➡️ Prologue : บทเกริ่น
- หนังรางวัลอีกเรื่องในปี 2020 ปีเดียวกับเรื่อง Parasite มีความแมสพอตัว เนื้อหาและวิธีการเล่าที่แปลกใหม่ และดูง่ายพอกัน
- ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะพลาดรางวัลใหญ่อย่างภาพยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี แต่หนังก็หยิบยกประเด็นในสังคมมาเล่าได้หนักหน่วงไม่แพ้เรื่อง Parasite หนังพูดถึงสังคมเผด็จการในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเล่าผ่านมุมมองเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่โดนกดขี่และโดนครอบงำทางความคิด หนังจึงย้อมสิ่งนั้นผ่านสายตาคนดูด้วยมุมมองสีลูกกวาด ชวนเพ้อฝันของเด็กชาย ท่ามกลางความหดหู่ของสงคราม
- ด้วยความคิดสีลูกกวาด ความสนุกของวัยเด็ก บวกกับความตลกของผู้กำกับ ทำให้หนังเรื่องนี้เล่ามุมมองของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดูแปลกตาจากหนังสงครามเรื่องอื่นๆ และติดตาติดใจกับใครก็ตามที่ดูได้ไม่ยาก จนผมน่าจะเอาหนังเรื่องนี้ มาพูดถึงในหน้าโปร์ไฟล์นี้สักครั้ง
- *** มีสปอยแน่นอน อยากให้ดูก่อนมาอ่านบทความนี้ เพื่ออรรถรสที่ครบถ้วน (มีใน Disney+) ?
.
➡️ Brief History of Nazi 101 : ประเด็นประวัติศาสตร์นาซีที่ถูกพูดในหนัง
*ใครไม่ชอบประวัติศาสตร์ข้ามไปบทวิเคราะห์หนังเลยก็ได้ ?
? Rise of Hitler : การขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ และทำไมชาวเยอรมันถึงอวยเขาขนาดนั้น?
▫️
- ฉากเปิดเรื่อง เด็กน้อยวัย 10 ขวบ โจโจ้ (Jojo Betzler) แต่งตัวในชุดยุวชนนาซี ยืนคุยกับตัวเองหน้ากระจก "สวัสดี โจโจ้ เบซเลอร์ อายุ 10 ปี นายกำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ" วันนี้เขาต้องไปเข้าค่ายฝึกพิเศษช่วงสุดสัปดาห์ เด็กชายมีความมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนให้กับชายผู้กอบกู้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
- ทันใดนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ปรากฏตัว แต่หาใช่ฮิตเลอร์ตัวจริงไม่ แต่คือเพื่อนรักในจินตนาการที่โจโจ้สร้างขึ้นมา /อดอล์ฟในจินตนาการ พูดปลุกใจกับโจโจ้ ที่ตอนนี้ยังกล้าๆกลัวๆกับค่ายฝึก เขากลัวจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี สมกับเป็นพลเมืองที่ดีในสายตาของฮิตเลอร์ /อดอล์ฟในจินตนาการ พูดปลอบโจโจ้อยู่นาน จนในที่สุดก็ให้โจโจ้พูด "ไฮม์ ฮิตเลอร์" ดังๆ โจโจ้พูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนไฟแห่งความมั่นใจลุกโชน ในที่สุด โจโจ้ก็พร้อมจะก้าวออกไปเผชิญหน้ากับชีวิตในค่ายฝึกแล้ว
- ด้วยจินตนาการ ความฝัน และความบิดเบี้ยวของสังคมเยอรมนีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วยหล่อหล่อมให้เด็กชายผู้อ่อนต่อโลกคนหนึ่ง มีมายาคติที่ยกเผ่าพันธุ์ตัวเองอยู่จุดสูงสุด ด้วยชุดความคิดในการรักชาติ และต่อต้านชาวยิว ที่ตลอดเวลา 10 ปีในชีวิตเด็กน้อยคนนี้ได้สั่งสมและเรียนรู้มา จนกลายเป็นเรื่องราวในช่วงเปิดเรื่องที่ดูหดหู่และชวนทุกข์ใจ แต่อะไรที่ทำให้ชุดความคิดนี้ถึงมีอิทธิพลกับเด็กน้อยโจโจ้ รวมถึงคนเยอรมันส่วนใหญ่กันนะ?
