รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่แน่ใจเหมือนกันที่ฮอลลีวูดนำ King Arthur และ ดาบ Excalibur มาทำเป็นภาพยนตร์ และรอบนี้เองก็ถึงคิวของผู้กำกับที่มีสไตล์จัดจ้านอย่างGuy Ritchie มากำกับ ซึ่งตัวหนังก็ออกมาแบบ Guy Guy ถ้าใครเคยดูผลงานเก่า ๆอย่าง Snatch, Lock Stock and Two Smoking Barrels หรือหนังฟอร์มใหญ่แบบ Sherlock Holmes เวอร์ชั่นที่ Robert Robert Downey jr. ก็คงจะชอบไม่น้อยแม้ว่าอาจจะไม่พีคเท่าเรื่องก่อนๆ แต่สไตล์การเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงเพลงประกอบก็ช่วยหนังไว้ได้เยอะเลยจากบทที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
แม้ว่า King Arthur จะเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ้างในแวดวงประวัติศาสตร์ว่าตกลงมันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมาจากนิยายพื้นบ้านอีกทีหนึ่งแต่เราจะไม่ไปสนใจจุดนั้นเนื่องจากเราจะมาว่ากันเฉพาะประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยืมหรือแทรกเข้าไปอยู่ใน King Arthur The Legend of The Sword เท่าที่เห็นมาจากไหนเรื่อง
พ่อตาย แม่ตาย ถูกเลี้ยงโตมาในสังคมชนชั้นล่าง เป็นสายเลือดกษัตริย์ที่สามารถจับดาบวิเศษได้เพื่อจะมากอบกู้บัลลังก์เออนั่นแหละ คลิเช่ ๆ แบบนั้นเลย
Londinium หรือ เมืองที่ Arthur (Charlie Hunnam) ของเราลอยน้ำมาติดนั้นไม่ได้เป็นเพียงเมืองที่แต่งขึ้นแต่เป็นเมืองที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของเกาะบริเตนตั้งแต่สมัยที่พวกโรมันยังคงปกครองในช่วงคริสต์ศักราชที่50 – 410 และถ้าหากชื่อมันฟังดูคล้าย London ล่ะก็นั่นแหละเมืองเดียวกันอีกชื่อหนึ่งที่เรียกกัน คือ Roman London
Londinium ถูกสร้างเพื่อให้เป็นเมืองศูนย์กลางของบริทาเนีย (ชื่อเกาะบริเตนแบบที่โรมันเรียก)และถูกใช้เป็นท่าเรือเพื่อขนส่งทรัพยากร คน และทาสเพื่อเชื่อมกับตัวทวีป ในช่วงพีคๆ ประชากรในเมืองมีราว ๆ 60,000 คนและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในบริตาเนียด้านสิ่งก่อสร้างก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่ในเมืองโรมันทั้งถนน โรงอาบน้ำ โบสถ์อาคารผู้ว่า รวมถึงกำแพงยาว 3 ไมล์ สูง 20 ฟุต หนา 8 ฟุต ที่เรียกว่า London Wall
ชีวิตผู้คนใน Londinium เรียกว่าหนักได้เลยทีเดียวถ้าหากคุณไม่ใช่ชนชั้นนำเพราะช่วงแรกนั้นนอกจกจะต้องสร้างเมืองแล้วเสื้อผ้า เครื่องมือ และอุปกรณ์ทั้งหลายก็เป็นที่ต้องการของชนชั้นปกครองด้วยเช่นกัน เพราะอย่างนี้ londoners ส่วนใหญ่จะทำงานตลอด 7 วัน และหยุดพักเฉพาะแค่เวลาข้าวเที่ยงเท่านั้นและโครงสร้างสังคมในเมืองนั้นจะแบ่งออกเป็น พวกชนชั้นนำอยู่บนสุด ตามด้วยพลเมืองและทาสตามลำดับจากฉากลอบสังหารที่ bill (Aidan Gillen) หรือลุงนิ้วก้อยจาก Game of Thrones ต้องยิงธนูจากระยะ 175 หลา ประมาณ 132 เมตร ซึ่งธนูที่ใช้นั้นลักษณะ คือ Long Bow หรือ ธนูยาวซึ่งใช้จริง ๆ ในกองทัพของอังกฤษตั้งแต่ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 13 – 16 ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่พากองทัพของอังกฤษเองพิชิตเกาะบริเตนทั้งหมดได้รวมถึงสงคราม 100 ปี กับคู่แค้นอย่างฝรั่งเศส แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดใช้ไปเนื่องจากเปลี่ยนมาใช้ปืนกันแทน
ซึ่งธนูชนิดมีระยะยิงโดนที่คาดกันไว้ที่ประมาณ 200 หลา หรือ ประมาณ 182 เมตร และทำได้ไกลสุดประมาณ 250 หลา 228 เมตร ซึ่งนั่นหมายถึงว่าด้วยประสิทธิภาพของธนูนั้นไม่ได้เกินกับที่ถูกโม้ไว้ในหนังเลยแม้การใช้จริงจะอาศัยความชำนาญอยู่มากเนื่องจากความแม่นแล้วกำลังที่ต้องใช้ในการง้างสายก็ต้องเยอะเช่นกัน เนื่องจากแต่ตัวความยาวของธนูก็อยู่ประมาณ 1.80 เมตร
