เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มนุษย์กรุงเทพฯSALMONBOOKS
มนุษย์กรุงเทพฯ
  • 001  สาทร




    “ผมอยากมีคอนเสิร์ตของตัวเอง ดูคอนเสิร์ตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ของเอลวิส เพรสลีย์ แล้วก็อยากไปอยู่ตรงนั้นบ้าง แต่ไม่รู้จะไต่เต้ายังไง แนวเพลงที่ตัวเองชอบก็เป็นเพลงสากลเก่าๆ เป็นเพลงที่วัยรุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยฟังกัน ถ้าให้ไปเล่นในร้านก็ยากที่ใครจะรับเราไปเล่น ผมเลยต้องมาหาที่เล่นของตัวเอง

    “วันแรกที่มาท่าเรือสาทร ความรู้สึกคือ ‘เฮ้ย! ตรงนี้มันคือที่ของเรา’ ผมชอบเล่นดนตรีในที่ที่มีคนเยอะๆ และไม่ใช่แค่คนไทย ตรงนี้มีคนต่างชาติผ่านไปมา มันเหมาะกับการเล่นเพลงสากลเก่าๆ แบบที่ผมชอบ ผมเริ่มเล่นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2557 เล่นมาเรื่อยๆ เฉลี่ยสัปดาห์ละสามสี่วัน เหมือนเป็นอาชีพไปแล้ว

    “เมื่อประมาณสองเดือนก่อน (สัมภาษณ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2558—ผู้เขียน) มีกลุ่มชาวต่างชาติล่องเรือลำใหญ่มาลงที่ท่าเรือสาทร ผมกำลังร้องเพลง What a Wonderful World ของ หลุยส์ อาร์มสตรอง ชาวต่างชาติรุ่นพ่อรุ่นแม่เกือบร้อยคนเดินมามุง ตอนแรกผมก็งงๆ ว่ามาทำอะไรกัน พวกเขามายืนมุงแล้วร้องเพลงไปพร้อมๆ กับผม ‘what a wonderful world...’ (ทำเสียงฮัมเพลง) วันนั้นผมน้ำตาคลอเลยนะ ไม่คิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีคนมาร้องเพลงด้วยกันมากขนาดนั้น มันเหมือนผมได้เล่นดนตรีอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ”

  • 002  เทเวศร์

    “ผมทำอาชีพนี้มา 22 ปีแล้ว เริ่มจากมีลุงป้าน้าอาในหมู่บ้านมาขายก่อน ใครได้ดีก็พากันมาเรียกว่าเป็นอาชีพของหมู่บ้านเลย สักร้อยสองร้อย คันได้ที่มาจากหมู่บ้านผม (บ้านชาดใหญ่ ตำบลหัวเรือ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม) ก็แยกกันขายไปทั่ว ทั้งอุดรธานี ขอนแก่น ยโสธร โคราช แล้วก็กรุงเทพฯ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนแรกที่มาขายในกรุงเทพฯ คือใคร

    “ผมเริ่มจากรถเข็นขายกระปุกออมสินเป็นหลัก แล้วผ่านไปแถวเยาวราช เลยเอาสติ๊กเกอร์จากที่นั่นมาขายเสริม จนตอนนี้ขายสติ๊กเกอร์เป็นหลักแล้ว น้องสาวผมมีเครื่องทำสติ๊กเกอร์อยู่ที่บ้านนอกด้วย อยากได้แบบไหนก็โทร.บอก แล้วเขาจะส่งไปรษณีย์มาให้

    “คำพวกนี้ก็มาจากลูกค้านะ เช่น มีคนมาถามถึงคำว่า ‘เหนื่อยแทบตายกว่าจะได้มันมา’ เราก็จดเก็บไว้เรื่อยๆ ลูกค้ามีทั้งแท็กซี่ สามล้อ บางทีก็มีฝรั่ง รายได้ก็เลี้ยงตัวได้เลย มันดีตรงที่เราเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร สบายใจ ผมคงขายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตั้งใจว่าอายุสักหกสิบค่อยกลับไปอยู่บ้าน”
  • 003  ห้วยขวาง