▫️
- เรื่องราวเริ่มต้นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อฝ่ายพันธมิตรบุกคืบได้สำเร็จในปี ค. ศ. 1918 เยอรมนีไม่อาจชนะสงคราม และลงนามสัญญาสงบศึก เพื่อยุติการสู้รบ /เมื่อรัฐบาลจักรวรรดิล่มสลาย ความไม่สงบและการประท้วงหยุดงานแพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศ ด้วยหวั่นว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะทำปฏิวัติ พรรคการเมืองหลักจึงร่วมกันต้านการลุกฮือ และจัดตั้งรัฐสภาสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic)
- หนึ่งในภารกิจแรกของรัฐบาลใหม่ คือปฏิบัติตามสนธิสัญญาสันติภาพที่ฝ่ายพันธมิตรกำหนดขึ้น นอกจากต้องสูญเสียดินแดนกว่า 1 ใน 10 และต้องปลดกองกำลังของตนแล้ว เยอรมนีต้องแบกความรับผิดชอบต่อสงครามทั้งหมด และจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ทรุดหนักลงไปอีก ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย ในสายตาของนักชาตินิยมและทหารผ่านศึก พวกเขาปักใจเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาคงชนะสงครามไปแล้ว ถ้าหากกองทัพไม่ถูกนักการเมืองและกลุ่มผู้ประท้วงหักหลัง (ส่วนใหญ่คือชาวยิว)
- สำหรับฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) แล้ว แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นความหมกมุ่น อคติและความหวาดระแวง ทำให้เขาปักใจโทษชาวยิวเป็นต้นมา /คำพูดของเขาเข้าทำนองกับความคิดของผู้ต่อต้านชาวยิวจำนวนมาก ซึ่งถึงเวลานี้ ชาวยิวหลายแสนคน ได้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเยอรมัน แต่ชาวเยอรมันหลายคนยังคงมองว่าชาวยิวเป็นคนนอกอยู่ดี /หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ความสำเร็จของชาวยิวนำไปสู่ข้อกล่าวหาที่ไร้มูลว่า พวกเขานั้นคือบ่อนทำลายชาติ และค้ากำไรจากสงคราม ทั้งนี้ต้องขอย้ำให้ชัดเจนว่าทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ เกิดจากความหวาดกลัว ความโกรธและอคติ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
- ถึงอย่างนั้น ฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จจากการใช้ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ เมื่อเขาเข้าร่วมพรรคการเมืองชาตินิยมเล็กๆ การปราศัยโน้มน้าวใจของเขา ช่วยให้เขาได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำและมีคนในสังคมสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ /พรรคนาซีอาศัยทั้งความเกลียดชังชาวยิว ความขุ่นเคืองของประชาชน และประนามทั้งคอมมิวนิสต์และระบบทุนนิยมว่าเป็นการสมคบคิดของชาวยิว เพื่อทำลายเยอรมนี /พรรคนาซีไม่ได้เป็นที่นิยมมาตั้งแต่ต้น หลังจากพยายามล้มรัฐบาลแต่ไม่สำเร็จ พรรคก็ถูกห้ามลงเลือกตั้ง และฮิตเลอร์ก็ถูกจำคุกด้วยข้อหากบฏ แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัว 1 ปีหลังจากนั้น เขาก็กลับมาเริ่มเคลื่อนไหวใหม่ในทันที
- จากนั้นในปี ค.ศ 1929 ก็เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ธนาคารอเมริกันเรียกคืนเงินกู้จากเยอรมนี เศรษฐกิจเยอรมันที่ลุ่มๆดอนๆอยู่แล้ว จึงพังทลายในชั่วข้ามคืน /ฮิตเลอร์ใช้โอกาสนี้ ที่ผู้คนโกรธแค้น หาแพะรับบาปให้กับพวกเขา และสัญญาว่าจะฟื้นฟูให้เยอรมนียิ่งใหญ่ดังเดิม /พรรคการเมืองทั้งหลายไม่อาจรับมือกับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ ในขณะที่ฝ่ายซ้ายก็แตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพราะปัญหาความขัดแย้งภายใน /สาธารณชนที่ไม่พอใจบางกลุ่มจึงโผเข้าหานาซี ทำให้ผลคะแนนเสียงในสภาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นมากกว่าร้อยละ 18 ภายใน 2 ปี
- ในปี ค.ศ 1932 ฮิตเลอร์ลงรับสมัครเป็นประธานาธิบดี แต่แพ้ให้กับนายพลวอน ไฮเดนเบิร์ก (Paul von Hindenburg) วีรบุรุษสงครามผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ แต่ด้วยคะแนนร้อยละ 36 แสดงให้เห็นว่าฮิตเลอร์มีผู้สนับสนุนมากเพียงใด /ในปีถัดมา ที่ปรึกษาและผู้นำทางเศรษฐกิจ โน้มน้าวให้นายพลไฮเดนเบิร์ก แต่งตั้งฮิตเลอร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยหวังว่าจะใช้ความนิยมของฮิตเลอร์ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน /แม้ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเป็นเพียงหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารในรัฐสภา แต่ฮิตเลอร์ก็ขยายขอบเขตอำนาจของตำแหน่งนี้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้สนับสนุนฮิตเลอร์ตั้งกองกำลังกึ่งทหารต่อสู้กับผู้ประท้วงตามท้องถนน ฮิตเลอร์ได้ปลุกปั่นให้ผู้คนกลัวคอมมิวนิสต์ก่อปฏิวัติ และกล่าวว่ามีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะคืนความสงบสุขสู่บ้านเมืองได้
