Call Me by Your Name (2017) ????♂️
Director : Luca Guadagnino
My Score : 9.0 / 10
.
(ใครที่ไม่เคยดู แล้วไม่มีแพลนจะดูเร็วๆนี้ อ่านหัวข้อ"บทสรุปและความรู้สึก"ก่อนก็ได้ ?)
***บทความนี้จะวิเคราะห์ความเป็นไปและนัยยะแฝงผ่านทีละฉาก พยายามให้ละเอียดที่สุด ?
.
➡️ พล็อต
- หนังมีฉากหลังเป็นเมืองอันเงียบสงบทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในปี 1983 เรื่องราวของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี "Elio" ต้องแบ่งห้องนอนให้กับนักศึกษาปริญญาเอกชาวอเมริกันวัย 24 ปี "Oliver" ที่มาค้างแรมกับครอบครัวของเขาเป็นเวลาเกือบ 6 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน เพื่อเขียนงานวิทยานิพนธ์และช่วยงานของพ่อเอลิโอ ที่เป็นศาสตราจารย์ด้านโบราณคดี
- ถึงแม้การแบ่งห้องให้กับนักศึกษาที่มาช่วยงานพ่อ จะเป็นเรื่องปกติของElio ที่ทำทุกช่วงฤดูร้อน แต่สำหรับปีนี้ มีสิ่งที่ต่างออกไป คือ Oliver ที่ทำให้ฤดูร้อนอันแสนสงบ ต้องกลายเป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่จะตราตรึงในความทรงจำของเขาไปตลอดกาล
.
➡️ ตัวตนของคนที่อยู่และผู้มาเยือน กับการพัฒนาความสัมพันธ์จากการค้นหาตัวตนของอีกฝ่าย
- ในช่วงวัยของElioในวัย 17 ปี และการมาของOliverในช่วงฤดูร้อนนี้ ด้วยพฤติกรรม วิถีชีวิตและไหวพริบ รวมถึงความคิดที่ขบถหน่อยๆของหนุ่มชาวอเมริกัน ที่ดูแปลกแยกและแตกต่างกับวิถีชีวิตของชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ที่จะทำให้ต่อมความสงสัยใคร่รู้กระตุ้นความสนใจของElioที่มีต่อOliver
- ฉากแรกที่ทำให้เห็นถึงความสนใจของElioที่มีต่อOliverเลย คือ ฉากที่โอลิเวอร์แย้งพ่อเรื่องรากศัพท์ของคำว่า "Apricot" ที่ไม่ได้มาจากภาษาอาหรับแต่มาจากภาษาละติน แล้วพ่อก็ยอมรับข้อมูลชุดนั้น จากฉากทำให้เห็นว่า Elio อาจจะมีรสนิยมแบบ "Sapiosexual" - คนที่มีภาวะตกหลุมรักคนที่มีความฉลาด ในประมาณนึง ซึ่งฉากนี้เหมือนเป็นตัวจุดฉนวนที่ทำให้เกิดสถานการณ์ต่างๆในภายหลัง
- หลังจากฉากนั้น เราจะเห็นว่า Elioเริ่มมองOliverบ่อยขึ้น จากฉากไปบาร์ เล่นวอลเลย์ จนมาถึงฉากที่Oliverเห็นElioช่วยตัวเอง (แต่พอOliverเปิดประตูเข้ามา Elioแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ) ซึ่งเป็นฉากแรกที่เริ่มเห็นความสนใจของOliverที่มีต่อElio / ***ซึ่งสำหรับผม เป็นความสนใจที่เกิดขึ้นจางๆ คิดว่าฉากนี้OliverมองElioจากเพื่อนร่วมห้องเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ด้วยฉากที่ว่าข้างต้น Oliverอาจจะมีความสนใจใน Homosexual (ความสนใจในเพศเดียวกัน) ก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่เลย เพราะเหมือนOliverตั้งใจมาหาElioเพื่อชวนไปหาอะไรทำข้างนอกอยู่แล้ว แต่การที่Oliverแอบเห็นElioช่วยตัวเองนั้น มีผลในเนื้อเรื่องช่วงต่อไปแน่นอน
- เรื่องดำเนินต่อไป เราจะได้เห็นว่าทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เรื่องพูดคุยกัน เริ่มโต้ตอบกัน จนมาถึงฉากที่เห็นความชัดเจนของความสนใจซึ่งกันและกันของสองตัวละครมากที่สุด คือ ฉากที่Elioเล่นเปียโน
- ฉากนี้เราจะได้เห็น Elio พยายามดึงความสนใจของOliverมาที่ตัวเอง โดยการเล่นกีตาร์ด้วยบทเพลงนึงของ Bach แล้ววิ่งเข้าบ้านเพื่อเล่นเปียโน ซึ่งOliverก็ตามมา จุดนี้ Elio ได้ใช้ความสนใจร่วม คือดนตรีที่ตนสนใจ และงานประพันธ์ที่ Oliver สนใจ โดย Elio พยายามเล่นเพลงที่มีการดัดแปลง เพื่อให้ Oliver หงุดหงิด และเดินจากไป แล้วค่อยเล่นเพลงของ Bach แบบดั้งเดิม เพื่อดึงดูดให้ Oliver กลับมา ซึ่งฉากนี้มีนัยยะของการควบคุมจากสิ่งที่อีกฝ่ายสนใจ เป็นชั้นเชิงที่มีลูกเล่นพอตัวเลย
.
