจะตกติดต่อกันนานถึงสองวันโดยไม่มีเหตุผลทำให้ระบบการระบายน้ำของเมืองนี้ค่อนข้างก้าวหน้ากว่าเมืองอื่นๆ แต่ก็นั่นแหละเราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือเหตุผล เราล้วนถูกสอนมาแบบนั้นเสมอ
วันนี้ฝนก็ยังตกเหมือนเดิมผมชาชินกับการได้ยินเสียงฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบลงบนกระจกหน้ารถเสียแล้วผมกำลังขับรถเข้าวอลเตอร์เรย์ มันเป็นเวลาบ่ายสามโมงแต่ฟ้าครึ้มเสียจนคิดว่าตอนนี้คือเวลาหกโมงเย็นสิ่งที่ทำได้ไม่ใช่การโทษฟ้าฝน แต่คือการโอดครวญในใจถึงเรื่องราวในวันพรุ่งนี้เรามีภารกิจกำจัดอารยธรรมที่หลงเหลือของมนุษย์ยุคก่อนที่ชื่อว่า “สนามเด็กเล่น” และงานเช่นนี้ล้วนต้องใช้แรงสองเท้าย่ำไปมาไม่มีหยุด พวกเราล้วนไม่ชอบเวลาต้องกระโดดหย็องแหย็งหลบน้ำขังในสนามหญ้าราวกับกบฝูงหนึ่งแถมพวกน่ารำคาญบางกลุ่มยังทำตัวน่าเบื่อด้วยการบ่นทุกๆ ห้านาทีว่ามีเศษหญ้าเปียกติดบู๊ตพวกเขา
ในขณะที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสายวิทยุในรถของผมส่งเสียงเพลงประจำรัฐ จากนั้นจึงได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูดตามสายมาเกี่ยวกับข่าวสารประจำวันที่จำเจในเวลาเดียวกันนั้นเองที่ผมมองฝ่าสายฝนออกไปผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ริมถนน เธอมีเรือนผมสีบลอนด์ทอง มีหมวกไหมพรมเปียกๆอยู่บนหัว สวมเสื้อคลุมสีม่วงทับเสื้อคอเต่าสีฟ้า ที่ไหล่สะพายกระเป๋าใบหนึ่ง สองขาของเธอเดินย่ำไปเรื่อยๆท่ามกลางสายฝน
ตอนที่ผมขับรถผ่านไปผมเห็นเพียงแค่ว่าเธอเหลือบตามองเพียงแวบเดียวและในชั่วขณะนั้นผมคิดว่าผมเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเธอ แต่วินาทีต่อมาผมก็ส่ายหน้านั่นมันแค่สายฝนเท่านั้น
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตะโกนขอให้ผมหยุดรถด้วยซ้ำกลับกันกลายเป็นผมเองที่ลังเลว่าควรจอดรถดีมั้ย
ก้มลงมอง “เครื่องแบบ” ที่สวมอยู่สุดท้ายผมก็จอดรถเข้าข้างทาง
เธอวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ทันทีที่เห็น“เครื่องแบบ” ของผม ดวงตาคู่นั้นก็เบิกขึ้นเล็กน้อย
“ขอโทษค่ะ คุณผ่านวอลเตอร์เรย์หรือเปล่า”เธอถาม
ผมพยักหน้า “ผมกำลังจะไปวอลเตอร์เรย์”
“ดีจริง”เธอยิ้มกว้างออกมาจนผมเห็นฟันขาวเรียงสวยพวกนั้น ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนหน้ากลมเล็กน้อยการยิ้มกว้างทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง ผมคิดว่าเธอคงอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี
“คุณสามารถติดรถผมมาได้มันคือส่วนหนึ่งของหน้าที่”