- จากนั้นในปี ค.ศ 1933 ผู้ใช้แรงงานหนุ่มถูกตั้งข้อหาวางเพลิงตึกรัฐสภา (น่าจะเป็นหนึ่งในกองกำลังกึ่งทหาร) ฮิตเลอร์ใช้เหตุการณ์นี้โน้มน้าวรัฐบาล ให้มอบอำนาจฉุกเฉินให้กับตน /ภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เสรีภาพของสื่อถูกริดรอน พรรคอื่นๆถูกยุบ และมีการผ่านกฎหมายต่อต้านชาวยิว /ผู้สนับสนุนฮิตเลอร์หัวรุนแรงในยุคแรกถูกจับและถูกตัดสินประหาร เช่นเดียวกันกับผู้ที่อาจเป็นคู่แข่ง และเมื่อประธานาธิบดีไฮเดนเบิร์ก เสียชีวิตในปี ค.ศ 1934 17 เดือนหลังจากฮิตเลอร์ได้อำนาจ ทุกคนต่างรู้ชัดว่าจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่ ที่น่าวิตกคือมาตรการของฮิตเลอร์ในช่วงต้นนั้นไม่ต้องอาศัยการปราบปรามผู้ชนเลย
▫️
- จากเรื่องราวทั้งหมดจะเห็นได้ว่า จุดที่ทำให้ฮิตเลอร์มีความคิดเกลียดชังระบบทุนนิยม รวมถึงชาติพันธุ์ชาวยิว ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่เค้าโดนปฏิเสธจากสถาบันศิลปะ Academybof Fine Art อย่างที่มีความคิดชุดหนึ่งเชื่ออย่างนั้น แต่เกิดจากการที่เขาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 มองกันให้ชัดคือ ถึงแม้เขาจะมีไทม์ไลน์ที่ได้เข้าสถาบันศิลปะ อย่างไรก็ตาม เขาก็จะโดนเกณฑ์มารบในสงครามนี้อยู่ดี และจากการที่เขาเป็นคนนึง ที่โดนสงครามทำร้ายสภาพจิตใจอย่างสาหัส (หลังจบสงคราม เขามีอาการตาบอดในช่วงหนึ่ง ด้วยสภาพทางจิตที่ได้รับความกระทบอย่างรุนแรง) ทำให้เขาหมกหมุ่น ย้ำคิดถึงต้นตอสาเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม และเขาได้เลือกระบบทุนนิยมและชาวยิวเป็นเหยื่อของชุดความคิดนั้น
- และในเวลานั้น สภาพเศรษฐกิจของประเทศเยอรมนีที่เรียกได้ว่าย้ำแย่ขั้นสุดพอดี แต่กลุ่มชาวยิวที่เรียกได้ว่า กลุ่มคนนอกที่เจ้ามาตักตวงประโยชน์ในประเทศนั้น ขยายเผ่าพันธุ์และเติบโตในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างกว้างขวาง ทำให้มีกลุ่มชาวเยอรมนีที่โกรธและเกลียดชาวยิวเช่นเดียวกับฮิตเลอร์ จึงเกิดเป็นชุดความคิดนึงในสังคม ซึ่งเป็นจังหวะที่ฮิตเลอร์เองนั้น ได้เข้าร่วมพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หรือพรรคนาซีพอดี /ด้วยความคิดอันหนักแน่นถึงความเกลียดชัง และด้วยความสามารถในการปราศัย ทำให้มีคนคล้อยตามโดยง่าย จนในที่สุด เขาก็โดนสถาปนาเป็นผู้นำของพรรค ด้วยการสนับสนุนของคนจำนวนนึง
- จนในที่สุด ชาวเยอรมันก็ทนกับสภาพเศรษฐกิจไม่ไหว ด้วยอัตราการว่างงานที่สูงและค่าเงินเฟ้อ ที่คนหอบเงินเป็นตั้ง เพื่อไปซื้อขนมปังแค่หนึ่งแถว ทำให้มวลชนเริ่มโกรธเกรี้ยว และต้องการหาใครสักคนเพื่อชี้โทษ /หมากในเกมการเมืองของฮิตเลอร์ก็ครบ เขาจึงเริ่มแผนการ โดยเขาเสนอตัวเองว่า จะเป็นผู้กอบกู้ประเทศเยอรมนีให้กลับมาดีกว่าเดิม และชี้โทษไปยังกลุ่มชาวยิว ที่ทำให้เศรษฐกิจของคนเยอรมันนั้นย่ำแย่ /ผู้คนชาวเยอรมันต่างคล้อยตาม มองฮิตเลอร์เป็นดั่งอัศวินขี่ม้าขาว จนในที่สุดก็กู๋ไม่กลับ ผู้คนชาวเยอรมันต่างตกอยู่ในวังวนของโฆษณาชวนเชื่อ ว่าวันนึงประเทศนี้จะดีขึ้น ในกำมือของฮิตเลอร์ผู้นี้
- เราจะเห็นได้ว่า ขนาดประเทศเยอรมนี ซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในช่วงนั้น เมื่อถูกครอบงำด้วยความโกรธของมวลชน และมีใครสักคนเสนอตัวเป็นผู้นำที่พร้อมสนองความโกรธนั้น และใช้ความกลัวของประชาชนปกครองประเทศ มันจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่ดูแข็งแกร่งนั้นเปราะบางได้ขนาดไหน /คุ้นๆมั้ย? ?
.
? ยุวชนนาซี การเติบโตของเยาวชนในสังคมนาซี
▫️
- ภายในค่ายยุวชนนาซีช่วงสุดสัปดาห์ โจ้โจ้ และเพื่อนสนิท ยอร์กี้ (Yorki) เพื่อนตัวจ้ำม้ำในวัยเดียวกับเขา นั่งกลางลานหญ้ากว้างร่วมกับเด็กคนอื่นๆ เด็กภายในค่ายส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีทั้งชายและหญิง แต่ก็มีเด็กที่ดูโตกว่าตนเอง เหมือนพวกรุ่นพี่ ดูเป็นวัยรุ่นอายุประมาณ 16-17 ยืนสะเปะสะปะกระจายตัวตามบริเวณนั้น
- สักพัก ก็ปรากฏตัวชายคนหนึ่ง หน้าตากร้านแดด ดูๆน่าจะผ่านสงครามมาแล้ว เขาแนะนำตัวว่าเขาชื่อ กัปตันเคล์นเซนดอล์ฟ (Klenzendorf) และแนะนำผู้ช่วยผู้ชาย จ่าฟินเกิล (Finkle) และผู้ช่วยผู้หญิง ฟาไลม์ราม (Fräulein Rahm) ซึ่งเขาได้พรรณนาวีรกรรมตอนที่เขาไปรบ และเด็กๆดูจะชื่นชอบกัน
- กัปตันเค ได้บอกแผนการฝึกแก่เด็กๆ โดยแยกแผนระหว่างชายและหญิง ผู้ชายจะได้ฝึกการรบอย่างเข้มข้น ส่วนผู้หญิงจะได้ฝึกการทำแผล การจัดเตียง และเรียนรู้วิธีการตั้งครรภ์ ?/ และก่อนเริ่มการฝึก กัปตันเคได้แจกมีด (Deutsches Junkvolk) ให้กับเด็กทุกคน ซึ่งอวดสรรพคุณมากมาย แต่ในความเป็นจริง มันก็แค่มีดที่อๆเล่มนึง และเขาก็ได้ประกาศเริ่มการฝึก เด็กๆเหล่านี้ ได้เริ่มก้าวสู่เส้นทางนาซีเต็มตัวแล้ว
