NOTICE:
มีพฤติกรรมเกี่ยวกับเพศ อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 15 ปี โปรดใช้วิจารณญาณ
Hotel Love
ที่จริงเขาเองก็อยากจะคุยกับอีกฝ่ายต่อสักหน่อย แต่จากที่ท่าที่เขาเดินไปหยิบน้ำมาดื่มแล้วก็ชักจะไม่มั่นใจเท่าไรนัก
หนุ่มวัยสามสิบสองนั่งอยู่บนเตียง มีเพียงผ้าห่มที่คลุมร่างกายไว้เท่านั้น --- เสร็จสิ้นจากกิจกรรมทางเพศด้วยกันแล้วก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อ เขามองดูอีกฝ่ายที่เขาขับรถพามาด้วย เด็กหนุ่มวัยยี่สิบหกปีท่าทางแข็งแรงแต่ออกจะแบบบางไปสักหน่อย ทว่าแผ่นหลังนั้นหนาจนเห็นได้ชัด เขาเดินเปลือยกายพะว้าพะวังกับโทรศัพท์ก่อนจะเหลือบมองเขาด้วยดวงตาแบบเดิมกับที่เขาเคยทำมาตลอด
“พี่โต๊ดไม่รีบกลับเหรอครับ”
เขาตอบยิ้ม ๆ “ขอพี่พักแป๊บหนึ่งนะ” แล้วทำทีเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ้าง
ทว่าก็ยากจะปฏิเสธเหลือเกินว่าในใจกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา --- ก็จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานัดหมายกับชายอื่นเพื่อมามีสัมพันธ์กัน และทุกครั้งอย่างมากก็จะจบที่การทำตามข้อตกลงซึ่งวางกันไว้: ถ้าไม่จ่ายเงินค่าบริการก็ต้องเดินทางกลับ จะต้องขับรถไปส่งหรือแยกทางกันหลังจากนั้นก็สุดแต่เรื่อง
มองชายเปลือยซึ่งนั่งทอดน่องบนโซฟา ณ มุมติดหน้าต่างกระจกฉายภาพเมืองหลวงแล้วก็เอ่ยถามเบา ๆ เพื่อทำลายความเงียบ
“น้องยักษ์ไม่ทำงานเหรอครับพรุ่งนี้”
เขาหันมาตอบยิ้ม ๆ “ถ้าเกิดพี่อยากจะนอนค้างด้วยผมก็ไม่ขัดหรอกครับ --- ยังไงก็พี่ก็ไม่ได้ซื้อผมมาด้วย”
เป็นคำตอบที่เย็นชาและเจ็บแสบเหลือเกิน พ่อคนนี้ผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้างนะ...แม้เขาจะคิดอยู่ในทีว่าบางครั้งอาจจะเพราะเขาเป็นรุกจึงมักพูดแบบที่ผู้ชายหลายคนเป็นกัน..แต่ตราบใดที่เขายังเป็นผู้ชาย และเหมือนกับผู้ชายทั้งโลก ทั้งที่เคยผ่านมาหรือไม่ก็ดี มันก็ยังมีวิธีอีกตั้งสารพัดที่จะพูดโดยไม่หักหาญน้ำใจหรือตอกหน้ากันเช่นนั้น
แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาก็กลับรู้สึกได้อย่างช้า ๆ ว่าใจความจริง ๆ มีเพียงแค่ส่วนแรกเท่านั้น --- ‘ยังไงก็พี่ก็ไม่ได้ซื้อผมมาด้วย’...อย่างไรเสีย, หากคิดว่าเป็นแค่สร้อยคำก็คงจะบรรเทาความไม่พึงใจลงไปได้บ้าง
พวกเขาอยู่ในความเงียบ...นานแสนนานทีเดียวจนแทบไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงหลังจากเห็นบนหน้าไทม์ไลน์ของเฟซบุ๊กว่าเหล่าชายหนุ่มที่เคยกดรับเพื่อนในเฟซบุ๊คยังคงอยู่ดีมีสุขไม่ทุกข์กายใจอะไร
“อยากกินอะไรหน่อยมั้ย เดี๋ยวขากลับพี่แวะไปซื้อให้”
อีกฝ่ายหันมามองด้วยสายตาเดียวดาย “ไม่เป็นไรครับ”
ไม่ได้พ่วงสร้อยแบบที่เคยทำไปเมื่อครู่...ความอึดอัดก่อขึ้นเป็นกำแพงอากาศบาง ๆ --- ไม่อาจแน่ใจได้ทีเดียวว่ามันเริ่มก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่...อาจจะเป็นหนุ่มคนนั้นที่สร้างกำแพงเพื่อแบ่งอาณาเขตมาตั้งแต่ต้นแล้ว ทั้งที่เขาก็ช่วยสำเร็จกิจกับเขาอย่างแนบแน่นไป
“แล้ว...กับพี่เป็นไงบ้าง? ”
เขาหันมามองก่อนจะตอบเบา ๆ “ดีครับ”
“แล้วครั้งต่อไปพี่นัดอีกได้มั้ย?”