ผมได้ยินเสียงพึมพำขอบคุณ จากนั้นร่างในเสื้อคลุมสีม่วงก็ยัดตัวเองเข้ามาในรถตำแหน่งข้างคนขับเมื่อเธอปิดประตูรถลงผมก็ละสายตาจากก้อนไหมพรมเปียกๆ บนหัวเธอแล้วพารถแล่นออกสู่การเดินทางอีกหน
“วอลเตอร์เรย์ฝนตกตลอดนั่นแหละ”เธอพูดตอนที่ดึงหมวกไหมพรมสีชมพูออกจากหัว โชคดีที่เธอไม่คิดจะบิดน้ำออกจากมันด้วยผมนึกขอบคุณอยู่ในใจ “รอบๆ วอลเตอร์เรย์ก็เหมือนกัน เพราะงั้นมันถึงได้ชื่อว่าวอลเตอร์เรย์ไงจริงมั้ย” เธอหยุดไปแวบหนึ่งเพื่อพยักพเยิดหน้ามาทางเครื่องเล่นเสียงในรถของผม “คุณฟังอะไรไม่เข้ากับบรรยากาศเสียเลย”
ผมไม่เหลือบหางตามองเธอด้วยซ้ำ“มันคือสิ่งที่เราสมควรฟัง”
“คุณรู้หรือเปล่าสังคมมนุษย์สมัยก่อนมีสิ่งที่ชอบฟังยามฝนตก”
คราวนี้เธอเรียกความสนใจจากผมได้เล็กน้อยแต่เพียงแค่สบตาเธอก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลออกมาก่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าโทรมๆใบนั้นของเธอ มือที่ว่างอีกข้างกดปิดวิทยุในรถ และเมื่อผมเห็นว่าสิ่งที่เธอหยิบออกมาจากกระเป๋าคืออะไรผมก็เบิกตาโพลง
“โทรศัพท์มือถือ” ผมครางออกมา “เราไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือเธอไปเอามาจากไหน”
แทนที่จะหวาดกลัวผู้หญิงคนนี้กลับทำเพียงแค่ไหวไหล่คราหนึ่ง “จากปู่ของฉัน” เธอว่านิ้วโป้งขยับเลื่อนไปมาบนหน้าจอของเจ้าสิ่งนั้น “ฉันรู้อยู่แล้วว่าพวก“ใส่เครื่องแบบ” อย่างคุณจะมีท่าทียังไง แต่นี่ ฉันจะแสดงให้ดูเองว่าสมัยก่อนพวกเขาทำอะไรกันตอนฝนตก”
แล้วจากนั้นในรถคันเล็กของผมก็มีเสียงดนตรีดังขึ้น ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองสะดุ้งเบาๆตอนที่ได้ยิน
แต่หญิงสาวปริศนาข้างกายกลับโยกกายไปมาตามจังหวะเพลงราวปีศาจไม่นานนักปากน้อยๆ นั่นก็เริ่ม “ฮัมเพลง”
“I'm singin' in the rain, just singin' in the rain
What aglorious feelin' I'm happy again
I'm laughing at clouds, so dark upabove
The sun's in my heart and I’m readyfor love~”
“หยุด” ผมขบกรามแน่น“นี่ไม่ใช่เพลงที่เราสามารถร้องได้”
“ทำไมล่ะ” เธอเอียงคอถาม“เราร้องเพลงพวกนี้เมื่อก่อนในตอนที่เราไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยด้วยสิ่งที่เรียกว่ากฎ”
ผมเลือกที่จะเม้มปากดวงตาหลุกหลิกครุ่นคิดไปมาก่อนหยุดที่เครื่องส่งสัญญาณข้างประตูรถมันปิดการทำงานอยู่ อย่างน้อยผู้บังคับบัญชาก็จะไม่มีวันรู้เรื่องนี้รู้เรื่องผู้หญิงบ้าคนหนึ่งที่กำลังแหกกฎ
“ในยุคสมัยนั้นมีสิ่งที่เรียกว่ามิวสิเคิล”เธอเริ่มจ้อ “คุณปู่เล่าให้ฉันฟัง และเขาก็เอาโปสเตอร์ให้ฉันดู มันชื่อว่า Singing In The Rain ฉันประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมันไม่เหมือนภาพแบบที่ “พวกคุณ” ชอบทำออกมาหรอกนะ แต่เป็นภาพที่ชายคนหนึ่งกอดเสาถอดหมวกบนหัวออกแล้วก็ยิ้มให้สายฝนคุณต้องได้เห็นภาพนั้น เขาดูมีอิสระมากๆ เลย”
“เธอคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถทำให้ฉันพาเธอไปฝังชิปในหัวเพื่อเปลี่ยนความคิดเธอได้”ผมพยายามใจเย็นทั้งที่หลังเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มกระทั่งมองเห็นว่าไฟจราจรเบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ผมจึงค่อยๆ ชะลอรถลงหางตามองเห็นเธอคนนั้นเหม่อมองไปที่ตัวบอกสัญญาณไฟจราจร ดวงตาคู่นั้นหม่นพร่าคล้ายกับว่ามีน้ำตาคลออยู่ แต่ผมคิดว่าคงตาฝาดไปเอง
“เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือกฎเกณฑ์”เธอพึมพำเสียงเบา ตายังคงจ้องมองไปที่เดิม“ทุกวันนี้เราถูกเชือกที่มองไม่เห็นที่ชื่อว่ากฎเกณฑ์มัดไว้จนแทบหายใจไม่ออกการจราจรพวกนี้ก็เหมือนกัน มองไปรอบๆ ตัวคุณแล้วบอกฉันว่าคุณเห็นรถคันอื่นนอกเหนือจากรถของคุณสักคันมั้ยไม่มี แต่ทำไมเรายังต้องทำตามกฎล่ะ เราหยุดรถรอสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพื่อที่จะได้ไปต่อแต่เพราะอะไรถึงต้องยอมให้กฎเหล่านั้นที่มนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้นมามีอำนาจเหนือเราด้วยคุณไม่เคยสงสัยเหรอ”
นิ้วมือผมสั่นสะท้านบางอย่างในใจคล้ายถูกกะเทาะเป็นรอยร้าว แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็คือรอยร้าวกระทั่งเธอหันเสี้ยวหน้ามาสบตาผม
“หน้าที่ของพวก “เครื่องแบบแห่งความผาสุก”อย่างพวกคุณก็เป็นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”เสียงกระซิบนั้นดังราวกับเสียงกระซิบที่สะท้อนมาจากบ่อน้ำลึก“พวกคุณมีหน้าที่ตรวจตราให้แน่ใจว่าทุกคนจะอยู่ในกฎเกณฑ์อารยธรรมไร้ค่าของมนุษย์ในสังคมก่อนเก่าต้องถูกทำลาย ห้องสมุด สนามเด็กเล่น โรงเรียนทุกอย่างล้วนไร้ค่า เล่าให้ฉันฟังสิว่าคุณแน่ใจว่าการทำแบบนั้นมันถูกต้อง”
เราตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาหลังจากพบว่าความกดดันและความน่าขยะแขยงในสังคมเราก่อตัวเพิ่มมากขึ้น
เราเขียนมันขึ้นมาเพื่อหาทางระบายความสิ้นหวังเหล่านี้ออกในรูปแบบที่เราถนัดที่สุด
และแม้หลังจากเราเขียนมันจบ แน่นอนว่าสิ่งที่เราชิงชังรังเกียจยังคงแผ่ขยายเติบโตต่อไปราวกับปรสิต
แต่เราก็ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมาบ้าง ...ไม่มากก็น้อย
นี่เป็นนิยายเรื่องสั้นแนวดิสโทเปียเรื่องแรกของเรา หวังว่าหลังจากที่ได้อ่าน คุณจะตระหนักคิดได้ในอะไรบางอย่าง แม้เพียงเล็กน้อยฉันก็ดีใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in