    “ทำมาตั้งแต่ปี 2543 สมัยก่อนสนุกนะ ขี่จักรยานไปเป็นกลุ่มๆ ใครถึงพื้นที่รับผิดชอบก็แยกไป เดี๋ยวนี้บางที่ยังขี่จักรยานอยู่ เดินเข็นรถก็ยังมี แต่ของตัวเองไม่ไหว เพราะโซนที่รับผิดชอบกินพื้นที่กว้าง มีสินค้าแข่งกันเยอะ เราต้องทำเวลา เลยเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไซค์ ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยมาก ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่ง รับของที่ศูนย์ห้วยขวางประมาณวันละเจ็ดร้อยแปดร้อยขวด ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อก็ขาประจำ เลิกประมาณสี่โมงเย็น หมดบ้างไม่หมดบ้าง เหลือก็ฝากไว้แล้วขายต่อวันรุ่งขึ้น”

  • 004  สวนลุมพินี


    “ลูกชายของผมเกิดเมื่อปี 2543 ร่างกายภายนอกของเขาปกติดี กระทั่งวันหนึ่งมีคนทักว่า ทำไมเรียกแล้วไม่หัน พออายุหนึ่งขวบกว่าๆ ผมตัดสินใจพาไปตรวจ พยาบาลบอกผลว่าลูกชายของผมหูหนวก ผมเคยเห็นเด็กหูหนวกส่งภาษามือ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองเป็นวินาทีเปลี่ยนชีวิตเลย ตอนนั้นผมตกใจ นั่งร้องไห้ สงสารลูกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราเหมือนปฏิเสธตัวเอง คิดว่าหมออาจตรวจผิดเลยไปตรวจที่อื่น แต่ทุกที่ก็บอกเหมือนเดิม ผมถึงขนาดไปไหว้พระ บนบานศาลกล่าวขอให้เขาหาย ตอนลูกหลับก็เอาหูฟังเสียงดังๆ เปิดใส่ เผื่อจะกระตุ้นให้เขาได้ยิน เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เวลาผ่านไปก็เริ่มตกตะกอนว่าเป็นไปไม่ได้

    “ผมเริ่มซื้อหนังสือเกี่ยวกับคนหูหนวกมาอ่าน ศึกษาบทความต่างๆ ทางเลือกมีทั้งการฝึกใช้ภาษามือ แต่คนอื่นอาจสื่อสารด้วยยาก และสังคมก็จะแคบ ใช้เครื่องช่วยฟังก็เหมาะกับคนที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง จะให้อ่านปากก็ต้องใช้พร้อมเครื่องช่วยฟังอยู่ดี ซึ่งลูกของผมหูหนวกสนิทเลย หรืออีกทางคือการผ่าตัดประสาทหูเทียม สิบกว่าปีที่แล้วเมืองไทยมีอยู่บ้าง แต่เด็กที่ผ่ามักไม่ประสบความสำเร็จ คือพูดไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าทำสำเร็จ เขาจะสื่อสารกับคนทั่วไปได้ ผมเลยเลือกทางนี้

    “ประเทศที่ผ่าตัดได้ผลค่อนข้างดีคือออสเตรเลีย ผมติดต่อไปหาหมอคนหนึ่ง เขาผ่ามานับพันคน บินไปคุยสองครั้งแล้วถึงพาลูกไปตรวจ พอรู้ผลว่าผ่าได้ ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ เลยสอบเอาทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียไปทำวิจัย แล้วพาลูกไปผ่าเมื่อเดือนธันวาคม 2545 ใช้เวลาแค่สองชั่วโมง แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ เราต้องฝึกให้เขาเข้าใจเครื่องนี้ ปกติประสาทหูชั้นในมีลักษณะเป็นก้นหอย มีขนๆ อยู่ พอได้ยินเสียง ขนก็สั่นแล้วเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นสมอง แต่ลูกของผมไม่มี เลยใส่ขดลวดไฟฟ้าไปแทน เวลาพูดจะเหมือนที่เราพูดกัน แต่เขาจะได้ยินอีกแบบ สมมติคำว่า พ่อ เขาก็จะได้ยินเป็น ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