“ได้ครับ”
ฟังดูเหมือนจะไม่มีเยื่อใยอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้างั้นไปกันเลยมั้ย?”
เขาเหลือบมองคนที่อยู่บนเตียงก่อนจะถามด้วยแววตาดังนั้น“เอาจริง ๆ ...ผมว่าพี่แปลก ๆ”
“เอ๋?”
เมื่อมองลึกลงไปในแววตาของหนุ่มนักรักผู้นั้นเขาก็ชักจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ท่าทางเขาดูไม่ใส่ใจโลกใบนี้เลยด้วยซ้ำ --- ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไปว่าเขาจะอายุมากกว่าที่เคยส่งข้อความบอกไปถึงสามปี ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าเขาชื่ออะไร ถึงรู้แล้วก็ไม่แม้แต่จะเรียกเขาเลยด้วยซ้ำตราบใดที่ไม่มีการตอบสนองของเขา...ดูแล้วเป็นผู้ชายที่น่าหงุดหงิดเหลือเกิน
ชายหนุ่มหัวเราะ ได้แต่ก้มมองผ้าห่มสีขาวสะอาดไม่กล้าสบตาใคร
“น้องนั่นแหละแปลกกว่าพี่อีก”
“เหรอครับ” อีกฝ่ายลุกขึ้นจากโซฟาพลางก้มหยิบแก้วน้ำซึ่งตั้งบนโต๊ะพื้นกระจก ยักเยื้องร่างกายเอื้อยอิ่งไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำใส่แก้วดื่มเป็นคำรบสอง
“น้องอายุยี่สิบหกจริงเหรอครับ?”
อีกฝ่ายหันมามอง ตอบประหนึ่งจะเหน็บแนม “ถ้าพี่เชื่อแบบนั้นไปแล้วผมคงไม่เปลี่ยนหรอกครับ”
“เอ่อ...พี่ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น --- ”
“ยี่สิบสอง” ชายหนุ่มตอบ ดื่มน้ำหมดแก้วทรงเตี้ยภายในอึกเดียว “พี่ล่ะ?”
