- หนังเข้าใจยาก ในความหมายของผม คือหนังที่ใช้พลังสมองในการดู ต้องคิดวิเคราะห์ตลอด อาจจะยากด้วยเรื่องสารของหนัง หรือยากเพราะการเล่าของหนัง ทำให้พอหลุดนิดนึง คือวูบออกจากหนัง และไม่เข้าใจในทันที ต้องใช้เวลาตั้งหลักและปะติดปะต่อเรื่องใหม่พอสมควร เพื่อให้ทันกับสารที่หนังจะต้องการสื่อในแต่ละฉาก
- ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าความน่าเบื่อและดูยาก ไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกัน ความน่าเบื่อมันเป็นซับเซ็ทเล็กๆ ของความดูยาก พอมันดูยาก แล้วใช้สมองเยอะ เลยคิดว่าต้องทำให้น่าเบื่อ สวนกระแสหนังย่อยง่าย ดูสนุก อย่างหนังฮีโร่ หนังรัก แต่สารและวิธีการนำเสนอของหนังเหล่านี้ พอดูจบ มันนำมาซึ่งความประทับใจ ทำให้การดูหนังครั้งนั้นๆ เป็นประสบการณ์ที่ดี
- ซึ่งหนังที่หยิบยกมา คือ คิดออกมาแล้วว่ามีความยากในการดูพอสมควร มีเนื้อหาเยอะ ใช้ความเข้าใจสูง กับตลอดชีวิตในการดูหนัง ซึ่งอาจจะมีหนังที่หลายคนคิดว่าดูยากกว่านี้ ก็แชร์ๆกันได้นะ จะเก็บเอาไปดู ?
.
➡️ 5. Memento (2000)
- หนังแมสเรื่องแรกๆของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการ ด้วยซิกเนเจอร์ของการทำหนังที่ใช้วิธีเล่าสุดแหวกแนว ซับซ้อน และหักมุม จนทำให้ต้องหาดูอีกหลายๆครั้ง เพื่อที่จะเข้าใจเนื้อหาที่เขานำเสนอ
- พล็อตง่ายๆ ว่าด้วยชายคนหนึ่งที่มีความจำระยะสั้น และต้องการหาตัวฆาตกรที่ได้ฆ่าภรรยาของเขา
- ความยากของหนังคือ การนำเสนอเนื้อหาด้วยวิธีการเล่าจากหลังมาหน้า และคั่นเรื่องด้วยการเล่าจากหน้าไปหลัง จนนำไปสู่บทสรุปของเรื่อง ที่คนดูต้องลำดับเหตุการณ์ในหัว เหมือนหนังมันแกล้งคนดู ด้วยการให้คนดูใช้สมองส่วนความจำและสมองส่วนการรับรู้ ไปพร้อมๆกัน
- และด้วยความยากในการลำดับเรื่องนี้ ทำให้หนังเรื่อง Memento มันคือประสบการณ์ในการดูหนังที่ใหม่เอี่ยม หาจากเรื่องอื่นเรื่องไหนแทบไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะดูรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม ?
.
➡️ 4. Magnolia (1999)
- ถ้าจะพูดถึงหนังที่พูดหลายๆเหตุการณ์ จากหลายๆตัวละครในเส้นเรื่องเดียวกัน นี่มีเยอะมากๆ ไม่ใช่ความแปลกใหม่ อย่างหนังรอมคอมหรือหนังไซไฟหลายเรื่องก็ชอบทำแบบนี้ อย่างเรื่อง Valentine's Day (2010) หรือที่จะดูใกล้เคียงกับหนังเรื่องนี้หน่อย คงจะเป็นหนังเรื่อง Cloud Atlas (2012) ที่ใช้เหตุการณ์จากหลายช่วงเวลามาเล่นกับพล็อต แต่สำหรับผม มันเทียบกับความรู้สึกที่ดูจากหนังเรื่องนี้ไม่ได้
- โดยเนื้อหาในหนัง จะเล่าชีวิตของคน 5-6 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน จากคนละเหตุการณ์ ดูแบบจะไม่มีทางเกี่ยวข้องกันได้เลย จนเรื่องดำเนินไป จนในสุดท้าย ชีวิตของคน 5-6 ในเรื่องมีความเกี่ยวข้องกันหมดจาก"ความบังเอิญ" แล้วไอสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันก็โครตเป็นความบังเอิญมากๆ ที่แบบไม่น่าจะเห็นได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน แต่ถามว่าเกิดขึ้นได้มั้ย? คือเกิดขึ้นได้แน่นอน ไม่เวอร์จนเกินเบอร์ ซึ่งตรงจุดนี้นี่แหละ ที่เป็นซิดเนเจอร์ของหนัง ที่อยากให้ได้ดูเอง ไม่อยากสปอย
- ความยากมันก้าวข้ามการแค่ลำดับเรื่องราวไปอีกขั้น การใช้ความบังเอิญ ก็ดูเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ คือจากที่ดูรอบแรก ก็พอให้คำตอบตัวเองได้ ว่าทำไมการเดินเรื่องถึงนำพาไปสู่จุดจบแบบนั้น แต่พอได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ก็ทำให้มันล้ำกว่านั้นอีก ด้วยนัยยะต่างๆที่ซ้อนในหนัง มันทำให้จุดจบที่คิดว่าล้ำแล้ว มันมีความล้ำขึ้นไปอีก /ถ้าใครมีโอกาสได้ดู ก็เสพย์ให้อิ่ม แล้วรอตกตะกอนสักพัก จึงค่อยไปหาข้อมูลที่อธิบายนัยยะของหนัง มันจะเป็นประสบการณ์การดูหนัง ที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆเลย
.