อันที่จริงแล้วธนูแบบชนิดนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ยุค 50,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในแทบตูนีเซียและโมร็อคโคและราว 2600 ปีก่อนคริสต์ศักราชเพิ่งจะมาปรากฏหลักฐานการใช้ในเกาะบริเตนซึ่งก็ถูกใช้ในการล่าสัตว์ก่อนที่ในปี และถูกใช้เป็นอาวุธสงครามครั้งแรกในคริสต์ศักราชที่ 1066 ในสงครามระหว่าง Norman-French กับ อังกฤษในยุคที่พวก แองโกล – แซ็กซอนปกครองอยู่ ก่อนที่ิอาวุธชนิดนี้จะถูกประจำการไปอีกหลายร้อยปีโดยผลงานส่วนใหญ่จะถูกบันทึกไว้ในสงคราม 100 ปี เสียเป็นส่วนมาก โดย ตัวอย่างยุทธภูมิเด่น ๆ เช่น Battle of Crécy, Battle of Poitiers และน่าจะเพราะเป็นอาวุธที่ส่งผลให้การทำศึกของอังกฤษโดยเฉพาะการตั้งรับนั้นประสบความสำเร็จทำให้ในปี 1363 King Edward III ออกกฎหมายให้ชายอังกฤษอายุตั้งแต่ 14 - 60 ปี ต้องฝึกธนูอาทิตย์ละครั้ง
ไวกิ้ง (Vikings) เป็นภาษานอร์สโบราณ (ภาษาที่ใช้ในดินแดนแถบสแกนดิเนเวียตั้งแต่ช่วงค.ศ. 8 -13) แต่ตรงส่วนนี้จริง ๆ แล้วแทบจะไม่ได้ถูกพูดถึงในหนังเลยเสียด้วยซ้ำมีเพียงแค่ฉากเข้าไปขอเงินดี ๆ แบบที่ Arthur บอกตอนต้นเรื่องและอีกครั้งตอนท้ายที่พวกไวกิ้งเข้ามาเจรจาการค้ากับArthur ที่ขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว แต่จริง ๆแล้วพวกไวกิ้งเองไม่เคยได้มาอังกฤษอย่างเป็นมิตรเลยสักครั้ง
เริ่มจากครั้งแรกที่เกาะบริเตนถูกบุกโดยพวกไวกิ้งในปีคริสค์ศักราช 793 โดยทั้งหมดเข้ามาเพื่อปล้นสะดมโบสถ์คาทอลิก (ช่วงนั้นยุโรปเข้าสู่ยุคมืดแล้วศาสนาคริสต์มีบทบาทสูงในยุโรปโบสถ์จริงเป็นสถานที่ที่มีความเข้มแข็งทั้งทางอำนาจและเศรษฐกิจการปล้นโบสถ์ได้นี่ถือว่ารวยกันไปข้าง)และต่อมาในปี 802 - 806 จากเดิมที่แค่ปล้นสะดมพวกไวกิ้งเริ่มที่จะฆ่านักบวชและเผ่าโบสถ์ทิ้งไปด้วยจนโบสถ์หลายแห่งในสก็อตแลนด์และอังกฤษตอนเหนือหายเรียบ ไม่เหลือแม้กระทั้งถูกจารึกไว้ว่าเคยมีอยู่และค่อย ๆ บุกเข้าลึกเข้าไปในอังกฤษมากขึ้น แต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่พระเจ้าอัลเฟร็ดมหาราช (Alfred the Great) กษัตริย์ของพวกแองโกล-แซกซอนทำให้เกิดการแบ่งดินแดนระหว่างแองโกล - แซกซอนกับพวกไวกิ้งซึ่งเป็ยจุดเริ่มต้นการตั้งถิ่นฐานบนเกาะอังกฤษแบบจริงจังของไวกิ้ง
ในปี 958 ยุคของ ฮาโรลด์ บลูทูธ (Harald Bluetooth) ใช่! ชื่อเขาถูกเอามาตั้งเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อมูลบลูทุธนี่แหละ กลับเข้าเรื่องบลูทูธเป็นกษัตริย์เดนมาร์กได้เข้ามาปกครองอังกฤษและที่สำคัญก็ได้เข้ารีตเป็นพวกเดียวกับศาสนจักรอย่างว่าไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนช่วงนี้ก็ต้องยอมศาสนจักร
แต่ในที่สุดยุคของไวกิ้งในอังกฤษก็จบลงในปี 1066 ในศึกเฮสติงท์ (Hasting) เนื่องจากก่อนหน้านี้แม้ว่าพวกไวกิ้งจะเข้ามาแต่ก็ถูกขับไล่ออกไปรอบหนึ่งในปี 980 และกลับมายึดคืนได้อีกครั้งในปี 1030 แต่ก็เกิดการเปลี่ยนบัลลังก์ระหว่างพวกไวกิ้งกับแองโกลแซกซอนไปเรื่อยจนกระทั้งปี 1066 เนื่องจากบัลลังก์เกิดว่าง เลยทำให้เกิดการอ้างสิทธ์กันระหว่างดยุกแห่งนอร์มังดีเคยผนวกรวมกันผ่านการแต่งงานเนื่องจากอย่างกันพวกไวกิ้งออกไปตั้งแต่ปี 1016 กับพระเจ้าฮาราลด์แห่งนอร์เวย์ และชัยชนะก็ตกเป็นของดยุกแห่งนอร์มังดี และเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์นอร์มันของอังกฤษราชวงศ์ที่นำเอาระบบฟิวดัลมาใช้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in