“ย...ยี่สิบเจ็ด”
“ครับ”
แล้วเขาก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ไม่ได้สนใจว่าความหนาวเหน็บจากเครื่องปรับอากาศนั้นจะทำร้ายผิวเขามากแค่ไหน เพราะคนที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยใจสับสนแลจะสะท้านด้วยความเยือกเย็นนั้น
ทั้งจากอากาศในห้องยามราตรีที่ไม่ไหลหวนคืน...และจากดวงตาของหนุ่มที่เขาพามา
เด็กหนุ่มถามต่อ “จะว่าไป...พี่ไม่รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขืนใจบ้างเหรอครับ? ”
อีกฝ่ายนิ่ง ไม่กล้าหันไปมองใบหน้านิ่งยะเยือกซึ่งตรงมายังเขา กำผ้าห่มอยู่บนนั้นนิ่ง ๆ พลางถอนหายใจก่อนจะพูดเพียงเบา ๆ
“ไม่หรอก...พี่ก็ทำต่อเมื่อที่อยากเท่านั้นแหละ”
“ไม่เคยรู้สึกผิดเลยใช่มั้ยครับ? ”
“หมายความว่ายังไงเหรอ? ”
เขาหัวเราะขึ้นมาททีหนึ่ง, ครั้งเดียวเท่านั้น
“ถ้าเกิดคนที่เคยหลับนอนด้วยกันไม่ใช่มีเพียงเราแค่คนเดียว...อะไรแบบนั้น”
ถึงกับต้องหัวเราะออกมา ชายที่อยู่บนเตียงเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ
“โธ่...อะไรกัน นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว...พี่น่ะไม่เป็นไรหรอก อายุก็สามสิบแล้ว…”
เมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากพูดความจริงออกไปแล้วก็เงียบอึ้ง --- มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยคุยกับชายหนุ่มวัยสิบเก้าในแอปพลิเคชันหาคู่: เด็กหนุ่มคนนั้นแค่อยากได้เพื่อนที่อายุเท่ากัน แต่เมื่อเขาเห็นว่าอายุจริงของเขานั้นสามสิบปีแล้วก็หนีหายไปไม่กลับมาอีกเลย...โลกในสังคมนั้นก็เป็นเช่นนี้นี่เองไม่ซับซ้อนหรือยากเย็นอะไร, เพียงแค่ไม่ถูกใจใครก็หนีไปเห็นจะดีเป็นที่สุด อย่างน้อยก็ทำร้ายจิตใจกันน้อยกว่าต้องทนคบหากันแกน ๆ แม้เพียงชั่วราตรีหนึ่งเท่านั้น
เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดด้วยแววตาที่โล่งใจ --- เขาสัมผัสได้
“บอกออกมาแล้วสินะครับ”
“แล้วยังไงล่ะ? ” คราวนี้ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้ชายวัยสามสิบรู้สึกอะไรขึ้นบ้าง “พี่เองก็ไม่ได้แก่เกินไป --- ”
“ครับ” เขาขัดขึ้น “ไม่มีใครหนุ่มกว่าหรือแก่กว่าเท่านั้น --- โลกนี้คนเราจะมีอะไรกันก็เพราะว่าถูกกลิ่นหรือไม่ต่างหาก”
“พูดเหมือนพวกเราเป็นสัตว์เลยนะ”
“รึไม่จริงครับ? ”
วิวาทะยอกย้อนของหนุ่มผู้นั้นกำลังตอกย้ำความเห็นแก่ตัวของตัวเป็นนัย ๆ อย่างไรก็ดี จะบอกว่าไม่ได้หัวเสียกับความทีเล่นทีจริงนั้นเลยก็คงจะหลอกตัวเอง เขาดึงผ้าห่มออกจากตัวก่อนจะถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นบ้าง...ไม่พบอะไรนอกจากขวดน้ำแเปล่าขนาดครึ่งลิตรเท่านั้น ตั้งอยู่อย่างเดียวดายบนชั้น ณ ฝาตู้เย็น ผมหยิบมันแล้วเปิดฝาดื่มโดยตรง
หันไปมองอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่แยแส ชายหนุ่มถามออกไปอย่างสุดจะทน