    “หลังจากผ่าตัด ช่วงแรกเขาไม่พูดเลย เราก็เครียด ไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือเปล่า ถ้าผิดก็ไม่รู้จะกลับไปยังไง เพราะการผ่าก็ไปทำลายของเดิมทั้งหมด ตอนนั้นพ่อแม่ต้องฝึกกับหมอสัปดาห์ละสามชั่วโมง เพื่อกลับมาฝึกลูก 24 ชั่วโมงที่บ้าน หลังหกเดือนเขาก็เริ่มพูดได้ เครื่องมีความละเอียดไม่เท่าหูคน ผมเลยเลือกฝึกภาษาอังกฤษเพราะวรรณยุกต์ไม่เยอะ อีกอย่างความรู้บนโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเขาพูดได้ อนาคตคงเรียนภาษาไทยได้ หลังจากนั้นเขากลับมาอยู่โรงเรียนอินเตอร์ฯ พูดอังกฤษได้ พูดไทยได้นิดหน่อย เป็นเด็กหูหนวกหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียนโรงเรียนคนปกติได้

    “การมีลูกเป็นคนพิเศษ ทำให้ผมมีโฟกัสมากขึ้น ชีวิตเรามุ่งกับเขาเป็นหลัก ผมต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เพื่อที่จะอยู่กับเขาให้นานที่สุด เราอยู่เพื่อเขา ตอนนี้ลูกผมอายุ 15 เขาเข้าใจ รับได้ คุยกับเพื่อนได้ ด่ากันได้ ใช้อินเทอร์เน็ตได้ เวลาไหว้พระ ผมไม่เคยขอให้เขาเป็นเด็กเรียนเก่งเลย ผมขอให้เขาเข้าสังคมได้ มีเพื่อนที่ดี ชีวิตมีความสุข ผมพอแล้ว”
  • 005  ทองหล่อ


    “พ่อทำงานในโรงงานปูนซีเมนต์ แม้ไต่เต้าจนได้เป็นหัวหน้าช่าง แต่ตำแหน่งก็ไม่ได้ใหญ่โต เขาเลยอยากให้เราเรียนและทำงานในสายช่าง แต่ผมชอบศิลปะ อยากเรียนต่อทางนี้ เลยแอบตามเพื่อนไปสมัครเรียนด้านศิลปกรรม เดินทางจากบ้านที่สระบุรีไปราชมงคลโคราช (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) ปรากฏว่าสอบได้ แต่เขาไม่อนุญาต ตลอดมาพ่อใช้ระบบระเบียบแบบทหาร ไม่คือไม่ คำพูดไม่มีอุทธรณ์ ถ้าแสดงการต่อต้าน เขาสวนกลับทันที เคยถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ผมอยากออกจากบ้านมาตลอด ครั้งนั้นเลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เริ่มเรียนที่โคราชปี 2534 เวลาผ่านไปไม่นาน ปี 2539 พ่อก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