➡️ Is it better to speak or to die? : ก้าวข้ามระยะปลอดภัย
- ความสนใจในตัวตัวของ Elio ที่มีต่อ Oliver นั้นพลุ่นพล่าน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นความรัก แต่ด้วยเงื่อนไขหลายๆอย่าง ทำให้ Elio ไม่สามารถบอกความในใจที่มีแก่ Oliver ได้
- จนมาถึงฉากฝนตก คนในครอบครัวอยู่ด้วยกัน แม่ได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง พูดถึง อัศวินกับเจ้าหญิง อัศวินหลงรักเจ้าหญิง และ เจ้าหญิงก็หลงรักอัศวินเช่นกัน แต่ทั้งสองไม่รู้ตัว แต่ด้วยฐานะและคิดว่าตนนั้นต่ำต้อย ทำให้อัศวินไม่อาจพูดคำว่ารักออกมาได้ จนวันนึง อัศวินได้ถามกับเจ้าหญิงว่า "ควรพูดหรือตาย มากกว่ากัน?"
- เรื่องดำเนินมาถึงฉากที่ Oliver ชวน Elio เข้าเมืองเพื่อไปเอาของ ทั้งคู่ขี่จักรยานมาถึงกลางเมืองที่มีอนุเสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งอยู่ Oliver ชวนคุยถึงอนุเสาวรีย์ Elio ก็เล่าประวัติไปบลาๆ Oliver จึงแซวว่า "ดูนายจะรู้อะไรๆมากกว่าคนอื่นนะ" Elio ตอบ "ถ้าคุณรู้ว่าผมน่ะ เข้าใจเรื่องที่สำคัญน้อยแค่ไหน" Oliver ถาม "อะไรละคือเรื่องสำคัญ?"
- ฉากนี้คือฉากสำคัญ ฉากที่ Elio สารภาพความในใจต่อ Oliver โดยทั้งสองเดินอ้อมและสนทนากันอยู่คนละฝั่งของอนุเสาวรีย์ไปเรื่อยๆ โดยมีบทสนทนาดังนี้
Elio : "คุณก็รู้นี่"
Oliver : "มาบอกฉันทำไม?"
Elio : "เพราะผมคิดว่าคุณควรรู้ไว้"
Oliver : "เพราะคิดว่าฉันควรรู้หรอ?"
Elio : "คงเพราะผมอยากให้คุณรู้ ... เพราะผมบอกใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากคุณ"
/ เป็นบทสนทนาที่เฉียบคมมากๆ การบอกรักโดยไม่มีคำว่ารัก แล้วประโยคอย่าง "ผมบอกใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากคุณ" เป็นการใช้ความรู้สึกของความรัก ที่เกิดขึ้นและเข้าใจกันแค่คนสองคน มาใช้ในบริบทนี้ได้อย่างชาญฉลาดมาก ความรู้สึกที่คุณมีต่อฉัน ฉันก็มีต่อคุณ สุดยอด ??? / รวมถึงการที่ระหว่างบทสนทนา แต่ละฝ่ายเดินอ้อมอนุเสาวรีย์กันคนละฝั่ง ก่อนจะมาบรรจบกันอีกครั้งส่วนตัวผม มีความรู้สึกว่า ฉากนี้เหมือน "ห้องสารภาพบาป" อนุเสาวรีย์เปรียบเหมือนฉากกั้น ที่ทำให้การสารภาพความรู้สึกครั้งนี้จึงยั่วยวนไปกับระยะห่างทางใจและสิ่งกีดขวางความรู้สึก ทำให้ตัวละครทั้งสอง ได้มีเวลาทบทวนความในใจที่เพิ่งรู้ และ ความในใจที่เพิ่งบอก จนกว่าจะพบกันอีกฝั่ง เป็นการวางสถานการณ์ได้เฉียบมาก ???