“ว่าแต่น้องโอเคกับพี่จริงเหรอ? ”
อีกฝ่ายเหลือบมองผมพลางทำหน้าจริงจังขึ้น “ถ้าเกิดให้พูดจริง ๆ ก็...มันก็ปกติแหละครับ”
“ไม่ชอบล่ะสิ”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำให้พิสดารกว่าทุกครั้งนี่ครับ --- เว้นเสียแต่ว่าพี่อยากจะได้แบบนั้น”
ตอนนี้สองคนสบตากัน ณ ต่างมุมของห้องพักแสนวิเวก เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งหั่งดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อีกไม่กี่นาทีก็คงจะใกล้สี่ทุ่ม --- หนุ่มวัยสามสิบคิดเพียงว่าตัวเองอยากเดินออกไปจากที่นี่ให้พ้น แต่มีอะไรบางอย่างที่รั้งเขาไว้อยู่
“น้องเคยมีแฟนรึเปล่า? ”
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ครับ”
“แล้วตอนนี้ยังคบอยู่มั้ย? ”
อีกฝ่ายได้ฟังคำถามก็ตอบกลับมาอย่างเอื้อยอิ่ง “เลิกไปได้สองปีแล้วครับ”
“แล้วทำไมถึงเลิกกันเหรอ? ”
“...หลาย ๆ เรื่องน่ะครับ”
ชายวัยสามสิบนิ่งเงียบ อีกฝ่ายจึงถามกลับราวกับเห็นเรื่องคุยใหม่
“พี่ล่ะครับ? เลิกกับแฟนแล้วเหรอ? ”
“ถามเหมือนว่าพี่เคยมี…” ว่าแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา แต่ในใจออกจะสะท้านอยู่เนือง ๆ ...เขายังไม่เคยบอกอีกฝ่ายเรื่องความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้เลย
หนุ่มวัยยี่สิบสองวางโทรศัพท์บนโต๊ะตรงหน้า ทอดกายบนโซฟาแล้วพร่ำไป ตาเหลียวมองเพดานที่อาบด้วยแสงสีฟ้าจากภายนอก
“ที่จริง...ถ้าผมทำอะไรสักอย่างกับโลกเมื่อตอนนั้นได้ ผมคงไม่อยากคบกับใครเลยเหมือนกันครับ”
“ทำไมล่ะ? ”
“มันเหนื่อยน่ะครับ...เหมือนกำลังวิ่งไล่ตามตัวเองอีกคน, ทั้งที่จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไหร่”
“แปลกจังนะ...ไม่คิดว่าเพราะเรารักเขา เราจึงยอมเป็นอีกคนดูล่ะ? ”
“ถ้าเรารักเขาแต่เรายังเป็นตัวเองไม่ได้ งั้นแบบนั้นเรียกว่าความรักเหรอครับ? ”
“นี่นะ --- เวลาเรารักใครสักคนมันไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นเขาหรอก แต่เขากับเราก็ต้องปรับหรือตัดอะไรให้มันพอดีด้วย”
“แต่ว่า, เพราะพี่ตัดทุกอย่างออกไปแล้วก็ยังไม่พอดีกับเขารึเปล่าครับถึงต้องเลิกไป”
“แทงใจดำจังเลยน้า…”
รู้สึกราวว่าตัวเองได้กลับไปทุ่มเถียงไร้สาระกับชายหนุ่มคนก่อนที่เคยคบหากัน ทว่าคนที่ชายซึ่งกำขวดน้ำอยู่หน้าตู้เย็นระลึกได้ไม่ใช่พวกที่พูดจาเข้าใจยากเช่นนั้น...อย่างมากก็ไม่ใช่พวกพยายามเอาชนะโลกใบเล็ก ๆ แห่งนี้แน่นอน เขาดื่มน้ำจากขวดแล้วพูดต่อ
“แล้วสรุปที่เลิกกันก็เพราะอยาก...เอ่อ, เที่ยวแบบนี้เหรอ? ”
“คิดว่าแบบนั้นเหมาะกับตัวเองน่ะครับ” ไม่ต่างอะไรกับการสัมภาษณ์ เว้นเสียแต่พวกเขาหลับนอนกันแล้ว เด็กหนุ่มถามกลับอย่างแทงใจดำ “ว่าแต่, ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเหรอครับที่ตัวเองไล่ตามอะไรก็ไม่รู้แต่ถามออกไปไม่ได้? ”
“อะไรที่พูดออกไปไม่ได้นี่มัน…”