➡️ 3. Tenet (2020)
- ? ประสบการณ์ตรง ที่นั่งดูหนังกับเพื่อน แล้วไม่สามารถอธิบายความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นภายในหนัง จากจุดที่คิดว่าตัวเองเคยเข้าใจแล้ว
- หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ขึ้นชื่อเรื่องการนำเสนอที่เนื้อหาเข้าใจยาก ผมเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน 2 รอบ เมื่อปลายปีที่แล้ว และตกตะกอนช่วงนั้นว่า เราเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ จนกลับมาดูอีกครั้งร่วมกับเพื่อน จึงทำให้เห็นความล้ำของหนัง ที่คุณไม่น่าจะเข้าใจได้เลยจริงๆ จากการดูแค่ 2-3 ครั้ง ถึงตอนนี้ที่พิมพ์ ก็ยังเข้าใจเนื้อหาหนังไม่หมด ?
- ความยากของหนัง คือ เหตุการณ์จากหลายทิศทางเวลาที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน /ถ้าจะเทียบกับหนังเรื่องอื่น การย้อนเวลาจะเป็นแนวแบบย้อยจากเวลา A ไปโผล่ B จบ แต่หนังเรื่องนี้ มันคือการย้อนเวลาแบบเรียลไทม์ 5555 เส้นเวลาปกติก็เดินไปข้างหน้า เส้นเวลาที่ย้อนก็เดินถอยหลัง ในซีนเดียวกัน เราจะเห็นอะไรมากมาย เช่น คน วัตถุ รถ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เส้นเวลาไม่เหมือนกัน เราจะเห็นรถที่วิ่งไปข้างหน้า และถอยหลัง ที่ทำให้คนดูต้องใช้สมองแยกแยะ ว่าอะไรคือเวลาปกติ อะไรที่กำลังย้อนเวลา นี่ยังไม่นับการดำเนินเรื่องที่กระชับฉับไวนะ ซึ่งตรงนี้นี่ละ คือความล้ำของหนัง ที่ผู้กำกับมันทำให้คนดูสับสนงุนงงไปหมด จนคิดว่าดูยากที่สุดแล้ว ยากกว่า Inception (2010) กับ Interstellar (2014) อีก
- แล้วคือ มันไม่ใช่สิ่งเราจะทำความเข้าใจด้วยการดูรอบเดียว ถึงจะดูหลายๆรอบ เราก็อาจจะให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ว่าสิ่งเรากำลังดูอยู่ สุดท้ายแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
.
➡️ 2. Mother! (2017)
- ดูจบแล้ว สรุปมันว่าอย่างไงนะ? ?
- เกริ่นด้วยพล็อตก่อน หนังพูดถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยา ทั้งคู่แยกออกมาอยู่ในพื้นที่รกร้างห่างไกลผู้คน เพื่อที่สามีจะได้เขียนงานชิ้นใหม่ให้เสร็จ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีแขกแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน จนทำให้เกิดเรื่องราว"เกินแปลก"ขึ้นเต็มไปหมด
- เอาจริงนะ หนังเรื่องนี้ดูไปเรื่อยๆ เราจะพบความไม่สบายใจมากมายที่หนังถ่ายทอดให้เรา ซึ่งมันเกิดจากความไม่มีต้นตอของเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ดีๆก็เกิด ไม่มีต้นเหตุที่สามารถอธิบายได้โดยกระจ่าง ซึ่งจนจบเรื่อง หนังก็ไม่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเรื่องเลยสักนิด ?
- แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ การที่หนังค่อยๆยัดแขกเข้ามาทีละคนในบ้านเรื่อยๆ เรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน มาเพราะอะไร มันกลับชวนให้น่าติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในบ้าน ซึ่งแขกแต่ละคนก็ทำตัวแปลกๆ จนอยากรู้บทสรุป ซึ่งพอถึงซีนๆนึง ที่หนังมันโกลาหนจนขีดสุด แบบหยุดไม่อยู่กู๋ไม่กลับ ณ ตอนนั้นสำหรับผม คือหยุดหนัง แล้วนั่งตกตะกอนในความคิดทันทีเลย จนมีคำตอบๆนึงขึ้นมาในหัว แล้วกดเล่นดูจนจบ ซึ่งหนังมันต้องเก่งขนาดไหน ถึงทำให้เรา (ผม) กดหยุดดู เพื่อทบทวนความคิดระหว่างหนังวะ? ?
- พอไปเช็คความเข้าใจของตนเองหลังดูหนังจบ ก็สบายใจที่ความเข้าใจของตัวเองยังตรงกับความคิดของคนทั่วไป มันต้องใช้ความรู้จากเรื่องๆหนึ่ง ถึงจะเข้าใจเนื้อหาภายในหนัง แต่เชื่อว่า จะมีอีกหลายๆคนที่ดูแล้ว สบถในใจว่า "อิหยังวะ?" แน่นอน แต่ถึงจะดูไม่เข้าใจ แต่ซีนความโกลาหลใดๆช่วงท้ายเรื่อง เป็นประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่ดีนะ มันงุนงง มันบ้าคลั่ง มันมีความคิดเป็นร้อยพุ่งปริ๊ดภายในเวลาไม่กี่นาที และช่วงเวลานั้น มันสุนทรีย์มากๆ
.
➡️ 1. Synecdoche, New York (2008)
- "โลกนี้มีคนอยู่เกือบ 13 ล้านคน และไม่มีใครเป็นตัวประกอบ ทุกคนเป็นตัวละครเอกในเรื่องของตัวเอง" /เราเคยเป็นตัวประกอบในชีวิตเขา เคยเป็นตัวร้ายในชีวิตเขาอีกคนหนึ่ง เราเคยเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอคนนี้ และกลับมาเป็นตัวเอกในชีวิตตัวเอง
- เรื่องราวพูดถึง ผู้กำกับละครเวทีในเมืองนิวยอร์ก ที่เผชิญกับโรคร้ายจนจิตตกหดหู่ และตระหนักถึงความตายที่กำลังมาเยือน ส่งผลทำให้ภรรยาและลูกสาว หนีไปใช้ชีวิตอยู่ต่างเมือง จนในวันหนึ่ง เขาได้รับเงินจากกองทุน และเขาได้ใช้ทุนที่ได้ทั้งหมด เนรมิตโกดังร้างขนาดใหญ่ให้กลายเป็นโรงละครเวทีขนาดยักษ์ โดยเขาเป็นผู้กำกับที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของตัวเอง เพื่อค้นหาและแก้ไขสิ่งที่เขาเคยผิดพลาด ผ่านงานละครเวที
- คำว่าสร้างโรงละครเวที ในหนังเรื่องนี้ คือการสร้างโลกจำลองเสมือนจริง ให้คนที่เขาจ้างเป็นนักแสดงในละครของเขา เข้าไปใช้ชีวิตจริงๆ แสดงละครผ่านการกำกับจากประสบการณ์ของเขาจริงๆ โดยเขาเป็นผู้สังเกตการณ์เพื่อค้นหาความหมายและความจริง ผ่านการเฝ้าดู หนังมันล้ำจนทำให้คนดู คิดว่าการแสดงละครคือเรื่องจริง จากสิ่งที่เป็นการจำลองกลายเป็นความจริง จากเหตุการณ์สมมติส่งผลกับเหตุการณ์จริง ในนิยามอาจจะเรียกว่า โลกจริงซะยิ่งกว่าจริง (Hyperreality) ซึ่งการนำเสนอที่ทำให้คนดูไม่สามารถแยกแยะความจริงและเรื่องสมมติได้ เป็นอะไรที่ไม่เคยพบเจอจากหนังเรื่องไหนมาก่อน หนังมันนำพาไปจุดสุดท้าย ที่เราคิดว่า "เอ้า ทั้งหมดนี่มันจำลองมาตั้งแต่แรกหรอ?" เป็นสุดยอดประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่มาก และหนังมันทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ผ่านตัวละครจำลอง ตัวละครจำลองของจำลอง รวมถึงชีวิตจริงของตัวเอก ที่ทำให้เราเข้าใจความหมายจริง(จริงๆ) ของชีวิตตัวเองและคนรอบๆตัวเรา
- และด้วยความจริงซะยิ่งกว่าจริง บวกกับความอภิปรัชญาที่หนังนำเสนอ ทำให้หนังเรื่องนี้ ที่ทั้งดูยาก เข้าใจยาก และซับซ้อน กลับเป็นหนังเรื่องนึงที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in