- หลังจากฉากนี้ เราก็จะได้เห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้ว แต่คือคนรัก ซึ่งตัวละคร Oliver ที่ดูไม่ออกว่าจะดีจะร้ายในช่วงแรก หลังจากฉากนั้น จะเห็นความเปิดกว้าง เข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีมิติขึ้น มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ส่วน Elio ยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นว่า ต้องการ Oliver มากขนาดไหน - ถึงแม้จะมาไกลขนาดนี้ แต่หนังก็เสนอความ Bromance ของทั้งสองคนในเชิง Skinship มีจับมือบ้าง มีจูบแบบนับครั้งได้ ซึ่งผู้กำกับฉลาดมากในการนำเสนอที่ไม่หวือหวาจนหลุดโทนหนัง และทำให้หนังมีความวายจนเกินไป
.
➡️ จุดพักทบทวนมุมมองความรัก
- Oliver : ถึงแม้จะรู้ความในใจของ Elio แล้ว แต่ก็ยังสับสน โดยมีเงื่อนไขเรื่องความรักชาย-ชาย เรื่องระยะเวลาที่ตนจะอยู่อีกไม่นาน รวมถึงการวางตัวกับครอบครัวของ Elio หากความจริงเปิดเผย ทำให้มีช่วงนึงที่ทั้งสองห่างเหินกันและส่งผลให้ Elio กลับไปคบกับ Marzia
- Elio : จุดเริ่มต้นนั้น Elio มีความสัมพันธ์กับเพื่อนสาวคนหนึ่งชื่อ "Marzia" ซึ่งเพื่อนคนนี้มาเป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนฮอร์โมนของ Elio ในช่วงหนึ่งที่ Oliver ตีตนออกห่าง จึงทำให้ Elio ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าในช่วงที่ตนเองไม่สามารถบรรลุความสัมพันธ์ที่ตนสร้างกับ Oliver ได้ แล้วมาสานสัมพันธ์กับผู้หญิง มันคือความสัมพันธ์จริงๆหรือแค่ทางผ่าน อะไรคือสิ่งที่ตนนั้นต้องการ
- หนังได้ตั้งประเด็นคำถามกับคนดูว่า "ถึงแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆกับ Oliver แต่นั่นคือความรู้สึกจริงๆที่ Elio ต้องการ ในสุดท้ายความสัมพันธ์จริงๆกับทางผ่าน อะไรคือสิ่งที่ Elio ต้องการกันแน่?" ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่ในช่วงชีวิตนึง เราได้เคยหลงรักใครสักคนหนึ่ง ที่คิดว่ามันยากเกินเอื้อมแต่กลับมีโอกาส เราจะเลือกเส้นทางไหนกัน จะเลือกทุ่มสุดตัวกับโอกาสนั้น หรือ แค่เข้าไปสัมผัสกับโอกาสนั้นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แล้วดีดตัวกลับมา
- แต่ในท้ายที่สุด Elio ก็ยังคงคิดถึงแต่ Oliver เสมอ จนมีฉากนึงที่ Elio เขียนข้อความว่า "ความเงียบของคุณกำลังฆ่าผม ... ผมทนความเงียบไม่ไหวแล้ว ผมอยากคุยกับคุณ" เป็นข้อความที่ไพเราะมาก แล้ว Elio ก็นำข้อความนี้ไปสอดใต้ประตูห้อง Oliver จนได้ได้รับข้อความจาก Oliver ในวันต่อมา ซึ่งลึกๆแล้ว ผมคิดว่า Oliver ก็ยังคงคิดว่า Elio จะมองความามพันธ์นี้เป็นแค่เรื่องเล่นๆไม่จริงจัง จนได้รับข้อความ ซึ่งการันตีว่า Elio จริงจังกับความสัมพันธ์นี้ขนาดไหน
- มีฉากนึงที่พ่อและ Oliver ต้องทำงานร่วมกันในการคัดแยกฟิลม์ของประติมากรรมให้เป็นหมวดๆ ซึ่งทั้งสองต้องทำงานด้วยกัน และ วิเคราะห์งานประติมากรรม ซึ่งพ่อของเอลิโอได้พูดถึงงานประติมากรรมส่วนใหญ่ที่มีความความโค้งเว้าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้งานประติมากรรมมีความเยาว์ ซึ่งท้าทายให้เรานั้นปรารถนาอยากได้มา แล้วมองมาที่ Oliver / ผมว่าฉากนี้เนี่ยละ ที่พ่อรู้ว่าทั้งสองคนแอบชอบพอกัน ?