    “พ่อถูกรถสิบล้อทับในโรงงานปูนซีเมนต์ ที่ที่พาเราไปเป็นประจำ เหมือนเป็นสวนสนุกในวัยเด็ก ที่นั่นแหละทำให้เขาต้องตาย ลูกน้องถ่ายภาพร่างของพ่อไว้สำหรับสู้คดี เมื่อคุณเปิดอัลบั้มภาพ คนเคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ บิดดัดให้คุณเป็นอย่างที่ต้องการ ตอนนี้อยู่ในสภาพถูกบิดดัดจนไม่เป็นร่างมนุษย์ เวลาป่วย เวลาเจอเรื่องกระทบใจ เวลาอ่อนแอทางความรู้สึก ภาพเหล่านั้นจะพุ่งเสียบเข้ามา เราเกิดคำถามตลอดว่า วินาทีที่ฝุ่นดินลูกรังฟุ้งกลบรถสิบล้อเขารู้สึกยังไง พอควันจางแล้วเห็นหน้ารถค่อยๆ พาร่างไปอยู่ใต้ล้อ เขาห่วงอะไรบ้าง เจ็บนานหรือเปล่า แม้จะเผาอัลบั้มไปแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นได้ติดตาเราไปตลอดชีวิต มันเป็นภาวะยอกย้อนทางความรู้สึก ผมไม่อยากบอกว่าเป็นความรักเพราะคงไม่ใช่ (เงียบนึก) แต่เพราะคุณห่วงเขา ห่วงฉิบหาย ความตายได้สร้างความพันผูกที่เจ็บปวด

    “ปมเรื่องพ่อกระทบกระเทือนจิตใจผมมาก ไม่เชื่อใช่ไหมว่าเอาดีทางศิลปะได้ เดี๋ยวทำให้ดูพยายามพิสูจน์มาตลอด แต่ตอนที่จากไปเขายังไม่ทันได้เห็น และไม่มีทางได้เห็นแล้ว เป็นความรู้สึกค้างเติ่ง ความตายได้พรากความไม่เต็มที่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะถมให้เต็มได้ ต่อให้พิสูจน์ตัวเองทั้งชีวิต คนที่คุณอยากให้รู้ เขาไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยู่แล้ว เราเลยหมดหน้าที่ ไม่ใช่ เราจะทำต่อไป ทำให้ดีที่สุด และไม่เหนื่อยที่จะพุ่งไปหาความปรารถนานั้น”

    _____________________________________

    “พอจบปวช. จากราชมงคลโคราช ที่สุดของการเรียนศิลปะต้องศิลปากร สอบครั้งแรกไม่ติด ผมเลยกลับมาเรียน ปวส. ปีต่อมาสอบใหม่ถึงติดคณะจิตรกรรม ระหว่างเรียนได้จ๊อบจากรุ่นพี่เป็นค่าใช้จ่าย พอมีโครงการกู้ กยศ. ก็กู้มาจ่ายค่าเทอม ปกติคณะนี้เรียนห้าปี แต่ผมจบห้าปีครึ่ง (หัวเราะ) ตอนนั้นความตั้งใจคืออยากเป็นศิลปิน อยากทำงานศิลปะ ผมสนใจ Installation Art แต่การทำงานค่าใช้จ่ายสูงมาก แล้วสมัยนั้นยากที่จะมีคนซื้อ เลยต้องหารายได้โดยการเป็นผู้กำกับศิลป์ภาพยนตร์ไทย งานโฆษณา ดีเจเปิดเพลง และเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์

    “ระหว่างนั้นผมพยายามหาสื่อมาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด เลยเขียนเรื่องสั้นออกมา ส่งไปสยามรัฐ ครั้งแรกก็ได้ตีพิมพ์ ส่งไป จุดประกายวรรณกรรม และนิตยสาร จีเอ็ม ก็ได้ตีพิมพ์ตอนนั้นคิดว่า ‘วรรณกรรม กูมาแล้ว!’ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงในระดับที่มากไปไหม (หัวเราะ) แต่พลังงานแบบนั้นแหละที่ขับเคลื่อน คนหนุ่มสาว เอาตามตรง ช่วงนั้นอยู่ได้เพราะแฟนเลี้ยง เขาเคยอ่านเรื่องสั้นที่ผมเขียน และเชื่อว่าคนคนนี้มีแรงระเบิดในตัว ผมจะไปทำงานโฆษณา เขาไม่อยากให้ไป ไม่พอใจด้วย บอกว่า ‘โฆษณาจ้างเท่าไหร่ ฉันจ้าง อยู่บ้านเขียนหนังสือไป’ แต่เขาไม่ได้ห้ามไปทุกอย่าง ผมเลยหางานที่เกี่ยวข้อง ทำงานพิสูจน์อักษรและบรรณาธิการหนังสือเล่ม

