.
➡️ Prologue : บทเกริ่น
- เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ที่ Forrest Gump โลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์ และถูกพูดถึงมานับแต่นั้น ภาพยนตร์ของ Robert Zemekis เรื่องนี้ ทำรายได้ใน Box Office อย่างถล่มทลาย และกวาดรางวัลออสการ์มาได้ถึง 6 สาขา นักวิจารณ์ในหลายๆ สำนักต่างสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมสักครั้งในชีวิต
- ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อดังที่มีชื่อเดียวกัน เขียนโดยนักเขียนชื่อดังนามว่า Winston Groom และถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1986 เรื่องราวเล่าถึงชีวิตของชายคนหนึ่ง โดยชีวิตเขาตั้งแต่เด็กจนโตมีประสบการณ์ตรงกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อเมริกาที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 ในขณะที่เขานั้นไม่รู้ถึงผลพวงต่อสิ่งที่เขาทำไปเลย ซึ่งเป็นเหตุมาจากความฉลาดของเขาที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติ การกระทำอันปาฏิหารย์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนที่ได้รับชม
- Forrest Gump จึงกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกในใจหลายๆคน จากบทเรียนที่เราได้รับรู้จากการกระทำอันไร้เดียงสาของเขาต่อเหตุการณ์ต่างๆ จนวันหนึ่ง เขากลายเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้เขาจะมีอุปสรรคทางด้านสติปัญญาก็ตาม
- สองสิ่งสำคัญ ที่เมื่อพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ และหลายๆ คนคงจะนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เลยก็คือ กล่องช็อคโกแล็ต ในบทสนทนาของเขากับสาวคนหนึ่งตรงม้านั่งที่ป้ายรถเมล์ ‘Life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.' และขนนกที่ล่องลอยในฉากเปิดและฉากปิดเรื่อง ซึ่งของสองสิ่งนี้ คือบทเรียนสำคัญที่ภาพยนตร์อยากจะส่งข้อความถึงเรา โดยในบทความนี้ ผมจะมาวิเคราะห์นัยยะและใจความสำคัญที่แอบแฝงอยู่ภายในกล่องช็อคโกแล็ตและขนนก ให้ผู้อ่านได้รับความกระจ่างไปทุกตัวอักษร ซึ่งบางที อาจจะทำให้ทุกท่านได้หยิบภาพยนตร์เรื่องนี้ มาดูอีกซักครั้ง และเชื่อว่าจะทำให้หลายๆคน รักภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าเดิมแน่นอน
.
➡️ Life was like a Box of Chocolates - ชีวิตกับช็อคโกแลตสักกล่อง
- ประโยคที่ว่า "ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลตสักกล่อง" คงไม่มีใครเข้าใจความหมายได้ดีไปมากกว่าตัว Forrest Gump อีกแล้ว ในภาพยนตร์มีการหยิบยก 'กล่องช็อคโกแลต' มาพูดถึงประมาณ 4 ครั้ง ในครั้งแรกที่เราเห็นกล่องช็อคโกแลตปรากฏในภาพยนตร์คือ ในช่วงที่ฟอร์เรสท์เรียนมหาวิทยาลัย ในคืนหนึ่ง เขาไปรอ Jenny ที่หอพักของเธอ เหตุการณ์จบลงที่ฟอเรสท์เข้าใจผิดว่า ผู้ชายที่กำลังคบหากับเจนนี่ในตอนนั้น กำลังทำร้ายเธอ ทำให้เขาเข้าไปปกป้องเจนนี่ และท้ายที่สุด เมื่อเหตุการณ์จบลง เธอพาเขาเข้าไปยังหอพัก และฟอร์เรสท์ก็มอบกล่องช็อคโกแลตให้เจนนี่ เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นหลังจากที่ฟอร์เรสท์รู้ว่าแม่ของเขาป่วย จากของขวัญทั้งหมดบนโลกนี้ เขาตัดสินใจมอบช็อกโกแลตให้กับเธอกล่องหนึ่ง การมอบของขวัญให้แก่แม่ของเขาในครั้งนี้มีรายละเอียดที่สำคัญมาก เพราะกล่องช็อกโกแลตกล่องนี้สามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง และเป็นฉากที่แม่ของเขาได้ให้ข้อคิดเรื่องชีวิตแก่เขา โดยเปรียบเทียบชีวิตกับกล่องช็อคโกแลต ฟอร์เรสท์ยังใช้บรรทัดฐานนี้ เมื่อเขาได้พบกับเจนนี่อีกครั้ง และเขาก็พบว่าเขามีลูกชาย จากเหตุการณ์การสูญเสียของแม่และเหตุการณ์นี้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามสองอารมณ์ที่แบ่งปันกันโดยของขวัญชิ้นเดียวกัน และครั้งสุดท้ายที่กล่องช็อกโกแลตถูกนำมาพูดถึงในภาพยนตร์ คือตอนจบที่ป้ายรถเมล์ เมื่อฟอร์เรสท์อ้างคำพูดของแม่กับคนแปลกหน้าที่นั่งฟังเรื่องราวของเขา กล่องช็อกโกแลตเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตของคนที่คาดเดาไม่ได้ มันสามารถนำพาผู้คนมาประสบพบเจอกัน และยังสามารถส่งต่อความสุขให้แก่ผู้อื่นได้อีกด้วย
- กล่องช็อกโกแลตคือชีวิตที่คาดเดาไม่ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ในช่วงชีวิตของเรา Forrest เริ่มต้นการเดินทางในชีวิตของเขา ซึ่งแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เขาเกิดมาโดยมีข้อบกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา เขาต้องใส่เหล็กดัดขาและมีไอคิวแค่ 75 คนอย่างฟอร์เรสท์ไม่เคยคาดคิดว่า ในอนาคตเขานั้นจะเป็นนักวิ่งที่รวดเร็ว จนเขาใช้ทักษะนั้นเพื่อรับทุนการศึกษาทางด้านกีฬาอเมริกันฟุตบอล เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากฉากที่ดูเป็นปาฏิหาริย์ ที่เขาวิ่งหนีกลุ่มเด็กที่มารังแกเขา และ Jenny ก็บอกให้เขาวิ่งหนี เขาเริ่มวิ่งเป็นครั้งแรก และเหล็กดัดขาของเขาก็หลุดออก เป็นนัยยะที่ภาพยนตร์กำลังจะบอกกับเราคนดูว่า ชีวิตของฟอเรสท์น้อยคนนี้ กำลังหลุดออกจากกรงขังทางความคิดที่คนอื่นกำลังตีตราเขา โครงเรื่องอันมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นภายในชั่วโมงแรกของภาพยนตร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่องที่เราไม่อาจคาดเดาได้อีก ในฉากต่อๆ ไปตลอดทั้งเรื่อง
- Forrest Gump เป็นภาพยนตร์ที่หากคุณยังไม่ได้ดู คุณจะแทบคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เราจะได้ติดตาม Forrest ตลอดช่วงชีวิตของเขา และทุกเหตุการณ์มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากที่คาดไว้อย่างสิ้นเชิง กล่องช็อกโกแลตใช้เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เพราะช็อกโกแลตภายในกล่องไม่เหมือนกันทุกครั้ง (ช็อคโกแลตที่ซื้อเป็นของขวัญหรือของฝาก จะมีช็อคโกแลตหลายรูปทรง และหลายรสชาติภายในกล่อง) นี่คือเหตุผลที่หลายคน อย่างน้อยก็แม่ของฟอร์เรสท์ ได้เชื่อมโยงกล่องช็อกโกแลตเข้ากับชีวิต
- Forrest ใช้หลักสำคัญนี้เพื่อแสดงความรักต่อแม่ของเขา แม่ของฟอเรสท์ป่วยหนัก และฟอเรสท์วิ่งไปหาเธอพร้อมดอกไม้ การ์ด และกล่องช็อคโกแลต ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ากล่องช็อกโกแลตไม่ได้เป็นของขวัญราคาแพงก้อนโต แต่แสดงให้แม่ของเขาเห็นว่า เขารักเธอและห่วงใยเธอ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่เธอทำเพื่อเขามาตลอดชีวิต
- ขณะที่ Forrest เล่าเรื่องชีวิตของเขากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ เขาก็ยกคำพูดของแม่ที่ว่า “แม่ผมชอบพูดว่า 'ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลตสักกล่อง เราไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง” เรื่องนี้กล่าวขึ้นก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องราวภายในชีวิตของเขา จนถึงคนสุดท้าย หญิงชราก็ดูจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี เพราะเธอรู้ว่าเขามีประสบการณ์มากมายในชีวิตที่ล้วนแตกต่างกัน คล้ายกับช็อคโกแลตที่พบภายในกล่อง ล้วนทำให้ผู้ที่เปิดกล่องนั้นตื่นเต้น เพราะเขาไม่รู้เลยว่าภายในกล่องที่เขาเปิด เขาจะได้เจอช็อคโกแลตประเภทไหน
- ในภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่องช็อกโกแลตยังสามารถแสดงถึง 'การพบเจอกันอีกครั้ง' ได้อีกด้วย เห็นได้ชัดในฉากที่ Forrest นำดอกไม้และกล่องช็อคโกแลตมาให้ Jenny สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจนนี่ได้หนีออกจากบ้าน และเขาวิ่งมาเป็นเวลาเกือบสามปี ในฉากนี้ เราจะได้เห็นว่าเธออยากจะขอโทษ และพร้อมต้อนรับเขาให้กลับเข้ามาในชีวิตของเธอ การมอบกล่องช็อคโกแลตในฉากนี้แสดงถึงความรักและการให้อภัยของฟอร์เรสท์ต่อเจนนี่ การให้อภัยเป็นนัยยะที่สำคัญมากสำหรับการมอบช็อกโกแลตกล่องนี้ เพราะเจนนี่ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อทิ้งและทำร้ายฟอร์เรสท์ และยังเป็นนัยยะของการต้อนรับเจนนี่กลับเข้ามาในความสัมพันธ์ ฉากนี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฟอร์เรสท์ในภาพยนตร์ และยังตอกย้ำนัยยะของชีวิตที่คาดเดาไม่ได้ เพราะเขาได้รู้จักกับลูกชายของเขา Forrest Jr. ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของเขา เขาตระหนักว่าเขาได้ให้กำเนิดลูกชายด้วยความรักของเขาและเจนนี่ สิ่งนี้ทำให้ฟอร์เรสท์และเจนนี่ตกลงปลงใจแต่งงานกันในที่สุด
- นัยยะของกล่องช็อกโกแลตอีกนัยยะคือ การเป็นตัวแทนในการส่งต่อความสุขให้กับคนอื่นๆ เมื่อคุณได้รับกล่องช็อกโกแลต ไม่ว่าในตอนนั้นคุณจะเศร้าหรือโกรธแค่ไหน มันจะทำให้คุณรู้สึกดีเสมอ กล่องช็อคโกแลตถูกใช้เพื่อทำให้คนที่สำคัญมากๆ ในชีวิต Forrest สองคนนั้นมีความสุข คนแรกคือแม่ แม่ของเขาปลื้มใจที่เห็นลูกชายของเธอถือดอกไม้เต็มมือและกล่องช็อกโกแลตกลับมาหาเธอ เช่นเดียวกับ Jenny ที่เธอได้รับกล่องช็อกโกแลตและดอกไม้ เพราะว่าฟอร์เรสท์ได้กลับมาพบกับเธออีกครั้ง ฟอร์เรสท์เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับคำว่าผู้ชายแสนดี เพราะเขาทำทุกอย่างเท่าที่เขาทำได้เพื่อเอาชนะใจเจนนี่ และเมื่อเธอเขียนจดหมายถึงเขาว่า เธอต้องการจะพบกับเขาอีกครั้ง เขาก็เตรียมกล่องช็อคโกแลตไว้เป็นของขวัญ ซึ่งช็อคโกแลตกล่องนี้ เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เจนนี่ไม่คิดที่จะปฏิเสธ ช็อคโกแลตกล่องนี้จึงถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการพบเจอกันอีกครั้ง ความรักและการให้อภัย
- กล่องช็อกโกแลตอาจจะสามารถสื่อความหมายได้มากมายกว่านี้ในสถานการณ์ต่างๆ ในภาพยนตร์ Forrest Gump เป็นการยากที่จะนิยามความหมายเพียงแค่ 3 ความหมายให้กับสัญลักษณ์อันงดงามนี้ เมื่อคุณเห็นกล่องช็อกโกแลตในหนังเรื่องนี้ มันแสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เห็นว่าผู้คนกลับมารวมกันได้อย่างไร และพวกเขามีความสุขขนาดไหนเมื่อได้รับมัน หลายคนอาจโต้แย้งได้ว่ากล่องช็อกโกแลตไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เป็นเพียงของขวัญทั่วไปที่คนๆ นึงจะมอบให้ใครสักคน ซึ่งพวกเขาก็มีเหตุผลที่เชื่อเช่นนั้น แต่ส่วนตัวผม กล่องช็อกโกแลตเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อาจสามารถกำหนดค่ามันได้ด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำในบทความนี้
.