.
➡️ Call me by your name and I'll call you by mine : หนังรักที่ไม่ใช้คำว่ารัก
- เชื่อมั้ย ความสัมพันธ์ของ Elio และ Oliver ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการบอกรักด้วยคำว่า"รัก"กันตรงๆเลย
- ในฉากร่วมรัก ซึ่งมีไม่กี่ฉาก และแค่ทำให้เรารู้ว่าทั้งสองมีอะไรกัน (เพราะแพลนกล้องออกตลอด ?) มีฉากนึงที่ Oliver พูดกับ Elio ว่า "เรียกฉันด้วยชื่อนาย แล้วฉันจะเรียกนายด้วยชื่อฉัน" แล้วทั้งสองก็เรียกชื่อตัวเอง ซึ่งบทพูดนี้ถึงแม้จะดูประดิษฐ์ แต่ผมดูแล้วรู้สึกว่าบทพูดนี้มีความเป็นธรรมชาติมาก ไม่รู้ดิ อาจจะด้วยการแสดงของสองคน หรือ มองว่าประโยคแบบนี้ ใครๆก็พูดได้ มันต้องมีสักคู่นึงบนโลกที่ใช้ประโยคนี้บอกรักกัน เป็นสิ่งที่มีแค่คนสองคนจะเข้าใจ แล้วพูดชื่อตัวเองเป็นโค้ดเพื่อเรียกคนที่เรารัก คล้ายๆ ไอ่อ้วน ไอ่ต้าว ประมาณนั้นนะ พอมาอยู่ในสถานการณ์นี้ของเรื่อง มันเลยเป็นบทพูดที่ลงตัวและพอดีมาก เป็นธรรมชาติและเป็นมนุษย์ที่สุด
▪️
- ซึ่งประโยค Call me by your name and I'll call you by mine นั้น (เรียกผมด้วยชื่อของคุณ แล้วผมจะเรียกคุณด้วยชื่อของผม) แท้จริงแล้วมันมีที่มาจากหนังสือ The Symposium ของเพลโต (Plato) ซึ่งกล่าวไว้ว่า '...มนุษย์ถูกแยกออกจากกันเลยพยายามที่จะตามหาอีกครึ่งที่หายไป' โดยเดิมทีแล้วมนุษย์นั้นมีอยู่ 3 เพศกำเนิด นั่นคือเพศชาย เพศหญิง และเพศรวม '...โดยรูปร่างมนุษย์นั้นกลมสนิท มี 4 มือ มีขามากเท่ามือ และมีใบหน้า 2 หน้าที่เหมือนกันทุกประการวางอยู่บนคอ' รวมถึงมีอวัยวะเพศ 2 อัน เมื่อกาลเวลาผ่านไปเหล่ามนุษย์ได้ก่อกบฏต่อพระเจ้าและพยายามจะขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อโจมจีเหล่าทวยเทพ ซุส (Zeus) ราชาแห่งเทพจึงได้จับมนุษย์แยกออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้วิธีการหั่นเหมือนกับที่เราหั่นแอปเปิ้ล พร้อมสั่งให้อพอลโล (Apollo) หันหน้าของคนไปยังบริเวณที่กำลังถูกหั่นเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขา 'กำลังถูกจัดระเบียบ'
- จากนั้นให้อพอลโลได้รักษาแผลให้มนุษย์ เขานำเนื้อทั้งหมดมากองไว้ที่ท้อง และสร้างปากไว้เหมือนถุงที่มีเชือกผูกและติดไว้ที่กึ่งกลางท้อง ซึ่งปัจจุบันเราเรียกมันว่าสะดือ จากนั้นเขาก็ปรับรอยย่นอื่นๆให้เรียบ แต่ทิ้งรอยย่นบริเวณท้องและสะดือเล็กน้อยเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าเคยเกิดอะไรขึ้น เมื่ออีกครึ่งหนึ่งหายไป มนุษย์จึงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาอีกครึ่งที่หายไป เมื่ออีกครึ่งที่หายไปมาเจอกันก็จะเกิดเป็นที่เราเรียกกันว่า 'ความรัก'
• โดยเพศชายจะต้องตามหาอีกครึ่งของตัวเองที่เป็นเพศชายเหมือนกัน (Gay)
• เพศหญิงจะต้องตามหาอีกครึ่งของตัวเองที่เป็นเพศหญิงเหมือนกัน (Lesbian)
