เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากช่างเรียงพิมพ์ชนุ่น
Lazy Porn
  • Notice:

    ถึงจะมีคำว่า 'Porn' แต่เนื้อหาปลอดภัยสำหรับเด็กจริง ๆ นะจ๊ะ




    Lazy Porn



    ไม่อยากทำอะไรเลยให้ตายสิ

    ผมได้แต่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้น คิดไม่ตกมาได้แสนนานเหลือเกินแล้วว่าตัวเองพอใจในชีวิตตอนนี้หรือไม่ --- จะเริ่มจากไหนก่อนดี

    ตอนนี้ผมก็รู้สึกมีความสุขนะ แต่พอถามว่าจากจุดไหนกันที่ทำให้ผมมีความสุข สุดท้ายแล้วผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี แต่พอจะบอกว่าตัวเองทุกข์ผมก็เกิดกลัวขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ...เพราะเหมือนตอนนี้ตัวเองมีแต่พลังด้านลบที่เมื่อมันปกคลุมผมเมื่อไรก็เสร็จกัน --- ผมจะทุกข์และเศร้าไปตลอดทั้งวันเลยล่ะ จากเดิมที่จะเขียนได้สี่ถึงห้าหน้าก็จะเหลือเพียงสองถึงสามบรรทัด หรืออาจจะหมดเวลาไปกับการดูละครและภาพยนตร์โดยไม่ได้ทำอะไรเลย

    และวันนี้เองก็ไม่ต่างกัน --- แต่อาจจะต่างก็ได้แหละนะ, เพราะผมนั่งอ่านหนังสือมาได้ชั่วโมงกว่าแล้วทว่าก็ไม่ได้ทำให้หน้ากระดาษบนโปรแกรมพิมพ์เอกสารขยับขึ้นได้เลย ให้ตายซี นี่ขนาดอ่านนิยายแล้วนะ

    ผมมองดูตัวอักษรก่อนหน้าที่ได้พิมพ์ไป ก่อนจะเริ่มพบข้อผิดพลาดหลายประการ, พิมพ์ตก, พิมพ์ผิด, คำเชื่อมเกินตรงนั้น, ประโยคไม่ได้ใจความสมบูรณ์ตรงนี้ และเมื่อผมวางหนังสือไปสนใจแล็ปท็อป ในที่สุดผมก็เสียเวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการอ่านร่างแรกและแก้คำ แก้ข้อความนานทีเดียว

    จนที่สุดแล้วมติเป็นอันตกลง --- เขียนใหม่

    กด Ctrl + A ตามมด้วยปุ่มแบ็กสเปซ แล้วฆ่าจินตนาการก่อนหน้าที่ผมได้ลงมือกระทำจนเหี้ยนไป

    ทุกอย่างกลับมาเป็นสีขาวอีกครั้ง

    ...แต่นี่ใช่สิ่งที่ผมพอใจแล้วเหรอ?

    ราวกับผมได้เขียนนิยายหน้าต่อไปอีกครั้งในมโนสำนึก, ความทุกข์ไม่ทราบที่มาวิ่งเข้ามาพร้อมกองถ่ายและเนื้อเรื่องราวกับจะเร่งถ่ายละครให้เสร็จไว ๆ --- เอาอีกแล้ว...นี่ผม (กู) ต้องเศร้าใช่มั้ย

    สรุปคือผม (กู) ต้องหยิบบทละครช่วงดราม่ามาแล้วพิลาปรำพันอรีกใช่มั้ย? ต้องเขี่ยหัวแม่โป้งเป็นโคลงบนพื้นดินก่อนโดนความเศร้าเด็ดหัวสังเวยความพยายามตลอดมาจนถึงบัดนี้จริง ๆ สินะ