    “ผมส่งซีไรต์มาแล้วสองครั้ง ปี 2552 เป็นครั้งที่สาม ถ้าไม่ได้คิดว่าจะหยุด ปรากฏว่าปีนั้นได้รางวัล (นวนิยายเรื่อง ลับแล, แก่งคอย) ชีวิตเปลี่ยนเลย หนังสือได้รับการพิมพ์ซ้ำ มีคนเชิญไปบรรยายที่ต่างๆ มีเงินเป็นก้อน การได้รางวัลทำให้สิ่งที่พูดด้วยปากเปล่าสบโอกาส นั่นคือการได้แต่งงาน เทียบกับตอนได้รางวัลใหม่ๆ ช่วงที่ผ่านมารายได้ลดลงพอสมควร ผมเอานิยายที่เขียนไปเสนอนิตยสารรายสัปดาห์ พิมพ์หนังสือขายเอง งานแบบที่เราเขียนมีคนอ่านไม่มาก ก็หล่อเลี้ยงคนกลุ่มนั้นทำงานเต็มสติปัญญาของตัวเอง ใครมาว่าอะไรก็พูดได้ว่า เราทำเต็มที่แล้ว”

    สิ่งที่ดีที่สุดของอาชีพนักเขียนคืออะไร

    “คือการได้เขียนหนังสือ (เงียบนึก) เป็นที่ที่รับฟัง โอบกอด และปกป้องคุณจากความวินาศต่างๆ ของประเทศและของโลก หากมีเรื่องว้าวุ่น กังวล สับสน ขณะเขียนหนังสือคุณจะลืมทุกอย่าง ยิ่งทำจนเป็นชีวิตประจำวัน ทำจนเป็นภาวะแน่นอน คุณจะรู้ว่ามีที่หลบภัยเสมอ และมีความสุขด้วย การได้ตื่นมาอยู่กับมันทุกๆ เช้า แค่นี้ก็โคตรดีแล้ว ต่อให้ปีนั้นไม่ได้รางวัล ผมก็ยังจะเขียนหนังสือต่อไป”

  • 006  รังสิต


    “หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ผมเจอหมาจรตัวหนึ่งอยู่ใต้หอ มันตัวสีขาว แฟนผมเลยตั้งชื่อให้ว่า ‘กลูต้า’ ผมชอบเล่นกับหมาจรอยู่แล้ว เลยลองขอมือ กลูต้าก็ให้ เขามาอ้อน ทำหูลู่ใส่ เป็นหมาที่ทำให้ผมตกหลุมรัก เราค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ผมเอาอาหารมาให้ ทักทาย เล่นกับเขาอยู่ตลอด หมาที่ไม่มีคนดูแล เวลาเล่นด้วยเขาจะชอบนะครับ ทั้งที่ยังไม่ได้เลี้ยง แต่ผมเหมือนเป็นเจ้าของไปแล้ว กลับมาถึงหอ เขาก็วิ่งมาต้อนรับ