- ดูมาถึงฉากนี้ เราจะเห็นกิจกรรมต่างๆภายในค่าย ทั้งการฝึกการใช้ความรุนแรงอย่างจริงจัง ทั้งที่พวกเขายังเป็นเด็กแค่ 10 ขวบ อย่างการใช้มีด และขว้างระเบิด รวมถึงการปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมที่กรอกหูเช้าเย็น แต่ในความเป็นจริง ยุวชนนาซีเป็นแบบในหนังไหม? และเด็กพวกนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง? มาไขความกระจ่างกัน
▫️
- จุดเริ่มต้น ต้องท้าวความไปตั้งแต่ฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจ เขาได้ปฏิรูปการศึกษาอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเขาได้สั่งให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรการศึกษาในเรื่อง "ความตระหนักทางเชื้อชาติ (Racial Awareness)" ในโรงเรียนทุกแห่ง เด็กนักเรียนทุกช่วงวัยจะต้องเรียนรู้เรื่องนี้ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวการสอนให้รู้ถึงหน้าที่ทางเชื้อชาติ นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับการศึกษาที่เน้นในเรื่องของชีววิทยาและธรรมชาติวิทยา ซึ่งกลายเป็นวิชาบังคับ ที่เด็กๆทุกคนต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่มี"คุณค่า"และ"ไร้คุณค่า" รวมถึงเพศศึกษาและโรคทางพันธุกรรม
- วิธีการหลักในการปลูกฝังและควบคุมเด็กในวัยเรียนเหล่านี้ที่กำลังจะเติบโตเลย คือ 1. การให้การศึกษาตามหลักสูตรที่ทางพรรคนาซีกำหนด ปลูกฝังเรื่องของเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของเยอรมนีในอดีต และยกย่องเชิดชูตัวผู้นำประเทศ ซึ่งก็คือ ฮิตเลอร์ ,2. การโฆษณาชวนเชื่อและการสร้างค่านิยมต่างๆ ตามที่พรรคนาซีต้องการ และ 3. สโมสรหรือสมาคมต่างๆ ที่ทางพรรคจัดตั้งขึ้นเพื่อนำเด็กๆ ไปอบรมเพิ่มเติม นั่นคือ องค์กรยุวชนนาซี (Hitler Youth/Hitlerjugend) ซึ่งเด็กทุกคน เมื่ออายุครบ 10 ปี จะต้องเข้าร่วมองค์กรยุวชนนาซี จึงทำให้ภายในปี ค.ศ 1939 เด็กๆชาวเยอรมันเกือบร้อยละ 90 ล้วนเป็นสมาชิกยุวชนนาซีเกือบทั้งสิ้น
- โดยเริ่มแรกนั้น การเป็นสมาชิกยุวชนนาซี ต้องเป็นโดยความสมัครใจ แต่พอถึงปี ค.ศ 1936 เด็กเกือบทุกคน ล้วนถูกบังคับให้เป็นโดยกฏหมาย ขณะเดียวกัน พรรคนาซียังมีข้อกำหนดให้มีการคัดเลือกเด็กนักเรียนชาย ที่ฉายแววศักยภาพของความเป็นผู้นำในอนาคต โดยเด็กคนนั้นจะถูกส่งไปยังโรงเรียนอดอล์ฟฮิตเลอร์ (Adolf Hitler Schulen) ที่เป็นโรงเรียนประจำ ไม่เก็บค่าเล่าเรียน คล้ายกับโรงเรียนเตรียมทหาร แต่จะมีการปลูกฝังแนวคิด รวมถึงอุดมการณ์ของพรรคนาซีอย่างเข้มข้น และฝึกให้พวกเขาเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว
- นอกจากนี้ พรรคนาซีประกาศให้ทุกโรงเรียน งดรับนักเรียนที่มีเชื้อสายยิว ตั้งแต่ปี ค.ศ 1933 เป็นต้นมา จนในปี ค.ศ 1938 จึงมีกฏหมายห้ามคนเชื้อสายยิวทุกเพศทุกวัยเข้ารับการศึกษา ไม่ว่าจะในระดับชั้นใด /นอกจากจะส่งผลกับเด็กแล้ว นโยบายการศึกษาของพรรคนาซี ก็ส่งผลกับครูด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ 1933 ครูอาจารย์ที่มีเชื้อสายยิวทุกคน โดนไล่ออกจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่ง โดยไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ ส่วนครูอาจารย์ที่เป็นชาวเยอรมันทุกๆคน จะต้องเข้าร่วมสมาคมครูแห่งพรรคนาซี (Nazi Teachers Association) ซึ่งจะกำหนดนโยบายและอบรมครูอาจารย์ รวมทั้งตรวจสอบการทำงานของพวกเขา ว่าได้ให้การศึกษาตรงตามที่พรรคกำหนดหรือได้นำไปปฏิบัติจนสำเร็จหรือไม่
▫️
- จากฉากนั้นในหนัง รวมถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เราจะเห็นได้ว่า นโยบายการศึกษาที่อิงมาจากการเมือง กำลังปลูกฝังคนหนุ่มสาว ให้มีความคิดทางเชื้อชาติ แบ่งเขาแบ่งเราอย่างชัดเจนตามแนวคิดลัทธินาซี และทำให้เด็กภักดีต่อฮิตเลอร์มากเพียงใด เด็กผู้หญิง จะถูกปลูกจิตสำนึกว่าเธอเป็นวีรสตรีของชาวอารยัน ที่กำลังจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี สำหรับเด็กผู้ชาย หลักสูตรได้เตรียมพร้อมให้เด็กพวกนี้ เป็นทหารที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้อายุจะยังน้อยก็ตาม
- ผลกระทบของนโยบายทางการศึกษาของพรรคนาซี ที่มีต่อเยาวชนชาวเยอรมัน ทำให้คุณภาพและความก้าวหน้าของการศึกษาและทักษะทางด้านวิชาการนั้นถดถอย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะการศึกษาส่งเสริมให้เธอโตมาเป็นเพียงแม่บ้าน เด็กชาวยิวถูกข่มเหงรังแกในโรงเรียน แต่กลับกัน ยังคงมีเด็กชาวเยอรมนีจำนวนมาก ที่กลับชอบและภูมิใจที่ได้เป็นยุวชนนาซี พวกเขาได้ทำกิจกรรมสันทนาการมากมาย เช่น เดินป่า ปีนเขา ฝึกรบ บางคนได้รับเลือกให้ไปยืนเฝ้าหน้าประตูสำนักงานของฮิตเลอร์ พวกเขามีอิสระจากพ่อแม่มากขึ้น โดยหารู้ไม่ว่า ชีวิตวัยเด็กอย่างที่ควรจะเป็น มันสนุกและสวยงามกว่านี้
.