➡️ The Feather - ชีวิตกับขนนกที่ล่องลอย
- ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยภาพขนนกที่ลอยไปในอากาศ ผ่านตึกราม และใต้ท้องรถ ก่อนจะลอยลงใกล้กับรองเท้าวิ่งอันสกปรกของ Forrest ขณะเขานั่งบนม้านั่งที่ป้ายรถเมล์ และจบลงด้วยภาพของขนนกปลิวไสวเล่นกับสายลม ซึ่งเรามองเห็นภาพบริเวณบ้านของฟอร์เรสท์ ตัดกับภาพสีฟ้าสดของท้องฟ้า ที่มีเสียงดนตรีของ Alan Silvestri เล่นคลอๆ ก่อนภาพจะตัดจบไป
- ขนนกกำลังบอกอะไรกับเรา? ขนนกสามารถทำให้เราตีความได้หลายมุมมอง อาจจะเป็นการอุปมาอุปไมยธรรมชาติของชีวิต ที่มีทั้งขาขึ้นขาลง อาจจะซ่อนนัยยะของโชคชะตาในชีวิต ที่เราควบคุมไม่ได้ มีบางวันที่ดี มีบางวันที่แย่ ในที่สุด มันได้หลอมรวมจนเรากลายเป็นเราในปัจจุบัน ซึ่งในกรณีของ Forrest ขนนกคงมีนัยยะของสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ทั้งหมด อย่างที่เขาเคยพูดไว้หน้าหลุมศพของ Jenny ว่า "I don't know if we each have a destiny, or if we're all just floating around accidental-like on a breeze, but I, I think maybe it's both. Maybe both is happening at the same time. - ไม่รู้ว่าคนเราต้องลิขิตชีวิตมั้ย? หรือว่าแค่ล่องลอยไปตามลม ผมว่ามันน่าจะถูกทั้งคู่ เป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน" นั่นคือวิธีการที่ฟอร์เรสท์ใช้นำทางชีวิตของเขา ซึ่งให้โอกาสอันยิ่งใหญ่แก่เขา และเปลี่ยนสิ่งที่อาจเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่มีข้อบกพร่องทางด้านไอคิวและร่างกายแบบเขา ให้กลายเป็นบุคคลอันน่าจดจำบนหน้าประวัติศาสตร์ที่งดงามและสวยงาม
- ในฉากที่ Forrest ไปเคารพศพของ Jenny เขาได้พูดประโยคที่กล่าวถึงแล้วในข้างต้น ประโยคนั้นเป็นคำพูดที่อธิบายนิยามของขนนกได้เป็นอย่างดี เขาเปรียบขนนกกับชีวิต ชีวิตที่ปล่อยล่องลอยไปตามโชคชะตา กับชีวิตที่เราลิขิตเส้นทางเอง จะสังเกตในฉากเปิดของภาพยนตร์ ที่แสดงภาพขนนกที่เคลื่อนตัวไปในอากาศตามแรงลม และตกลงที่ปลายเท้าของฟอร์เรสท์ ขนนกเส้นนี้เปรียบเสมือนชีวิตที่เราลิขิตเส้นทางเอง จะสังเกตได้จากระหว่างทางที่ขนนกล่องลอยไป มันได้ผ่านสิ่งก่อสร้างมากมาย ผ่านคนหลายคน ได้รอดใต้รถ แต่มันยังคง (พยายาม) ลอยมาตกที่ปลายเท้าของฟอร์เรสท์ เปรียบเสมือนการตัดสินใจของเขา ที่เริ่มต้นจะทำอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่การวิ่ง การเข้ากรมไปรับใช้ชาติที่เวียดนาม การทำประมงจับกุ้งตามคำสัญญาของเพื่อนรัก รวมไปถึงการตามหาเจนนี่ในภารกิจสุดท้ายของเขา ซึ่งผลที่ตามมาจากทุกๆเหตุการณ์ เราทุกคนล้วนรู้ว่ามีแต่เรื่องมหัศจรรย์