    “ช่วงนั้นยามที่หอพักไล่กลูต้า ถือกระบองเคาะเป๊งๆๆๆ เขาเป็นหมาขี้กลัวมาก เลยไปหลบตามซอกตึก วันหนึ่งผมกลับมาแล้วไม่เจอเขา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือเพื่อนของเราหายไปไหน ผมเรียกกลูต้าเสียงดังลั่น แล้วเขาก็โผล่หน้ามาที่ซอกรั้ว ส่งเสียงหงิงๆๆๆ ฉลาดมาก รู้จักเรียก ผมเลยเริ่มคิดว่าจะเลี้ยงไหม แต่ตอนนั้นเป็นนักศึกษา ภาระมากมาย เลยมีความลังเล พอวันต่อมา กลูต้าที่ไม่เคยเหยียบพื้นกระเบื้องของหอ เขาเดินตามผมขึ้นมา ผมปล่อยให้เดิน เขาเดินตามมาเรื่อยๆ ขึ้นบันได แล้วเข้าห้องผมไปเลย ผมเลยจับอาบน้ำ หาเห็บหาหมัด ตั้งแต่คืนนั้น ผมตัดสินใจเลี้ยงกลูต้าเลย

    “ผมแฮปปี้มาก กลูต้าเป็นหมาขี้เล่น ฉลาด คุยง่าย แต่ผ่านไปสองสามเดือน โรคค่อยๆ โผล่มา โรคผิวหนัง โรคนู่นโรคนี่ เดี๋ยวก็อ้วก เลือดหยด น้ำหนองไหล ต้องคอยตามเช็ด ส่งกลิ่นเหม็นมาก อาการสามวันดีสี่วันไข้ ผมต้องฝึกให้เขานั่งมอเตอร์ไซค์เพื่อไปหาหมอ จนตรวจเจอโรคมะเร็งช่องคลอด เป็นมะเร็งที่รักษาได้ แต่ค่ารักษาหลายหมื่น ช่วงนั้นผมรับจ้างถ่ายรูปรับปริญญาส่งตัวเองเรียน ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น มืดแปดด้าน ตอนนั้นคิดว่าอย่างน้อยขอทำแต่ละชั่วโมงให้ดีที่สุด ผมพยายามให้เขากินอิ่มนอนหลับ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงหมาเท่าไหร่

    “แล้ววันหนึ่งมีพี่สองคนที่เป็นแฟนกันเสนอตัวมาช่วยรักษา ผมดีใจมาก กลูต้าต้องทำคีโมสี่เข็มสองสัปดาห์ทำหนึ่งครั้ง ปกติเวลาเจอผม เขาจะเล่นด้วย แต่เนื่องจากทำคีโม เขาเลยเดินไม่ไหว เดินแล้วล้ม แต่สายตาเขาดีใจ น่าสงสารมาก ผมต้องอุ้มเขาไปฉี่ไปอึ พอทำคีโมครบก็เลเซอร์มะเร็งออก ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ กลูต้ากลายเป็นหมาที่ขนสวย กล้ามเนื้อเฟิร์ม ผมเห็นว่ารักษาอยู่หลายเดือน เขาคงเบื่อ เลยพาไปวิ่งเล่นตามทุ่งนา จากที่เคยเป็นหมาเชื่อฟัง เขาดื้อมากพูดอะไรก็ไม่เชื่อ วิ่งๆๆๆ กลิ้งๆๆๆ ผมไม่เคยเห็นโมเมนต์นั้นมาก่อน เขาโคตรน่ารักเลย ผมประทับใจมาก (เสียงมีความสุข) เพราะถึงเป็นความดื้อ แต่เป็นความดื้อที่ผสมความสุข

    “พอกลูต้าหายจากมะเร็ง ผมพาเขาไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เราเป็นช่างภาพอยู่แล้ว เลยถ่ายรูปเก็บไว้แล้วเอาลงเฟซบุ๊คของตัวเอง ปรากฏว่ามีคนกดไลก์เยอะ มีคนติดตามจนกลายเป็นกลุ่มแฟนคลับ ผมเก็บภาพมาเรื่อยๆ และเปิดแฟนเพจ ‘Gluta Story’ ขึ้นมา จุดเปลี่ยนที่กลูต้ากลายเป็นที่รู้จัก เกิดจากผมเอาเรื่องราวของเขาไปเล่าในเว็บไซต์พันทิป โพสต์รูป Before-After คนแชร์กันเยอะในชั่วข้ามคืน นักข่าวก็เอาเรื่องไปลง กลูต้าเลยมีคนติดตามเป็นจำนวนมาก