    แล้วตอนนี้ผม (กู) กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

    เฮ้อ ขี้เกียจจังเลย

    เฮ้อ คันจังเลย ช่วงนี้ยุงเยอะเหลือเกิน จะทำยังไงดีเนี่ย ฉีดยากันยุงก็อยากฉีดอยู่หรอก แต่คิดไปคิดมา ถ้าไม่อยากให้มีกลิ่นสาบติดที่นอนก็ฉีดเข้าปากผม (กู) ดีกว่าแหละนะ

    เฮ้อ ขี้เกียจจังเลย ลืมไปหมดแล้วว่าความหมายของชีวิตคืออะไร

    ก็คงมีแต่ต้องเขียนต่อไปสินะเนี่ย



    กาแฟแก้วที่สองของวัน --- ใช้เวลาชงสองนาที แต่เดินวนไปมาในครัวเกือบสิบห้านาที มันรอกาน้ำร้อนก็จริงอยู่หรอก แต่เพราะไม่รู้จะทำอะไรระหว่างนั้นผมทำทีเหมือนจะเจอขุมทรัพย์แห่งปัญญาอยู่ประปรายบนพื้น แต่สุดท้ายก็เห็นแค่พื้นเปล่า ๆ สกปรก ๆ เท่านั้นแหละ

    เอาจริง ๆ ถ้าเกิดตอนนี้มีคนถ่ายสารคดีเรื่องของผมอยู่มันจะเป็นยังไงนะ ---

    สมมติถ้าความเศร้ายกกองมาจับใบหน้าสิ้งหวังของผมขณะนอนอยู่หน้าแล็ปท็อป เหม่อลอยด้วยอับจนหนทางจะไปต่อกับหน้ากระดาษ หมดแรงเพราะไม่มีแม้แต่ขนมหรือน้ำตาลไหวเวียนในร่างกาย คงจะเป็นสารคดีที่น่าเบื่อ ยาวนาน และปกคลุมไปด้วยเมฆเศร้า (สมัยนี้เรียกว่า ‘ฟิลเตอร์’ รึเปล่านะ?) เหมือนภาพยนตร์ดัง ๆ ที่เคยฉายไปเมื่อตอนนั้นรึเปล่านะ

    แต่ถ้าอย่างนั้นจำเป็นต้องจัดแสงด้วยรึเปล่านะ ในเมื่อมันไม่มีความหวังมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

    ผมถือแก้วกาแฟกลับไปยังห้องนอน วางแก้วนั้นบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากหัวเตียง ก่อนจะล้มตัวนอนบนฟูกนอนยัดกาบมะพร้าวแข็ง ๆ และดูท่าว่าผมจะทิ้งตัวแรงไปหน่อย ไอ้แก้วกาแฟก็ดันประท้วงผมด้วยการหล่นมานอนบนพื้นห้องเสียอย่างนั้น

    ไม่มีเสียงเพล้งหรอก อย่างน้อยผมก็หวังว่าจะไม่ได้ยินเสียงแก้วแตก มันบาดใจผมเกินไป

    แต่นี่ผม (กู) ต้องชงกาแฟใหม่ใช่มั้ย?

    เฮ้อ เอาอีกแล้ว...ยกกองถ่ายมาแล้วนั่นไง เซ็ตไฟเซ็ตกล้องกันแล้ว คราวนี้มีวางรางกันด้วยแกจะถ่ายดอลลีด้วยสินะ --- อ้าวเฮ้ยอีผู้กำกับ เหยียบกาแฟข้ามไปแบบนั้นไม่เช็ดก่อนสักหน่อยเรอะ

    ผมได้แต่นอนทอดกายบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก อยู่ ๆ ก็เข้าถึงบทของผู้กำกับความเศร้าอย่างคาดไม่ถึงเสียนี่

    ขี้เกียจจริง ๆ

    “ยกขาขึ้นหน่อย”

    สั่งเก่งจังเลยนะไอ้ความเศร้า แกไม่ให้ทำท่ายิมนาสติกลีลาเสียเลยล่ะ?