? Lebensborn โรงงานผลิตชาวอารยันกับความคิดสุดโต่งของลัทธินาซี
▫️
- ฉากในค่ายฝึกยุวชนนาซี มีช่วงหนึ่งที่น่าสนใจจนน่าหยิบยกขึ้นมาเล่า คือ ช่วงที่ตัวละครผู้ช่วยครูฝึกผู้หญิงชื่อ ฟาไลม์ราม ได้พูดเสริมในบทสนทนาที่ว่าด้วยแผนการฝึกของยุวชนนาซี ซึ่งกับตันเคได้พูดถึงการฝึกของยุวชนนาซีผู้หญิงว่า ต้องฝึกทำแผล การจัดเตียง และเรียนรู้วิธีการตั้งครรภ์ โดยตัวละครฟาไลม์ราม พูดขึ้นว่า "ฉันมีลูก 18 คนเพื่อประเทศเยอรมนี *ผายมืออย่างภาคภูมิใจ เป็นปีที่ดีของการเป็นผู้หญิงเลยนะ" ?
- จากบทสนทนาข้างต้น ทำให้เกิดความตกใจว่า ผู้หญิงให้กำเนิดเด็กถึง 18 คนได้อย่างไร และการกระทำนี้มันทำให้ตัวละครถูกสถาปนาเยี่ยงวีรสตรีได้ขนาดนั้นเลยหรือ? เธอไม่ได้ไปรบนะ แค่ให้กำเนิดลูก
- แต่ด้วยมโนทัศน์ของตัวละครที่ตลอดเรื่อง จะชอบอยู่ในจินตนาการของลัทธินาซี และจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในหัวข้อที่แล้ว ที่นโยบายทางการศึกษาของพรรคนาซี ได้ปลูกฝังให้เด็กผู้หญิงมีความภูมิใจกับความเป็นภรรยาและแม่ที่ดีเยี่ยงวีรสตรี จนทำให้ประเด็นนี้ต้องได้รับการขยายความขึ้นมาหน่อย ว่าการให้กำเนิดบุตร มันสำคัญต่อชาติเยอรมันในการนำโดยฮิตเลอร์ได้อย่างไร?
▫️
- "เราแบ่งเชื้อชาติของมนุษย์ออกเป็น 3 พวก คือ พวกเริ่มสร้าง ,พวกรักษาไว้ และพวกทำลายวัฒนธรรม และมีมีเพียงชาวเยอรมันเท่านั้น ที่ตามประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าเป็นเชื้อชาติที่อยู่ในประเภทแรกประเภทเดียว" ข้อความข้างต้น อ้างอิงมาจากส่วนหนึ่งของบทที่ 11 "ชาติและเชื้อชาติ" จากหนังสือ "Mein Kampf" หรือชื่อภาษาไทย "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" ซึ่งเป็นหนังสือที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เขียนขึ้น เพื่อถ่ายทอดแนวคิดและอุดมการณ์ของตนเองสู่สาธารณะในช่วงก่อนขึ้นมามีอำนาจ
- จากทัศนคติข้างต้น ทำให้เห็นว่า ฮิตเลอร์มีความเชื่อในเรื่องเชื้อชาติอารยันอย่างสุดโต่ง ว่าคือผู้อยู่จุดสูงสุดของยอดปิระมิด /ชาวอารยันในอุดมคติของฮิตเลอร์ คือ เป็นชาวเยอรมัน มีนัยน์ตาสีฟ้า ผมสีทอง และมีผิวสีขาว (ซึ่งตัวเองมีผมสีดำ?)
- แต่นิยามคำว่า "อารยัน" ตามอุดมคติของฮิตเลอร์ เป็นการเข้าใจผิดของนักวิชาการตะวันตกในช่วงทศวรรษที่ 19 ที่คิดว่า ภาษาสันสกฤตคือร่องรอยที่หลงเหลือของภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน และในเวลาต่อมา มีนักภาษาศาสตร์ชาวเยอรมันคนหนึ่ง พัฒนาทฤษฎีขึ้นมาว่า ภาษาสันสกฤตมีความเชื่อมโยงกับภาษาเยอรมัน จากคำที่มีการออกเสียงคล้ายกันระหว่างคำว่า อารยัน (Aryan) กับคำว่า "Ehre" ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า เกียรติยศ (???)