• และเพศรวม ซึ่งเป็นผู้ชายครึ่งหนึ่งและเพศหญิงครึ่งหนึ่ง พวกเขาจะต้องตามหาอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อมาเติมเต็มชีวิตของพวกเขา (Heterosexual)
- ซึ่งทั้งหมดคือคำบรรยายที่อริสโตเฟนส์ (Aristophanes) ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการกำเนิดของความรักใน The Symposium เมื่ออีกครึ่งมาเจอกัน ทั้งคู่ต่างโหยหากันและกัน พวกเขาจึงโอบกอดกันเพื่อแสดงปฏิพัทธ์ ความรักจึงเกิดขึ้นในมนุษย์ทุกคน มันเป็นการเรียกหาอีกครึ่งนึงที่หายไปของเราให้กลับคืนมาสู่ธรรมชาติดั้งเดิม มันเป็นการเรียกหาที่พยายามจะรวมอีกครึ่งให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันและรักษาแผลตามธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นเราแต่ละคนจึงเป็น 'ครึ่งที่ตรงกัน' ของใครซักคน และเราต่างก็พยายามที่จะตามหาอีกครึ่งที่ตรงกับเรา
- แนวคิดในเรื่องนี้มันมีมีความคล้ายกับเรื่อง Twin Flame หรือในภาษาไทยเรียกว่า เปลวไฟคู่ มันเป็นความเชื่อทางฝั่งโลกตะวันตกเกี่ยวกับการที่มนุษย์มี 2 ร่างใน 1 คน หรือกล่าวง่ายๆว่าเป็นสองคนที่มีวิญญาณดวงเดียวกัน อะไรทำนองนั้น ดังนั้นการที่เขาทั้งสองได้กล่าวว่า "เรียกผมด้วยชื่อของคุณ" จึงมีความหมายว่า คุณคืออีกครึ่งหนึ่งของผม เป็นประโยคบอกรักโดยไม่มีคำว่ารัก และแฝงนัยยะอันโรแมนติกมากๆในโลกของภาพยนตร์
▪️
- ที่จริง ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ หรือเคยดูหนังมาแล้ว จะเห็นได้ว่าหนังมีความเก่งในการเล่าซีนในการบอกชอบ บอกรัก โดยผ่านเรื่องเรื่องอะไรก็ได้ เช่นเรื่องประติมากรรม สงครามโลก การเมือง ฯลฯ โดยที่ตัวละครไม่ต้องบอกว่าชอบ ไม่ต้องบอกว่ารัก อย่างที่หลายคนเคยเห็นซีน Oliver ถือมือหุ่น แล้ว Oliver เชคแฮนด์กับมือหุ่น หรืออย่างฉากคัดแยกฟิลม์ ที่เคยกล่าวไป คือแต่ละซีนมันสื่อต่อคนดูว่าเกิดความรักได้ เป็นการเล่าอย่างมีรสนิยม มันลึกซึ้ง ที่ผู้กำกับและมือเขียนบททำไว้ดีมาก
- มาถึงจุดนี้ขอพูดประเด็น LGBTQ+ นิดนึงละกัน ด้วยตัวหนังมันพูดถึงช่วงเวลาสั้นๆในช่วงฤดูร้อน ที่ทั้งสองได้พัฒนาความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ยากจุดที่ Elio เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง จนกลางเรื่องที่ Elio ได้เลือกพัฒนาความสัมพันธ์กับ Oliver และในจุดสุดท้ายที่ทั้งสองต้องแยกทางกัน ถ้าพิจารณาจากแค่โมเมนต์ที่เกิดขึ้น ผมคงนิยามให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แบบ "Queer" เพราะ ถึงแม้จะเคยร่วมรักกันก็ตาม แต่ทั้ง Elio และ Oliver ก็มีใจให้แค่กันและกันเท่านั้น ความปรารถนาไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนอื่น เป็นความปรารถนาที่เกิดขึ้นเฉพาะกับบุคคล ซึ่งในท้ายที่สุด Oliver จะกลับอเมริกาและกำลังหมั้นกับสาวคนนึง แต่ทั้งคู่ยังคงมีความปรารถนาต่อกันอยู่ดี ซึ่งหนังก็ไม่ได้เล่าต่อว่าทั้งคู่จะได้กลับมาเจอกันในอีกสักครั้งหรือไม่ ?
