เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหนึ่งคืน | OnenightCinemaOnenightz.
5 หนังรักที่ผมรัก (The Romance I Loved)
  • - "ความรัก" ถือว่าเป็นความรู้สึกที่มีความเป็นสากล เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องใช้ภาษาใดๆมาอธิบาย เพียงแสดงออกมาผ่านกิริยาท่าทาง รวมถึงพฤติกรรมใดๆ ในสัมพันธ์ระหว่างคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง เราล้วนเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงเราดูและสัมผัส เราก็รู้สึกได้ว่าหนังกำลังถ่ายทอดความรู้สึกถึงคำว่า "ความรัก" อยู่
    - ด้วยความที่มันสามารถเข้าถึงได้ง่าย และคนดูหลายคนสามารถเข้าใจแล้วรู้สึกได้ทันที หนังรักถึงเป็นพล็อตที่สำคัญ ที่สามารถหยิบยกมาสอดแทรกให้เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะหนังประเภทไหนก็สามารถแทรก "ความรัก" ลงไปในหนังได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังบู๊เลือดสาด จะมีความไซไฟขนาดไหน ก็มีความรักเกิดขึ้นในเรื่องราวนั้นๆได้เสมอ แต่จะมีหนังอยู่ประเภทหนึ่ง ที่ใช้ความรักนี้เป็นตัวชูโรง ให้เราได้เสพย์สัมผัสคำว่าความรักผ่านเรื่องราวที่หนังจะถ่ายทอดอย่างเต็มอิ่ม และหนังประเภทนี้เรียกว่า "หนังรัก" (Romance)
    - หนังรักส่วนใหญ่ จะพาคนดูไปสัมผัสประสบการณ์ระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มคน อาจจะเป็นคู่หนุ่มสาว คู่รักร่วมเพศ อาจจะเป็นคนต่างวัย คนในครอบครัว คนแปลกหน้าสองคน แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะดีจะร้าย หนังรักนั้นจะสะท้อนความสำคัญของความสัมพันธ์เสมอ ให้คนดูได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกัน การไว้เนื้อเชื่อใจ ที่จะนำพาไปสู่ความสัมพันธ์ในอุดมคติ ที่แต่ละฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งระหว่างทาง หนังรักก็จะทำให้เรามีความผันผวนของห้วงอารมณ์ ไม่ว่าจะหัวเราะ ใจฟู เศร้า ซึ้งหรือร้องไห้ ซึ่งหนังรักที่ดีจะต้องนำพาเราให้มีความรู้สึกที่ว่า "เราคือมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีอารมณ์ความรู้สึก และอยากจะรักใครสักคน"
    - แล้วหนังรักนั้น มันมีเยอะมากๆ และมีหลายเรื่องที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกถึงความรักได้ดีมากๆ จนทำให้เกิดความหนักใจ หนักใจเหลือเกิน นั่งคิดทบทวนอยู่นานสองนาน จนได้ 5 ท็อปในใจที่เป็นหนังรักที่รักที่สุด จนอย่างจะแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้ /เรื่องอื่นที่รักก็มีนะ อย่าง The Notebook (2004) ,เฉิ่ม (2005) ,Blue Valentine (2010) ,Love, Rosie (2014) ,La La Land (2016) แต่ก็ไม่รักเท่าเรื่องพวกนี้ เอาจริง ?
    - ***หลังจากนี้โปรดจงระวังสปอย ?
    .
    ? #5 About Time (2013)

    - หนังรักคงไม่ใช่ ต้องเรียกว่าหนังชีวิต ?