- แต่ในความจริงแล้ว คำว่า "อารยัน" ในภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า อริยะ ,อริยกะ ซึ่งแปลว่า ผู้เจริญ ,ผู้ประเสริฐ /ในทางมานุษยวิทยา ที่ฮิตเลอร์นำมาตีความหมายว่าเป็นชาวเยอรมันผู้มีนัยน์ตาสีฟ้านั้น แท้จริงแล้ว คือกลุ่มคนที่อาศัยบริเวณทุ่งหญ้าบริเวณตอนเหนือของทะเลแคสเปียน หรือช่วงรอยต่อระหว่างเอเซียตอนกลางและยุโรปตะวันออก เมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์กาล ก่อนที่กลุ่มชนนี้จะอพยพลงมาทางตอนใต้ ผ่านอิหร่านและกระจายตัวอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย จนเกิดเป็นวรรณกรรม"รามายณะ" ที่พูดถึงสงครามของมนุษย์ชาวอารยัน และยักษ์ (สังเกตตามภาพวาดของพระรามตามสื่อต่างๆ พระรามจะมีผิวพรรณสีขาวออกไข่ ทั้งที่พระรามคือชาวอินเดีย)
- และนี่คือนิยามของชาวอารยัน ที่ฮิตเลอร์เข้าใจผิด จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมจากแนวคิดความเกลียดชังมากมายภายในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำให้เกิดแนวคิดการสืบทอดสายเลือดเชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ ที่ก่อให้เกิดโครงการผลิตทารกชาวอารยัน ที่กินเวลานานเกือบ 10 ปี ในชื่อโครงการว่า เลเบนส์บอร์น (Lebensborn)
▫️
- เลเบนส์บอร์น (Labensborn) แปลว่า บ่อเกิดของชีวิต เป็นโครงการลับของพรรคนาซี ที่จะผลิตมนุษย์ที่มีเชื้อสายอารยันบริสุทธิ์ ตามมโนทัศน์ของฮิตเลอร์ ซึ่งโครงการนี้ เกิดจากความคิดของ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) ลูกสมุนคนสำคัญของฮิตเลอร์ ในปี ค.ศ 1935 เพื่อแก้ปัญหาอัตราการให้กำเนิดบุตรที่ต่ำลงตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเพื่อให้กำเนิดมนุษย์ ผู้มีสายเลือดอารยันบริสุทธิ์
- โดยเริ่มจาก การหาหญิงตั้งครรภ์นอกสมรส (เนื่องจากสามีทอดทิ้งหรือสามีเสียชีวิต) ที่มีลักษณะเข้าเกณฑ์ของชาวอารยัน และจะต้องพิสูจน์ด้วยว่า สามีของพวกเธอนั้น มีเชื้อสายและลักษณะเข้าเกณฑ์ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากไม่ผ่านเกณฑ์ ทางรัฐก็จะสนับสนุนให้ทำแท้งทันที ? /เมื่อผ่านเกณฑ์แล้ว พวกเธอจะได้รับสวัสดิการต่างๆ เช่น ที่พัก อาหารการกิน รวมถึงเงินสนับสนุนระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด
- แต่เนื่องจากวิธีการนี้ ไม่สามารถผลิตประชากรชาวอารยันได้รวดเร็วพอ ฮิมเลอร์จึงเสนออีกแนวทางขึ้นมา โดยเปิดรับสมัครแม่พันธ์ที่มีเชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ โดยจะมีการทดสอบด้วยการวัดขนาดศรีษะ ดูสีตา และรากเหง้าของวงศ์ตระกูลขึ้นไปอย่างน้อย 3 ชั่วคน ส่วนพ่อ ก็คือเหล่าทหารในหน่วย S.S. (Schutzstaffel) ซึ่งเป็นทหารใต้การบัญชาของฮิมเลอร์เอง และทหารเหล่านี้ ถูกคัดมาอย่างดีแล้ว ว่ามีลักษณะเข้าเกณฑ์ชาวอารยันบริสุทธิ์
- จุดจบของโครงการเลเบนส์บอร์น เริ่มขึ้นเมื่อขสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ 1945 หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้สงคราม และลัทธินาซีล่มสลาย ทหารอเมริกันบุกเข้าไปยังสถานดูแลเด็กเล็ก และพบกับทายาทจากโครงการนี้กว่า 300 คน ตั้งแต่วัย 6 เดือน ไปจนถึง 6 ปี ซึ่งในภายหลัง เด็กบางส่วนสามารถตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่ส่วนใหญ่ มักจะถูกส่งกลับไปยังสถานสงเคราะห์ หรือถูกรับเลี้ยงอีกทอดหนึ่ง
- ตลอดระยะเวลา 10 ปี ของโครงการเลเบนส์บอนส์ ประมาณกันว่ามีเด็กจำนวนกว่า 6,000 - 8,000 ชีวิตที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการนี้ และคาดกันว่ายังมีเด็กอีกจำนวนมากที่เกิดภายในโครงการ เพียงแต่ไม่เคยถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
- ผลกระทบของโครงการเลเบนส์บอร์น ที่ส่งผลถึงชีวิตของเด็กในโครงการเมื่อเติบโต คือ พวกเขาหลายคนไม่รู้ว่าใครคือพ่อหรือแม่ของตน หลายคนโดนโยกย้าย ทำให้พลัดหลงจากถิ่นฐานเก่า และทุกคนจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่เกิดจากโครงการนรกของลัทธินาซี เป็นปมด้อยในใจพวกเขาไปทั้งชีวิต เป็นความผิดพลาดโดยที่ตัวเขาเองนั้นไม่ได้ก่อ สงครามนั้นฝากรอยแผลให้กับพวกเขา ตั้งแต่พวกเขายังไม่ได้เกิด
.
? การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และ การหลบซ่อนของชาวยิว
▫️
- ในวันหนึ่ง ระหว่างที่โรซี่แม่ของเขาไม่อยู่บ้าน โจโจ้ได้ยินเสียงดังที่ชั้นบน เขาเดินขึ้นไปข้างบน เข้าไปในห้องพี่สาวผู้ล่วงลับ เขาเดินสำรวจห้อง และพบความผิดปกติของพื้นห้อง ซึ่งมีรอยขูด เขาสำรวจผนังและค้นพบประตูลับ โจโจ้เปิดประตู และเข้าไปสำรวจห้องลับข้างใน และได้พบกับ เอลซ่า (Elsa) เด็กสาวตัวสูง รูปร่างผอมแห้ง และเขามาค้นพบทีหลังว่า เอลซ่า คือชาวยิวที่แม่ของตนแอบซุกซ่อนเอาไว้
- การปรากฏตัวของเอลซ่า ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมเด็กสาวคนนี้ต้องมาหลบในห้องลับภายในบ้าน ห้องลับที่โจโจ้เองก็เพิ่งรู้ว่ามีในวันนี้ เด็กสาวซ่อนตัวเองจากอะไรและทำไมถึงจึงซ่อนตัว?