    แม้เสียงสั่งการจะชัดเจน แต่ก็สงสัยเหลือเกินว่ามันดังมาจากไหนกันนะ --- ผมมองดูเพดานสีขุ่น ๆ ที่เหมือนจะเริ่มกระเพื่อมไหว คล้ายว่าตัวเองอยู่ในน้ำ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอยู่ใต้น้ำปอดก็ชักจะไม่ทำงาน รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกเสียโดยสมจริง, ฉันใดก็ฉันนั้น

    “เศร้ามากกว่านี้ได้มั้ย! ร้องไห้ออกมาเลย! ”

    เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกความเศร้าขมขู่ผมก็เริ่มจุกในอก จะร้องไห้ออกมาได้มั้ยนะ ไม่ได้ร้องไห้หนัก ๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้วเสียด้วยสิ --- พอนึกถึงปีที่แล้วผมก็เริ่มคิดถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อน, ความรักที่ไม่สมหวัง ชีวิตการทำงานที่เหนื่อยหน่าย การเรียนแสนหนักหนา ครอบครัวที่ไม่ลงรอยกัน แม้แต่จิตใจตัวเองที่สับสน

    ชักจะเห็นเงาของตัวเองยืนมองอยู่ ณ จุดนั้น...อยู่ลาง ๆ ตัดกับแสงไฟสีสว่าง เงาของร่างนั้นพาดทับกับตัวผมที่กำลังขี้เกียจ

    และเศร้า...เศร้าเหลือเกิน

    “ถ้าหยุดหายใจตอนนี้เลยกูจะตายมั้ยวะ? ”

    ผมเอ่ยถาม แต่เงานั้นไม่ตอบ...และอาจจะด้วยความที่ผมรู้ว่ามันคือตัวผมเองก็ชักจะหงุดหงิด จึงตะโกนออกไปว่า

    “ทำไมมึงไม่ตอบกูมั่งวะ! ”

    ก่อนจะคว้าอะไรบางอย่างขึ้นมาข้างตัว เขวี้ยงออกไปยังเงานั้น --- แต่น่าพิศวงเหลือเกิน ที่เมื่อผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง กลิ่นที่ผมเคยรับผัสสะเมื่อครู่ก็พลันเลือนหาย

    กลิ่นเหงื่อ กลิ่นกาแฟ กลิ่นปาก กลิ่นของความเศร้า กลิ่นของความโกรธเกรี้ยวของผู้กำกับ กลิ่นของอดีต...หายไปสิ้นแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เพียงผมเท่านั้น

    ที่นั่งอยู่ในห้องนอนแสนรกร้าง กองหนังสือมากมายราวกับอยู่ตนได้อยู่ในป่าของวรรณกรรม มีเพียงแสงจากหน้าจอแล็ปท็อปที่ยังส่องสว่าง ณ ปลายเตียงอย่างหงอยเหงา ได้แต่มองดูและสงสัยว่าตนเองปิดไฟห้องไปเมื่อไร และเหตุใดตนจึงอยู่ในทะเลแสนมืดมัวเช่นนี้

    ทว่ากาแฟที่ผมคิดว่ามันเคยตกแตกหกเลอะเทอะ ปัจจุบันนี้เอง, มันก็ยังอยู่บนโต๊ะ เย็นชืดจนอาจจะหายไปเป็นเมฆรสกาแฟลอยอยู่บนบรรยากาศแสนเดียวดาย



    ความเศร้ายังคงสนทนาผมต่อไปในฐานะผู้กำกับ และผมก็เป็นเพียงนักแสดงกระจอกที่ไม่ได้แม้แต่ค่าตัว

    เฮ้อ ขี้เกียจจังเลย

    ไม่อยากทำอะไรเลยให้ตายสิ

    ผมได้แต่หยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดหน้าแรกที่ยังคงว่างเปล่า ก่อนจะใช้ดินสอเขียนสิ่งที่ผมต้องการ

    “พอได้แล้ว”