.
➡️ Later and Peach : ใช้ให้คุ้มในช่วงชีวิตที่สุกงอม ?
- Later (ไว้ว่ากัน) : คำพูดติดปากของ Oliver "ไว้ก่อน ,ค่อยว่ากัน ,ค่อยลองดูทีหลัง" พูดบ่อยจน Elio แซวกับครอบครัวว่า "ในวันที่เค้ากลับ เค้าคงพูด"ไว้ว่ากัน"ตอนบอกลาละมั้ง?" แต่คำพูดติดปากของ Oliver นี้ มีนัยยะซ้อนอยู่ จากการพัฒนาของตัวละคร จะเห็นได้จากในช่วงแรก ที่ Oliver มักจะพูดวลี "Later" เพื่อบอกปัดกิจกรรมที่ตนไม่สนใจ จนถึงซีนที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในฉากที่ Oliver รู้ความในใจของ Elio ซึ่ง Oliver ไม่สามารถพูดคำว่า "Later" ได้อีกแล้ว เมื่อถึงจุดที่ทุกอย่างลงตัว ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะ"ไว้ว่ากัน" ในเมื่อเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกครั้งเมื่อไหร่? หนังต้องการบอกเป็นนัยๆว่า ในช่วงเสี้ยววิของชีวิต ที่มีโอกาสบางอย่างเกิดขึ้น จงไขว่คว้าไว้ ... และในฉากที่ Oliver ต้องจากลากับ Elio Oliver เพียงแค่กอด Elio ในอ้อมแขน ไม่แม้แต่จะพูด "Later" หรือ "Goodbye" ในเมื่อโมเมนต์นี้ไม่รู้ว่าตัวเค้าจะได้สัมผัสมันอีกครั้งเมื่อไหร่ และ เค้านั้นไม่อยากให้การกอดครั้งนี้คือการจากลา
- Peach (ความสุกงอม) ? : ในฤดูร้อน เป็นฤดูที่ต้นพีชจะออกผล ให้คนได้เด็ดและลิมรสชาติของลูกพีชที่กำลังสุกงอมพอดี ซึ่งเราจะเห็นผลไม้ฤดูร้อนหลายๆชนิดในฉากต่างๆภายในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นตัวละครเด็ดลูกพีชมากิน หรือ เอามาช่วยตัวเอง ซึ่งลูกพีชในฤดูร้อนมีนัยยะถึงความสุกงอม จุดที่ช่วงชีวิตนึงเรามีความพร้อมทุกอย่างที่จะไขว่คว้าทุกโอกาส เหมือนต้นพีชที่ออกผลเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ให้คนเก็บเกี่ยวนำไปกิน ซึ่งคุณอยากจะกินลูกพีช ก็ต้องรีบเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูร้อน และหากคุณไม่รีบลิ้มรสในช่วงนี้ ลูกพีชก็จะแห้งเหี่ยวและเน่าเมื่อไม่ใช่ฤดูของมัน หากเราพลาดฤดูสำคัญในชีวิต เราคงหมดโอกาสที่จะได้สัมผัสสิ่งที่มีค่าหลายๆอย่าง รอวันอับเฉาและดับสูญไป
- ซึ่งจากนัยยะทั้งสอง ได้มาขมวดในฉากท้ายๆของเรื่อง ฉากที่ Oliver ได้กลับอเมริกา Elio ต้องทนทุกข์กับความโหยหาและคิดถึง จนพ่อเห็นถึงความทุกข์ และเรียก Elio มาคุย ด้วยบทสนทนานี้ ...