▫️
- ต้องอารัมภบทถึงที่มาที่ไป เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของพรรคนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 /การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือคำว่า hólos แปลว่าทั้งหมด และ kaustós แปลว่า บูชายัญ แปลโดยรวมก็คือ การเผาร่างสัตว์เพื่อสังเวยแก่พระเจ้า มีความหมายโดยนัยคือ การกวาดล้างชาวยิวให้หมดประเทศ ซึ่งปัจจุบัน คำว่า Holocaust ในความหมายทางประวัติศาสตร์ มักจะใช้อ้างถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรปราว 6 ล้านคน โดยพรรคนาซีเยอรมันในช่วงปี ค.ศ 1941-1945 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญที่สุดของโลก เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหี้ยมโหด ที่วางแผนอย่างเป็นระบบและได้รับการสนับสนุนของรัฐบาล
- ในความเป็นจริง ลัทธิต่อต้านผู้นับถือศาสนายิวมีปรากฏในยุโรปมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนเมื่อฮิตเลอร์ได้ขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จในปี ค.ศ 1933 พรรคนาซีไม่ได้มองว่า ยิว เป็นความเชื่อทางศาสนา แต่มองว่าเป็นเชื้อชาติที่เป็นศัตรูต่อความเจริญของประเทศ อุดมการณ์ด้านเชื้อชาติของพรรคนาซี ระบุว่า ชาวยิวเป็นพวกที่ต่ำกว่ามนุษย์ (Untermenschen)
- เมื่อมีแนวคิดดังกล่าว ฮิตเลอร์ก็ชูแนวคิดเรื่องชาตินิยมและความพิเศษของชาวอารยัน แล้วเดินหน้านำพรรคนาซีและประชาชน ให้รังเกียจและต่อต้านชาวยิวจนถึงที่สุด ซึ่งในตอนนั้น เป้าหมายหลักก็คือ บีบให้ชาวยิวถูกกดดันจนทนอยู่ในประเทศไม่ได้ และย้ายออกไปให้หมด
- ในเริ่มแรก พรรคนาซีได้ใช้นโยบายชาวเชื่อในการปลุกกระแสต่อต้านชาวยิวในเยอรมนี มีการออกกฏกีดกันชาวยิวตามสถานที่ต่างๆ ห้ามชาวยิวเข้าเรียน ห้ามชาวยิวทำงานบางประภท ไปจนถึงออกกฏหมายนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Laws) ซึ่งกฏหมายฉบับนี้ กำหนดให้ถอนสิทธิพลเมืองของยิว ห้ามคนเยอรมันแต่งงานกับชาวยิว ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับชาวยิว นอกจากชาวยิวแล้ว ก็ยังรวมถึงกลุ่มยิปซี และคนผิวดำด้วย โดยสรุปแล้วก็คือ แผนงานเนรเทศหมู่
- และการขยายอำนาจของเยอรมนีซึ่งผนวกกับออสเตรียในปี ค.ศ 1938 โปแลนด์ในปี ค.ศ 1939 รวมถึงการบุกยึดสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ 1941 ชาวยิวในดินแดนที่โดนยึดครองได้จำนวนมหาศาล จึงตกอยู่ใต้การปกครองของประเทศเยอรมนี
- เมื่อมีชาวยิวที่ต้องกำจัดทิ้งมากขึ้น ก็ต้องมีพื้นที่ดำเนินการมากขึ้น โดยเริ่มแรก ก็มีการแยกชาวยิวไปอยู่ชั่วคราวในเกตโต้ (Ghetto) ซึ่งเป็นเขตชุมชนใช้เพื่อคุมขัง ที่มีกำแพงล้อมรอบ ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน (Concentration Camp) หรือถูกส่งไปสังหารที่ค่ายมรณะ (Extermination Camp) /ในปี ค.ศ 1940 นาซีเริ่มสร้างค่ายกักกันในเขตยึดครองในหลายประเทศ ไว้เป็นโรงงานแห่งความตาย เพื่อรองรับจำนวนชาวยิวที่เริ่มล้นค่ายเก่าที่มีอยู่
▫️
- การต่อต้านชาวยิวที่มากขึ้นในช่วงปี ค.ศ 1938 เป็นต้นมา ทำให้ชาวยิวบางกลุ่มต้องระหกระเหินอพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวยิวในชนชั้นมีฐานะ ส่วนชาวยิวชนชั้นแรงงาน ก็ต่างได้รับผลกระทบจากการกดขี่ บางส่วนก็ถูกกันเข้าไปอยู่ในเกตโต้ ซึ่งบั้นปลายชะตากรรมคือค่ายกักกัน แต่ก็มีบางส่วนที่สามารถหลบหนีออกมาได้ และได้รับความช่วยเหลือจากชาวเยอรมันที่ต่อต้านลัทธินาซี ในการให้ที่หลบซ่อนในบ้านพัก /ซึ่งตัวละคร เอลซ่า ก็คือชาวยิวคนหนึ่งที่มีชีวิตในการหลบซ่อนตนจากอำนาจนาซี เธอเล่าว่า ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นพ่อแม่ คือตอนที่พ่อแม่ขึ้นรถไฟ (น่าจะเป็นรถไฟที่ขนชาวยิวไปยังค่ายกักกัน) แต่เธอวิ่งหนี แต่เข้ามาในตัวเมือง เพื่อนของพ่อเธอเป็นคนช่วยเหลือในเรื่องที่ซ่อน แต่เธอก็เปลี่ยนที่ซ่อนบ่อย จนในที่สุดโรซี่ก็รับเธอมาหลบซ่อนภายในบ้าน
- บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดัง จากเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ Anne Frank เธอคือชาวยิวที่หลบซ่อนตัวภายในอาคารสำนักงานของพ่อในกรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งในระหว่างที่เธอหลบซ่อนตัว เธอก็ได้บันทึกไดอารี่ในทุกๆวัน เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ถึงแม้ในท้ายที่สุด เธอและครอบครัวจะถูกจับได้ และถูกส่งไปยังค่ายกักกัน แต่บันทึกที่เธอเขียนทุกวัน กลับเป็นบันทึกที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ตีแผ่แง่มุมของชาวยิวที่ถูกกดขี่โดยนาซี และได้ออกตีพิมพ์ในชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Diary of a Young Girl" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อเกียรติภูมิของมนุษย์สืบต่อมา
.
