เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
miscellaneous thoughtslinwawrites
ยาต้านเศร้า
  • ประวัติการรักษาพยาบาลของฉันมียาต้านเศร้าอยู่ในนั้น

    ใช่, ฉันไม่รู้จะเล่าเรื่องนี้ที่ไหน นอกจากไดอะรี่และเพื่อนพ้องจำนวนนับนิ้วได้ เลยมาเล่าไว้ในนี้

    1 ปีก่อน ฉันประสบพายุทอร์นาโดในชีวิต ทั้งการงาน การเงิน ความสัมพันธ์รอบตัว จนฉันที่เคยเป็นฉันผู้ไม่แพ้ ฉันที่ร้องไห้เสียใจขนาดไหนเช้ามาก็จะตื่นมาทำงาน ฉันที่บอกตัวเองและทุกคนเสมอว่า ไม่ว่าจะยังไง มันต้องมีทางออกสิวะ

    วันหนึ่ง ฉันตื่นมาแล้วพบว่า ฉันไม่สามารถเป็นคน ๆ เดิมได้อีกต่อไป
    ตื่นมาร้องไห้ กินข้าวแล้วร้องไห้ ทำอะไรก็ร้องไห้
    แม้แต่การเขียนที่เป็นสิ่งที่รักที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต ก็ยังทำไม่ได้
    เปิดโปรแกรมเขียนงานขึ้นมา แล้วน้ำตาไหลเป็นสาย

    ฉันใช้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายหอบตัวเองไปโรงพยาบาล
    อันที่จริง ฉันเคยมีความคิดจะไปพบแพทย์หลายต่อหลายครั้ง แต่ถูกห้ามไว้เสมอ
    ถูกบอกว่า "คิดไปเองว่ามีปัญหา" "คิดมากเกินไปเองหรือเปล่า"
    ท่ามกลางความสงสัยว่าฉันเป็นอะไรสักอย่าง
    ในรถแท็กซี่ที่ไปโรงพยาบาลวันนั้น แรงฮึดเฮือกนั้นบอกฉันว่า 
    ในที่สุด ฉันก็เอาชนะคำบอกเหล่านั้นได้แล้ว

    /

    ในห้องตรวจ
    แพทย์บอกฉันถึงผลข้างเคียงของยาต้านเศร้า 
    หรือถ้าเรียกเจาะจง คือยากลุ่ม SSRI (สารยับยั้งการดูดซึมเซโรโทนินแบบเลือกสรร)
    แพทย์บอกว่า ยาเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เซโรโทนินกลับมาพร้อมใช้งาน
    แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนอื่น ๆ ในร่างกาย

    แม้เรื่องผลข้างเคียงจะน่ากังวลสำหรับคนวัยยี่สิบต้น
    แต่ใจหนึ่ง ก็โล่งอก ว่ากูเป็นอะไรสักอย่างเสียที
    ทว่าไอ้คำว่า "กูเป็นอะไรสักอย่าง" มาพร้อมคำถามมากมาย

    สงสัยว่าตัวเองดีพอไหม ดีแค่ไหน เป็นภาระใครหรือเปล่า
    สมองเจ้ากรรมขุดเอาคำร้าย ๆ ที่คนเคยสบประมาทดูถูกขึ้นมาแทงซ้ำ

    "คนอย่างมึงมันไม่มีวันประสบความสำเร็จหรอก"
    "เธอเป็นภาระของทีม ทำให้คนอื่นลำบากใจ"
    "คุณไม่เหมาะกับงานเขียนหรอก"
    "นอกจากเรียนเก่งมึงก็ไม่มีเหี้ยอะไรดีเลยสักอย่าง"

    รู้ตัวอีกที ฉันก็นอนคว้างอยู่บนที่นอน ไม่อาจทำอะไรได้สักอย่าง
    จะลุกขึ้นมากินข้าวยังลำบากเลย

    แต่ด้วยอะไรสักอย่างในใจ บอกฉันว่าเราไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ตลอดไป
    ตัวฉันจึงลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างอีกครั้ง
    ด้วยแรงสนับสนุนจากคนรอบตัว ที่สุด สิ่งที่ทำมันก็ทำให้ฉันไม่ยอมหยุดนิ่ง

    /

    สิบเดือนนับแต่นั้น
    ฉันเปลี่ยนโรงพยาบาลรักษา หาหมอคนใหม่
    "ร่าเริงเกินกว่าจะเป็นคนไข้หมอแล้วน้า" หมอทักทาย

    ฉันปรับเวลานอน เปลี่ยนชีวิตให้สมดุล
    ความสงสัยในตัวเองค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง
    ฉันเริ่มค่อย ๆ ปลดโซ่พันธะบางอย่างลงไป 
    เลิกคิดว่าจะต้องสมบูรณ์พร้อมแล้วจึงถูกรัก
    เริ่มใช้แรงที่มีวิ่งไล่ตามความฝันแท้จริง

    วินาทีที่หมอพูดคำว่า "ไม่ต้องกินยาแล้วนะ" 
    คือวินาทีที่ฉันรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เป็นอิสระอีกครั้ง

    /

    หนึ่งปีนับแต่นั้น
    ฉันกลับมาทำงานสื่อสารเหมือนเดิม ยิ้มได้มากขึ้นหน่อย
    ยา SSRI ไม่ใช่ของจำเป็นต่อชีวิต
    ค่อย ๆ มีความสุขกับ Flow ของจังหวะเวลา
    จดจำเพลงสุดท้ายของคาบเรียนปีสี่เทอมหนึ่งได้ว่า

    หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องยอมจำนน หรือต้องลุกขึ้นสู้
    I hope you dance

    ขอบคุณทุกคนรอบตัวที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามีความหมาย
    ขอบคุณตัวเองที่ไม่รีบตายไปเสียก่อน









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in