    “จากวันแรกที่เจออยู่ใต้หอ ผมเลี้ยงกลูต้ามาห้าปีแล้ว ทุกวันนี้สิ่งที่ผมพยายามทำในเพจคือการรีแบรนดิ้งหมาพันทาง คนทั่วไปอาจมองว่าน่ารังเกียจ สกปรก ฉากหลังเป็นถังขยะ แต่พอเอาหมาตัวเดิมมาอยู่ในบ้านที่ใช้เฟอร์นิเจอร์ อิเกียหรือถ่ายภาพโดยมีฉากหลังเป็นทุ่งดอกทานตะวัน หมาตัวนั้นจะสวยขึ้นทันที ผมอยากให้คนมองว่า หมาพันทางก็มีความน่ารักนะ”

    สำหรับคุณ ความพิเศษของหมาพันทางที่ชื่อว่า ‘กลูต้า’ คืออะไร

    “หมาพันธุ์แท้หน้าจะเหมือนๆ กัน แต่กลูต้าเป็นหมาลิมิเต็ดอิดิชั่น มันมีตัวเดียวในโลก แล้วก็เหมือนหมาทั่วไปแหละครับ พอผมกลับมาถึงบ้านแล้วรู้สึกเหนื่อยๆ เครียดๆ เขาจะทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ”
  • 007  สยามสแควร์


    “บ้านผมอยู่ยโสธร ช่วงวัยรุ่นเคยไปเป็นชาวประมง ที่ชุมพร ลงทะเล 15 วันถึงกลับเข้าฝั่ง เงินดี
    แต่ได้มาก็หมด เข้าฝั่งทีก็ค่าบุหรี่ ค่ากิน ค่าเที่ยว บนเรือไม่ค่อยได้เห็นอะไร พอเจอก็ซื้อดะ แต่มี ปีหนึ่งน้ำมันหมดทั้งประเทศเลย เรือออกไม่ได้ ผมเลยเข้ากรุงเทพฯ มาหาคนบ้านเดียวกันที่ซ่อมรองเท้าอยู่ เริ่มจากช่วยเขาก่อน ของผมเริ่มทีแรกหลังโรงหนังเฉลิมกรุง ทำอยู่สามสี่ปี รายได้ก็อยู่ได้ แล้วก็ย้ายไปแถวกองสลากฯ ไม่นานก็โดนไล่ (หัวเราะ) ผมเปลี่ยนมาเกือบสิบที่แล้ว ก่อนจะมาตรงนี้ (ตีนบันไดขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ฝั่งตรงข้ามมาบุญครอง) สยามสแควร์ซอย 2 แต่ก่อนยังไม่มีอะไร ผมรุ่นบุกเบิกเลยทำไปสักพักก็อิ่มตัว ช่วงนั้นมีม็อบเสื้อเหลืองพอดี คนก็น้อย ผมเลยเซ้งร้าน ได้เงินก้อนมาสามแสน ซื้อรถกระบะคันหนึ่ง กลับบ้านไปค้าขาย