    สั่งอีกแล้วสินะ --- ผู้กำกับของละครเรื่องนี้ค่อนข้างจะโหดร้ายอยู่ชอบกล ไม่อยากให้ผมเสียสติไปแต่ก็ไม่หยุดให้ผมเล่นบทแสนโศกอยู่ดี เหมือนกับคนข้างนอกไม่มีผิด ดีแต่สั่งสอนคนอื่นทั้งที่ควบคุมตัวเองยังไม่ได้...แต่ผมเล่าจะมีสิทธิ์อะไรเล่า ร่างกายและจิตใจไม่ใช่ของผมด้วยซ้ำไป จะมีก็แต่มือขวาของผมเองเท่านั้นแหละที่เรียกได้ว่าเป็นของผมจริง ๆ

    สนุกเหลือเกินนะ กับการควบคุมคนอื่น...ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมองเห็นมันเป็นกองถ่ายละครโทรทัศน์ด้วยนะ ถ้าอุปมาเป็นละครหุ่นเชิดอาจจะฟังดูเข้าทีกว่ามั้ยล่ะไอ้ความเศร้าบ้านี่!

    อยากโทษคนอื่นเหลือเกิน

    แต่ไม่มีเหตุผลแม้แต่จะโทษคนอื่น

    อยากโทษตัวเองเหลือเกิน

    แต่ไม่มีเหตุผลแม้แต่จะโทษตัวเอง

    อยากนอนอยู่ในคุ้งน้ำนี้แล้วไม่ต้องใส่ใจว่าพรุ่งนี้จะเขียนนได้กี่คำ จะอ่านหนังสือได้กี่หน้า จะได้กินข้าวรึเปล่า กาแฟจะจืดลงหรือไม่ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

    ขี้เกียจจนไม่อยากทำอะไร, ก็จริง, แต่ก็อยากขยับตัวสักนิดก็ยังดี

    แล้วแบบนี้จะถือว่าผมยังขี้เกียจอยู่รึเปล่าถ้ายังคิดอยากจะทำอะไรสักอย่าง

    ปฏิทรรศน์เกิดขึ้นแล้ว

    “ทำไมยังไม่ร้องไห้ออกมาอีกล่ะ”

    นั่นซีนะ...ทำไมผมยังไม่ร้องไห้ออกมานะ ถ้าเกิดกรีดร้องและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าไปผมคงจะปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง แต่ทำยังไงดีล่ะ รอบตัวก็ไม่มีอะไรจะให้ขว้างปาได้เลย

    แก้วกาแฟนี่ก็ไม่มีวันแตกแน่ ๆ , แล้ปท็อปก็แพงเกินกว่าจะทุบทิ้ง, หนังสือก็มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าที่จะเอามาเขวี้ยงทิ้งเป็นหินกรวด

    เฮ้อ

    อย่างน้อย ถ้าเกิดอยากออกไปข้างนอกได้ก็คงจะดี

    ผมเริ่มเดินวนไปมารอบ ๆ ห้อง เดินก้าวย้ำไปขวาสองก้าว หมุนกลับมา ซ้ายอีกสามก้าว และก็เป็นขวาสามก้าว ซ้ายสี่ก้าว ขวาสี่ก้าว ซ้ายห้าก้าว ขวาห้าก้าว ซ้ายอีก...หกก้าว

    หนึ่ง, สอง, สาม, สี่

    เหมือนผมจะมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว --- คราวนี้ไม่มีแม้กระทั่งกองถ่ายของผู้กำกับความเศร้า ไม่มีแม้กระทั่งแสงจากแล็ปท็อป ไม่ได้กลิ่นของโกรกธารแห่งความสิ้นหวัง ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของคนภายนอกที่กำลังนินทาว่าร้ายกัน และแล้วผมจึงได้รู้ว่าผู้กำกับความเศร้าได้ความเศร้าจากผมมากพอที่จะเอาไปเป็นความสุขของตัวเองแล้ว