    - หนังพูดถึงชายหนุ่มชื่อ Tim ในวัย 21 ปี พ่อของเขาได้บอกความลับอันแปลกประหลาดแก่เขาว่า เขาสามารถย้อนเวลาได้ เขาจึงใช้ความสามารถนี้ในการทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นอย่างฝันไว้ และเป้าหมายแรกของเขาคือ การค้นหาความรัก
    - ถึงจะเรียกว่าหนังรัก แต่ซีนประทับใจส่วนใหญ่กลับเป็นซีนที่เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวตัวเอกทั้งหมดเลย ? ตัวละครน้องสาวกับพ่อของตัวเอก เป็นตัวละครที่ฮุคเราซะอยู่หมัดในช่วงท้ายเรื่อง
    - น้องสาวสอนเราว่า ชีวิตไม่ได้ต้องการคำว่าสมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่องหรอก มีความสุขในแบบของเรา ปล่อยให้ชีวิตมันเจอเรื่องบัดซบซะบ้าง ให้มันมีความน่าตื่นเต้นและไว้เป็นบทเรียน /ส่วนพ่อ ตัวละครที่ทำเอาน้ำตาแตก มีฉากนึงซึ่งเป็นฉากที่ดีที่สุดสำหรับเราเลย ฉากที่ตัวเอกกับพ่อเจอกันครั้งสุดท้าย และพ่อขอแค่ไปเดินเล่นริมชายหาดกับตัวเอกอีกครั้ง เป็นฉากที่สะท้อนถึงความพิเศษในช่วงเวลาอันแสนธรรมดา มันทำให้เรากลับมามองว่า ทุกโมเมนต์ของชีวิตมันมีความหมายมาก หากเราใส่ใจ หากเรารู้จักมอง /ฉากนี้จึงทรงพลัง และทำให้ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาของตัวเอกและพ่อของเขา อย่างตีปิงปอง ดื่มชา มันมีความหมายมากขึ้น มากขึ้นไปอีก โครตใจฟูเลย
    - แล้วหนังแม่ง คือพล็อตเด่นคือการย้อนเวลาใช่ปะ? ทุกคนที่ดูหนังย้อนเวลา คงมีความคิดในหัว ที่อยากจะย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิด แต่หนังเรื่องนี้คือย้ำมากๆ ในฉากสุดท้ายที่ตัวเอกไม่ใช้ความสามารถย้อนเวลาอันมีค่านี้แล้ว แต่ตัวเอกเลือกที่จะใช้เวลาทุกนาทีของชีวิตอย่างมีค่า แค่นี้ตัวเอกก็มีความสุข เพราะเค้าไม่เคยเสียใจอีกเลย กับการกระทำของเขาที่มีค่ามีความหมายในทุกๆนาที /แม่งง มันคือหนังชีวิตฟีลกู๊ดชัดๆ ?
    .
    ? #4 500 Days of Summer (2009)

    - หนังเรื่องนี้คือหนังที่ถ่ายทอดวัฏจักรความรักของคนธรรมดาคนนึงที่พึงจะพบเจอแบบครบวงวัฏจักร
    - เรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ Tom ทำอาชีพเขียนโปสการ์ดบอกรักเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คน แต่กลับใช้ชีวิตเทาๆหม่นๆ ทำงาน ดูหนัง ฟังเพลง เหมือนเช่นคนทั่วไป ดูเหมือนจะอยู่นอกวงโคจรความรักมากๆถ้าไม่ปัดทินเดอร์ และ หญิงสาวชื่อ Summer สาวข้างบ้านที่มีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าเพศชายอย่างรุนแรง เธอเฝ้าตามหารักแท้ แต่ก็แคล้วคลาดทุกครั้ง จนวันหนึ่งที่ทั้งสองได้มาพบกันในลิฟท์ และชีวิตทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปในทันใด
    - หนังเรื่องนี้มีเอกลักษณ์ของความสากลของความรักเยอะมาก อย่างตัวผู้ชาย ก็ดูหน้าติ๋มๆ ชีวิตไม่หวือหวา มีความสนใจแค่ดูหนังฟังเพลง กับตัวผู้หญิง คือภาพฝันของผู้ชายหลายๆคน ที่สวยแต่ดูเข้าถึงง่าย โหยหาความรัก ซึ่งถ้าเป็นโลกความจริง เธอคงเป็นตัวแทนของสาวที่จะมาหักอก สร้างบทเรียนให้กับชีวิตชายหนุ่มคลั่งรักสักคน /มันมีความง่ายของพล็อต ที่จะดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก และเชื่อว่า ในชีวิตหนึ่ง เราคงมีโมเมนต์นึงที่คล้ายๆกับความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้แน่ๆละมั้ง ?