    “ผมเริ่มจากขายปลา ไม่ถึงเดือนก็เจ๊ง ขายมะพร้าว ไม่ถึงเดือนเหมือนกัน ขายแตงโม พอขายไม่ได้สามวันบวมหมด ไม่ถึงเดือนก็เจ๊ง แล้วก็ขายมันแกว รับมาจากบุรีรัมย์ ซื้อหัวใหญ่ๆ มาขาย แต่คนแถวบ้านเขาว่าหัวเล็กๆ หวานกว่า พอขายไม่ได้มอดก็ขึ้น สักครึ่งเดือนก็เจ๊ง เราค้าขายโดยไม่รู้หลักการไง ตอนนั้นเงินเริ่มหมด เหลือรถคันเดียวแล้ว ผมมานอนคิดว่าเอาไงต่อ ครอบครัวก็เริ่มทะเลาะกัน หาว่าเป็นเพราะผมคนเดียว ตอนนั้นจะเข้ามากรุงเทพฯ ก็อายเขา คนเคยมีร้านใหญ่ๆ สมัยนั้นนางแบบชื่อตุ๊ก
    (ชนกวนันท์ รักชีพ) น่ะ ขาประจำผมเลยนะ คิดอยู่นาน ตัดสินใจเอารถจอดทิ้งไว้แล้วก็นั่งรถทัวร์มา มีทุนมานิดหน่อย

    “ตอนแรกไปอยู่ราชวิถีซอย 6 ไม่กล้ามาเปิดตรงนี้นะ อายเขา เราเคยมีเครื่องไม้เครื่องมือครบทุกอย่าง ตอนมาใหม่ๆ ไม่มีงานเลย คนมาซ่อมก็มีแต่ทหาร รองเท้าก็ซ่อมยาก ราคาก็ไม่ดี เขี้ยวๆ ทั้งนั้น ร้านข้าวแกงแถวนั้นสงสารผม เขาให้กินข้าวฟรีเลยนะ ผมต้องไปรับจ้างกวาดขยะให้วินรถตู้ อยู่ตรงนั้นสองเดือน ไม่ไหวแล้ว ยอมย้ายกลับมาที่เก่าดีกว่า ใครจะว่าไงก็ช่าง เราไม่มีกินแล้ว ผมไม่มีทุน เลยต้องอยู่สภาพแบบนี้ ทำอยู่สองสัปดาห์ มีคนจำได้ก็มาถามว่า ‘ไปไหนมาลุง’ เริ่มมีคนอุดหนุน แต่ไม่มีทุนก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ บางคนไม่ให้มัดจำ ผมก็ไม่มีเงินซื้อของ บางคู่ต้องเย็บกับเครื่องที่ร้านอื่น เราไม่มีทุนไปเอามา ลูกค้าก็ไม่มาเอาสักที นี่เพิ่งมีคนหนึ่งมาให้ผมอัดกาวใหม่ บอกว่า ‘กระเป๋าสตางค์โดนล้วง หนูมีสี่สิบบาท’ ผมก็คิดเขาสี่สิบบาทพอดี ‘งั้นลุงเอาไปยี่สิบบาทก่อนได้ไหม เดี๋ยวหนูเอามาให้’ ผมก็ซ่อมไป เขาก็โทร.หาเพื่อน ถามว่าอยู่หอไหมหรืออะไรนี่ล่ะ แล้วมาบอกผมว่า ‘เดี๋ยวหนูเอามาให้ได้ไหม ไม่เกินครึ่งชั่วโมง’ นี่ก็เป็นชั่วโมงแล้ว ผมว่าคงไม่ได้หรอก เจอแบบนี้ประจำ

    “บางทีก็ท้อเหมือนกันนะ ลูกเมียก็แยกย้ายไปคนละทิศละทางแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง มันมาแบบนี้แล้ว ตอนนี้ก็ตามยถากรรม ถ้ามีทุนแล้วแต่งเติมร้านให้มีสีสันหน่อย อาจจะดีก็ได้นะ นี่มันเหมือนเด็กเล่นขายของ คนมาถามอะไรก็ไม่มี ลูกค้าก็หายไปเรื่อย แต่มันยากที่จะมีทุนไง เราแค่พอกินไปวันๆ นอกจากถูกหวยแค่นั้น หวังหวยอย่างเดียว อย่างอื่นไม่หวังแล้ว (ยิ้ม)”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in