"... และในเวลาที่เราไม่คาดคิดที่สุด ธรรมชาติมีวิธีแสนเจ้าเล่ห์ ที่หาจุดอ่อนที่สุดของเราเจอ
... เราละทิ้งอะไรๆไปมากมาย เพื่อที่จะหายดี พออายุ 30 ก็ล้มละลายซะแล้ว และให้ได้น้อยลงทุกครั้ง เมื่อเริ่มต้นกับรักครั้งใหม่ แต่การทำให้ตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลย จะได้ไม่เจ็บปวด มันช่างน่าเสียดาย
...พ่ออาจจะเคยเกือบมี แต่พ่อไม่เคยได้มี สิ่งที่ลูกสองคนมี มีบางอย่างมารั้งพ่อไว้ หรือ ขวางทางเสมอ
...ลูกจะใช้ชีวิตอย่างไร ก็เรื่องของลูก แค่จำไว้ว่า หัวใจและร่างกายของเรา จะถูกมอบให้เราแค่ครั้งเดียว และ...ก่อนที่จะรู้ตัว หัวใจเราก็หมดแรงแล้ว ส่วนร่างกาย สักวันก็จะไม่มีใครมอง หรือแม้แต่จะอยากเข้าใกล้
...ตอนนี้ลูกโศกเศร้า เจ็บปวด อย่าขจัดทิ้งมันไป และด้วยความรู้สึกพวกนั้น ลูกจะรู้สึกถึงความสุข"
- ในจังหวะหนึ่งของชีวิต แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แม้ว่าเราสับสนกับความรู้สึกนั้น แต่เราสุกงอมแล้ว จงใช้ช่วงเวลานั้น เสพย์ความสุกงอมของชีวิตให้เต็มที่ จงอย่า "ไว้ว่ากัน" เพราะเรามีโอกาสเพียงน้อยครั้งที่จะได้เสพย์มัน หากถึงจุดที่ความสุกงอมนั้นได้ผ่านไปแล้ว เราจะได้ไม่เสียใจทีหลังที่พลาดมันไป บางทีชีวิตเราอาจจะมีฤดูที่สุกงอมเพียงแค่ฤดูเดียว
.
➡️ บทสรุปและความรู้สึก
- ด้วยการตีความนัยยะต่างๆภายในหนัง แล้วมองผ่านหลายๆมุมมอง ผมมีความรู้สึกว่า หนังมันได้ก้าวข้ามหนัง LGBTQ+ ไปแล้ว ในมุมมองความหลากหลายทางเพศเป็นเพียงแค่เปลือก แต่แก่นแท้ของหนังคือการที่ให้คนดูสำรวจโมเมนต์ของชีวิตในเรื่องของความรัก ว่าเคยพลาดโอกาสแบบนี้ไปยัง หรือ มันกำลังเกิดขึ้นอยู่
- การแสดงของ Timothée Chalamet และ Armie Hammer ที่เคมีเข้ากันอย่างลงตัว ตลอดเรื่องทั้งคู่เค้นอารมณ์ส่งเข้าโสตประสาท ทำให้คนดูอินได้ไม่ยาก และในฉากสุดท้ายหน้าเตาผิง ที่ Timothée แสดงฉากลองเทค ที่เปี่ยมไปด้วยหลากอารมณ์ของความเศร้า ความยินดี ความเหงา เป็นเวลาเกือบ 5 นาที จนทำให้เข้าไปชิงออสการ์ในปีนั้น
- และด้วยโทนหนังที่มีพื้นหลังเป็นฤดูร้อนในทางตอนเหนือของอิตาลี กับบทหนังที่เรียบเรียงมาอย่างดี เราจึงเปรียบเหมือนการดูความสัมพันธ์ทั้งสองที่ดำเนินไป เหมือนไม่การดูหนังสักเรื่อง แต่เป็นการดูความสัมพันธ์ผ่านบทกลอนหรือบทกวีดีๆนี่เอง ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in