? สวัสดิกะ ตราสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและความเกลียดชัง
▫️
- เขียนยาวมาถึงบทนี้ ยังไม่พ้นช่วงครึ่งเรื่องแรกเลย ? ซึ่งในบทนี้จะหยิบเครื่องแบบที่เด็กน้อยโจโจ้ใส่เกือบทั้งเรื่อง มาแถลงถึงความสำคัญว่าทำไมเด็กชายคนนี้ ถึงอยากใส่ชุดเครื่องแบบยุวชนนาซีอยู่บ้านด้วยนะ? ไม่ร้อนหรอ? และตราสัญลักษณ์สวัสดิกะ รูปกากบาทปลายหัก ที่เราเห็นมาทั้งเรื่อง มันมีที่มาที่ไปอย่างไร?
▫️
- หลังการก่อตั้งพรรคนาซีในโรงเบียร์ในปี ค.ศ 1920 พรรคนาซีก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และตอนนั้นก็มีพรรคฝ่ายขวาหลายสิบพรรคที่แข่งขันกันเพื่อกุมอำนาจของประเทศ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์หลายๆชนิด ถ้าต้องการขยายตลาด ก็ต้องทำให้ยี่ห้อของตนโดดเด่น และต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ยอดเยี่ยม และฮิตเลอร์ก็ถือว่าเป็นนักโฆษณาที่เก่งพอตัวเลย
- ฮิตเลอร์รู้ถึงพลังของภาพลักษณ์ เขาตระหนักถึงพลังของการสร้างแบรนด์ ว่าคุณแค่ไม่เพียงต้องมีตัวตน แต่คุณต้องมีเครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมให้คนเคารพคู่กันด้วย และเมื่อพูดถึงสัญลักษณ์ เราคงต้องยอมรับว่า เครื่องหมายสวัสดิกะของพรรคนาซี ทรงอิทธิพลขนาดไหน
- รูปทรงกากบาทปลายหัก ในวงกลมสีขาวบนธงสีแดง อาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้สัญลักษณ์เดียวกันนี้ เคยถูกใช้เป็นเครื่องหมายของความโชคดีและความอุดมสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์อันเป็นมงคลตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พุทธและเชน
- ว่ากันว่า ในช่วงนึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวตะวันตกนิยมคลั่งไคล้เครื่องหมายนี้มาก จนนำไปใช้กับสถาปัตยกรรม หรือการออกแบบโฆษณา และเคยนำมาใช้เป็นเครื่องหมายของลูกเสือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 /จนกระทั่ง พรรคนาซีเยอรมัน ได้แรงบันดาลใจมาจากงานแปลของนักวิชาการในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่เชื่อมโยงระหว่างภาษาสันสกฤตและภาษาเยอรมัน และคิดเอาตราสัญลักษณ์สวัสดิกะนี้ มาใช้แทนเครื่องหมายของเชื้อชาติอารยัน
- จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จากวีรกรรมของพรรคนาซีเยอรมันที่สร้างโศกนาฏกรรมที่โลกลืมไม่ลง ทำให้เครื่องหมายสวัสดิกะ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเครียดแค้น ชิงชังและความโหดร้าย จนเกิดเป็นเครื่องหมายต้องห้ามในสื่อหลายๆสื่อจนจวบปัจจุบัน
▫️
- แต่ถึงสัญลักษณ์จะทรงพลังขนาดไหน อำนาจที่แท้จริงก็คือคนในอำนาจของคุณ ซึ่งต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของคุณ
- เครื่องแบบนาซี เป็นเครื่องแบบที่ดูภูมิฐานและเน้นสัดส่วนร่างกายของผู้สวมใส่ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแบบทหารสีน้ำตาลอ่อน และบางหน่วยก็เป็นเครื่องแบบสีดำ ซึ่งสะท้อนอุดมคติของนาซีที่พยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า ร่างกายของชาวอารยันจะต้องมีลักษณะกำยำแข็งแรง
- การได้แต่งเครื่องแบบ และเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง ได้เป็นส่วนหนึ่งของของขบวนการ เป็นสิ่งที่มีความหมายมากในจิตใต้สำนึกของชาวเยอรมัน เครื่องแบบนั้นในความคิด คือการเสียสละ หมายถึงหน้าที่ หมายถึงการเชื่อฟังและความภักดี พูดอีกอย่างนึงคือ การที่คุณได้สวมใส่เครื่องแบบนั้นหมายถึงการอยู่ใน "ทีม" เหมือนการเชียร์ฟุตบอล เครื่องแบบของสโมสร หากเราได้ใส่ เราก็ยิ่งมีความรู้สึกร่วมที่มาก และใครๆก็อยากประกาศตนว่าอยู่ในทีมที่เขานั้นภาคภูมิใจ
- ทั้งสัญลักษณ์สวัสดิกะและเครื่องแบบ เป็นสิ่งที่ลัทธินาซีต้องการให้เกิดความคล้อยตามกันของมวลชน เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่สำคัญ และลัทธินี้สามารถโน้มน้าวให้เชื่อว่าสิ่งที่มวลชนกำลังเป็น ไม่ใช่การคล้อยตาม แต่มันคือความเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียว
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in