    แต่ผมยังไม่หายเศร้า ไม่เคยหายเศร้าเลยสักครั้ง

    เสียงของคนจากข้างนอกเริ่มดังขึ้น...ก่อนจะเบาลง

    และแล้วเมื่อผมล้มตัวลงนอนบนเตียง --- จุดที่สมควรจะเป็นเตียงของตัวเอง น้ำตาผมก็ไหลออกมา

    ผมจะทำยังไงดีนะ ถึงจะได้ให้ความเศร้านั้นกลับมาอีกครั้ง

    อย่างน้อยเพื่อที่จะได้ตอบโต้และสามารถประกาศเจตนารมย์อันต่ำต้อยของตัวเองได้อีกครั้งว่า “ผมจะไม่เศร้าอีกต่อไป”



    “ผมจะไม่ขี้เกียจอีกต่อไป”

    กลิ่นสาบสางของยามเช้าเตะจมูกเสียจนแสบฉุน ผมลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนอีกครั้ง --- มีแสงรำไรลอดผ่านม่านหน้าต่างอันหนาทึบ ไม่มีเสียงก่นด่านินทามากนัก จะมีก็ติดค้างอยู่ในสำนึกแสนเล็กจ้อยของตนเท่านั้นเอง

    ผมเกาหัวแกรง ๆ อย่างงุนงง --- ไม่รู้ว่าตัวเองปิดไฟไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ว่าตัวเองดื่มกาแฟแก้วที่สองหมดไปเมื่อไร ไม่รู้ว่าตัวเองปิดแล็ปท็อป ณ ปลายเตียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่

    แต่นี่เช้าแล้ว

    อย่างน้อยผมก็ยังอยากให้มีคนที่ยินดีกับการที่ผมตื่นเช้าสักคน...และคนแรกที่ควรจะยินดีกับผมก็ไม่ใช่ใครอื่น

    ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา พบว่ามีเพื่อนส่งข้อความมาถามผมหลายคน เมื่อคืนพวกเขากำลังหัวเสียที่เกมออนไลน์เกิดระบบล่มในฉับพลัน ท่าทางเป้นเรื่องน่าหัวเสียที่ชวนติดตามกว่าสื่อลามกขี้เกียจ (Lazy Porn) ของผมเสียอีกนะ...แล้วผมก็เปิดแล็ปท็อปขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าแบตเตอรีเหลือไม่มากก็จริงแต่ก็ยังพอตรวจตราอะไรได้บ้าง

    กดเข้าไปในหน้าเอกสาร มันก็ยังคงว่างเปล่า

    และตอนนี้น่ะนะ, แดดเช้าเกินกว่าจะคิดเรื่องที่จะเขียนออก...แต่ก็เช้ามากพอที่จะนั่งจิบกาแฟ

    วันนี้ก็ยังคงขี้เกียจเหมือนเดิม --- ยังไงความรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรก็ไม่เคยหายไปง่าย ๆ

    แต่ผมก็อยากไปดูปลาแย่งอาหารเม็ดรสชวนแขยงในบึงที่สวนสาธารณะจังเลยนะ อย่างน้อยก็จะได้เล่นบทนางเอื้อยที่คอยควานหาแม่ปลาบู่ทองบ้าง

    อย่างน้อย, อย่างน้อยที่สุดการรำพันในจินตนาการของตัวเองก็น่าจะช่วยผมได้บ้าง ในฐานะที่ผมยังคงเป็นเด็กชายตัวเล็กอยู่น่ะนะ

    ว่าแล้วก็ต่อสายชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้า ๆ เดินไปเปิดประตู








    AFTERWORD:

    สำหรับใครที่อ่านไม่รู้เรื่องก็อยากจะบอกว่าถูกต้องแล้วครับ (หัวเราะ) ครั้งนี้ผมตั้งใจทำให้มันไม่รู้เรื่องเอง เรียกว่าเป็นการถอดสมองแสนสับสน วับซ้อนของตัวเองมาตีแผ่นี่แหละครับ

    คิดเห็นอย่างไรสามารถแสดงความคิดเห็น หรือให้กำลังใจผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้นะครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in