“จะเรียกว่าความรักก็ไม่เต็มปากน่ะครับ” เด็กหนุ่มให้เหตุผล ยังคงไม่ลุกไปจากโซฟา ประพฤติตนประหนึ่งแมวที่ชอบที่นอนนุ่ม ๆ แคบ ๆ อุ่น ๆ “เพราะสุดท้าย, ที่ที่เราเริ่มคือความรู้สึกอยากได้สิ่งนั้นมาเป็นของตัวอยู่แล้ว --- ถ้าแบบนั้นผมคงเรียกว่าความรักไม่ได้หรอก”
“พี่ชักจะเหนื่อยกับแกแล้ว…”
อีกฝ่ายถึงกับต้องถอนหายใจแล้วบีบหัวตา เดินกลับไปนอนแอ้งแม้งที่เตียงอย่างสิ้นท่า --- ศึกคราวนี้อาจจะอีกยาวนานหากเขาไม่ยอมล่าถอยไปเสียก่อน
“แต่พี่ก็แปลกจริง ๆ ด้วย” เด็กหนุ่มบนโซฟาลุกขึ้นยืน เดินตรงมาที่เตียงก่อนจะก้มมองอีกฝ่าย “ปกติไม่มีใครยอมเสียเวลาเถียงกับผมนาน ๆ หรอก”
“แกน่ะสิแปลกกว่า”
เหล่าชายแปลกสองคนขยับตัวเพื่อขึ้นไปอยู่บนเตียง ชายหนุ่มทอดกายเปล่าเปือยมองดูเพดานที่มืดสลัวด้วยไม่โดนแสง มองดูอีกฝ่ายที่เหมือนจะเลียนแบบเขาแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“แล้วยังคิดถึงแฟนเก่าอยู่รึเปล่าครับ? ”
“ผ่านมาสองเดือนแล้วนี่เนอะ...แต่มันไม่ได้ทำให้เสียใจอะไรหรอก, ไม่อีกแล้วล่ะ”
“เหรอครับ…”
“แล้วตอนที่เลิกกับคนนั้นน้องรู้สึกอะไรรึเปล่าล่ะ? ”
“มันเหมือนจะจุก ๆ อยู่ในอก --- แต่มันก็หาย”
“เหมือนมีคนต่อยมาจากข้างใน”
“ครับ”
แล้วเงียบไปนาน...แสนนานทีเดียว --- ชายวัยสามสิบเงยหน้าขึ้นมองดูเพดาน ครั้งนี้เหมือนเขาจะเห็นอะไรที่ดึงความสนใจได้แล้วนั่นจึงดึงเขาให้ตกอยู่ในภวังค์นั้น จับจ้องมันนานกว่าเดิมท่ามกลางเสียงหายใจเบายะเยือก เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงคอมเพรสเซอร์ตู้เย็นที่ครางเบา ๆ ผสมกัน
เขากลับมามองเด็กหนุ่ม ซึ่งพวกเขาได้เคยทำมากกว่าแค่คุยกันไปเมื่อชั่วโมงก่อน
“พรุ่งนี้มีเรียนรึเปล่า? ”
“ตอนนี้กำลังหางานอยู่ครับ”
“พยายามจะเลี่ยงไม่บอกว่าตกง่านสินะ”
“ครับ” ยอมรับโดยดี
เงียบไปอีกครั้ง อยู่ในขณะการรวบรวมความกล้า
“อยู่กับพี่อีกหน่อยได้มั้ย? ”
อีกฝ่ายหันมามองด้วยรอยยิ้ม --- เป็นยิ้มของชายผู้พยายามเอาชนะด้วยตรรกะวิบัติและความกวนประสาท
“จะขอให้ผมเป็นตัวแทนของแฟนเก่าเหรอครับ? ”
“ไม่ล่ะ แค่อยู่คุยจนกว่าจะหลับก็พอ”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเริ่มถามถึงอนาคต
“แล้วพี่จะหลับตอนไหนล่ะครับ? ”
นิ่งนึกอยู่นานแสนนาน ชายหนุ่มก็ปล่อยมือที่กอดอกอยู่วางแผ่บนฟูกนอน “จนกว่าจะได้คำตอบนั่นแหละ...ว่าพี่มีความรักและเสียใจไปทำไม”
“ผมคงให้คำตอบไม่ได้หรอกครับ”
เขาพูด ก่อนจะเงยหน้ามองดูเพดานอีกครั้ง
AFTERWORD:
เหมือนตัวเองเก็บกดเลยแฮะ (หัวเราะ)
อย่างไรแล้วรวมเรื่องสั้นนี้, ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าจะยาวสั้นแค่ไหนหรือไปสุดเมื่อไหร่ แต่ส่วนใหญ่แนวเรื่องจะสะเปะสะปะกันหน่อยนะครับ ถ้าเกิดใครมีความคิดเห็นอย่างไรสามารถพูดคุยกันได้ครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in