    - หนังใช้วิธีเล่าเรื่องราวของวันวานระหว่างสองตัวละคร ตั้งแต่วันแรกถึงวันที่ 500 เล่าสลับไปมา ไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ ซึ่งมันทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึก ความคิดความอ่านของทอม จากจุดที่คิดว่าใช่ ถึงการยอมรับว่าไม่มีหวัง เหมือนตลอดช่วงเวลาของหนัง เราไปใช้ชีวิตเป็นทอม เพื่อสำรวจความคิดต่อความรักของเรา ให้เรามีภาพในหัวถึงความรักครั้งเก่าๆ ที่เคยมองคนๆนึงว่านี่ละใช่เลย แต่สุดท้ายก็ผิดหวังทุกที และด้วยเทคนิคการเล่าแบบนี้ มันทำให้หนังเรื่องนี้มีความหวือหวาต่างจากหนังรักเรื่องอื่นที่เคยดูมา
    - ด้วยเคมีที่เข้ากันของนักแสดง บทสนทนา และเรื่องราวของหนังที่ถ่ายทอดออกมา มันทำให้หนังมันมีความอมตะกับใจของเราเสมอ ไม่ว่าเราจะกำลังมีความรัก หรือโดดเดี่ยว จะกำลังสมหวัง หรือผิดหวังเรื่องความรักมา ก็สามารถหยิบหนังเรื่องนี้มาดูอีกเรื่อยๆได้ ก็แปลกดีนะ ทำไมเราถึงชอบความเจ็บปวดของหนังเรื่องนี้นะ? ? ไม่รู้ดิ สำหรับเรา อย่างที่บอกตอนต้นแหละ หนังมีคือวัฏจักรของความรัก และเราอยากจะเสพย์ความรู้สึกดีๆในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เป็นความรักอีกสักครั้ง
    .
    ? #3 Call Me by Your Name (2017)

    - เคยเขียนบทวิเคราะห์ไปแล้วด้วย และยังคงอินตลอดมา
    - ขอสรุปเลย ไม่พูดเยอะ 5555 หนังมันก้าวข้ามประเด็น LGBBTQ+ ไปไกลมาก และถ้ามองว่าเป็นหนังรักเรื่องหนึ่ง หนังมันก็หยิบประเด็นความรัก ที่คัดส่วนที่ดีที่สุดที่สักครั้งหนึ่งความรักมันควรจะเป็นออกมาแล้ว
    - หนังมีฉากหลังช่วงฤดูร้อน ในประเทศอิตาลี ปี 1983 เด็กหนุ่มต้องแบ่งห้องนอนให้กับนักศึกษาชาวอเมริกัน ที่มาช่วยงานพ่อของเขาตลอดเวลาเกือบ 6 สัปดาห์ และช่วงเวลาในฤดูร้อนอันสั้นๆนี้ ก็คือช่วงเวลาในความทรงจำที่ดีของชายหนุ่มทั้งสอง
    - จุดที่ดีของหนัง และทำให้เราอินกับมันมากๆ คือการที่หนังเสนอมุมมองของ"ความสุกงอม"ของชีวิต ที่เราควรจะมีความรักที่ดีสักครั้ง หนังใช้ช่วงเวลาแค่ฤดูร้อน ในการกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวละครสองคน ที่เราจะได้เรียนรู้ผ่านไปกับหนัง และตระหนักกับช่วงเวลาอันสุกงอมนี้ในช่วงท้ายของเรื่อง
    - หนังมันทำให้เราฉุกคิดมาเสมอ และอยากเริ่มต้นมีความรักดีๆสักครั้ง ในช่วงเวลาที่ร่างกายกับจิตวิญญาน มันพร้อมที่จะมีความรักขนาดนี้ หากเรายอมปล่อยหรือพลาดช่วงเวลาอันสุกงอมนี้ไป ไม่รู้ว่าความรักครั้งนั้น ในช่วงเวลานั้น มันจะเบ่งบานเต็มที่ได้เท่าช่วงเวลาอันสุกงอมนี้หรือไม่?
    .
    ? #2 Before Sunrise (1995)

    - หนังรักที่ลงตัว และรู้สึกอิ่มเอมตลอดเวลาที่ได้ดู ?
    - หนังเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวที่พบกันโดยบังเอิญบนรถไฟ และตัดสินใจแวะเที่ยวกรุงเวียนนาหนึ่งวัน ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไปตามเป้าหมายของตัวเอง แค่นี้แหละ
    - หนังไม่มีอะไรเลย เอาจริง เราแต่นั่งดูตัวละครสองคน เดินจีบกันไปทั่วกรุงเวียนนาจนจบเรื่อง ไม่มีฉากพลิก ไม่มีบู๊ ไม่มีอะไรนอกจากดูคนสองคนคุยกัน แต่ถามว่าทำไมถึงรักหนังเรื่องนี้ขนาดนั้น? /หนังเรื่องนี้ คือหนังที่ใช้ความ Romantic ออนลี่ ไม่มีอะไรมาแต่งเติม เป็นความโรแมนติคที่กลมกล่อม ไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม ด้วยบทภาพยนต์ที่ดี บทสนทนาที่เคลิบเคลิ้ม เคมีของคนสองคนที่เข้ากันสุดๆ จนหนังมันไม่ต้องการอะไรเพิ่มไปกว่านี้แล้ว และเราก็ไม่ต้องการอะไรไปกว่าการที่ได้ดูคนสองคนจีบกันแบบนี้จนจบเรื่อง
    - เชื่อปะว่า ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 41 นาทีของหนัง เราไม่เบื่อเลย (ที่จริงรู้ตัวว่าเบื่อครั้งแรกตอน End Credit ขึ้น) อารมณ์ของเราเหมือนเป็นพ่อสื่อ ที่ติดตามการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสอง ถ้าอธิบายง่ายๆกว่านี้ คงเหมือนเรากำลังคอลจีบคนที่เราชอบเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง คือเราไม่เบื่อ เราไม่รู้สึกเสียดายเวลาในโมเมนต์นั้น และเรารู้สึกว่าช่วงเวลานั้น คือช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ซึ่งหนังและนักแสดงก็ถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์แบบ การมองตา การอมยิ้มที่มุมปาก การหลบตากัน มันคือโมเมนต์ที่เราเขินไปพร้อมกับตัวละคร และเราก็คิดถึงช่วงเวลาเริ่มต้นของความรักของเรากับคนๆนึง ที่เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ และคงไม่มีช่วงเวลาของความรักในช่วงไหนๆ จะมาทดแทนช่วงเวลานี้ได้อีกแล้ว ?
    .
    ? #1 Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

    - หนังคือการตอกย้ำของคำว่า"ลืม"นั้นมันไม่ง่าย
    - เรื่องย่อ ก็สปอยแล้ว ? เรื่องพูดถึงผู้ชายที่อกหัก หลังจากพบว่าแฟนสาวตัดสินใจลบเขาออกจากความทรงจำ ด้วยความโมโห และเสียใจ เขาจึงตัดสินใจไปคลินิคลบความทรงจำ และเลือกที่จะทำสิ่งเดียวกัน แต่ในระหว่างขั้นตอน เขากลับเห็นช่วงเวลาดีๆที่มีร่วมกัน และเขาตระหนักว่า เขายังคงรักเธออยู่ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อนหยุดการล้างความทรงจำ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
    - หนังได้ตั้งคำถามกับเราว่า "ความทรงจำแย่ๆ ที่ทำร้ายกันและกันนั้น ควรตะเก็บไว้เป็นบทเรียนหรือกำจัดมันออกไป เพื่อลืมความเจ็บปวดดี?" /หนังเลือกใช้พล็อตไซไฟ การล้างความทรงจำ เอามาเล่นกับพล็อตหนังรัก ที่ทำให้เราตระหนักถึงความทรงจำและช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน แต่สิ่งที่หนังพาเราไปสำรวจ มันก้าวข้ามแค่ว่า "ความทรงจำนั้นมันดีแค่ไหน?" เพราะว่าในจุดแตกหักของความสัมพันธ์ ความทรงจำที่ดี ก็อาจตะเป็นดาบสองคม ที่ทำให้เราต้องเจ็บช้ำว่าครั้งหนึ่งเราเคยดีได้ขนาดนั้น
    - แต่หนังมันทำให้เราเห็นว่า ความทรงจำไม่ใช่ปัญหา แต่กลับเป็นความรู้สึกหรือความคิดในช่วงเวลานั้นของเราต่างหาก ที่กำลังเป็นปัญหา หนังจะนำพาเราไปสำรวจความรู้สึกและความคิดของตัวเอก ที่ในท้ายที่สุด เราต้องติดตามว่าเขาจะจัดการความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?
    - ที่หนึ่งในใจเสมอมา หนังมันมีวิธีการเล่าที่เฉียบขาดมาก มีจุดพลิกหลายตลบหลายครั้ง ที่ตอกย้ำเรา ผู้ที่ซึ่งเป็นคนดู ให้ตระหนักถึงคำว่า "ลืม" มันไม่มีจริงหรอก แต่หนังจะพาให้ฉุกคิดอยู่เสมอว่า เราจะจัดการกับความรู้สึกต่อความทรงจำนั้นอย่างไร การที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ เหมือนเราได้คัมภีร์ของการ"รีสตาร์ท"ความรักใหม่ ในวันที่มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ดีที่สุด จนพาเรากลับมาอยู่ในความสัมพันธ์ที่ชื่นมื่นเหมือนเดอม แต่อย่างน้อย สิ่งที่หนังบอกจะพาเรากลับมาในความความสัมพันธ์ที่จะเข้าใจกันและกันมากขึ้นแน่นอน ?


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in