- เราเห็นขนนกอีกครั้งในฉากจบของภาพยนตร์ ขนนกเส้นนี้คือเส้นเดียวกับขนนกในฉากเปิดเรื่อง ที่ Forrest ได้เก็บขนนกเส้นนี้ไว้ในหนังสือเล่มโปรดของเขา ขนนกเส้นนี้เปรียบเสมือนการที่เขาได้ปล่อยให้โชคชะตานำพาชีวิตเขา โดยที่เขาไม่รู้ว่าในอนาคต เขาจะพบเจอกับอะไร เขาเริ่มวิ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะวิ่งไปได้ไกลมากแค่ไหน เขาสมัครทหาร โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขาจะพบเจอความยากลำบากอะไร เขาเริ่มธุรกิจจับกุ้ง โดยที่เขาไม่รู้ว่าจะจับกุ้งได้กี่ตัว และเขาตามหา Jenny โดยที่ไม่รู้ว่าในครั้งนี้ เจนนี่จะปฏิเสธเขาเหมือนอย่างที่เคยหรือเปล่า เขาตอบรับกับทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต และให้โชคชะตานำพาเขาไปในเส้นทางที่พระเจ้าสักองค์จะนำพาชะตาของเขาไปได้ ซึ่งในจุดจบของทุกโอกาสที่เขาได้ทำ อย่างที่เรารู้ มันล้วนออกมาดีเกินคาดทั้งหมด เขาวิ่งจนได้เป็นนักอเมริกันฟุตบอลของมหาลัย เขาวิ่งจากตะวันออกไปสุดขอบตะวันตก จากตะวันตกไปสุดขอบตะวันออก จนมีคนวิ่งติดตามเพราะคิดว่าพวกเขาคงจะได้ความหมายอะไรของชีวิตสักข้อ เขาไปสงครามเวียดนามจนได้พบมิตรภาพที่ดีอย่าง Lt. Dan และ Bubba ไม่รวมถึงเหรียญกล้าหาญและเป็นนักกีฬาปิงปองทีมชาติ เขาออกเรือไปจับกุ้งจนกลายเป็นมหาเศรษฐี และเขาออกตามหาเจนนี่ จนเขาได้พบว่า นอกจากเขาจะได้รับรักจากเธอแล้ว เธอและเขายังมีลูกด้วยกันอีกคนด้วย บางทีโชคชะตาจะนำพาให้ฟอร์เรสท์ไปในทิศทางขนาดนี้ไม่ได้ หากตัวเขาไม่ได้พยายามถึงที่สุด จากทุกเหตุการณ์เราจะเห็นได้อย่างหนึ่ง คือเขาไม่เคยบ่นเหนื่อยหรือยอมแพ้ให้กับอุปสรรคสักครั้งเลย
- ในฉากสุดท้าย Forrest ได้รอส่งลูกของเขาขึ้นรถโรงเรียน ลูกชายแสดงหนังสือเล่มโปรด ที่เขาอยากจะนำไปเล่าให้กับเพื่อนร่วมห้องฟัง ฟอร์เรสท์เห็นหนังสือดังกล่าว ก็เปิดอ่านและบอกกับลูกชาย ว่านี่ก็เป็นหนังสือเล่มโปรดของเขาเช่นกัน ระหว่างนั้นขนนกที่คั่นอยู่ในหนังสือก็ตกลงมา พอรถโรงเรียนมารับ ฟอร์เรสท์บอกลาลูกชาย และกำลังพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ชะงักไป ในบางทีตอนนั้น ฟอร์เรสท์อาจจะตระหนักได้ว่า เขาควรปล่อยลูกไปเผชิญชีวิตในรั้วโรงเรียนตามที่โชคชะตาจะนำพาลูกเขาให้ประสบกับอะไร เหมือนชีวิตเขาที่ตอนนี้ ที่เขาได้ปล่อยให้โชคชะตานำพาชีวิตเขาไปแล้ว เพราะว่าเขาได้ค้นพบเป้าหมายสุดท้าย นั่นคือลูกชายของเขา ซึ่งคือสิ่งที่เกิดจากความรักของเขาและ Jenny ชีวิตเขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เขาไม่ต้องลิขิตเส้นทางชีวิตของตัวเองอีกแล้ว รถโรงเรียนเคลื่อนตัวออกไป ขนนกเมื่อกระทบกับแรงลม ก็ลอยปลิวไสวขึ้นบนท้องฟ้า และดูเหมือนว่า มันจะล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าขนนกเส้นนี้จะลอยเคว้งไปไกลถึงไหน
.
➡️ Epilogue : บทส่งท้าย
- กล่องช็อคโกแลตและขนนก คือบทเรียนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ทิ้งไว้ เพื่อใช้เตือนใจเราเรื่องชีวิต กล่องช็อคโกแลตคือสิ่งที่เราโดนกำหนดมา ด้วยร่างกายนี้ จิตวิญญานนี้ ในสภาพครอบครัวแบบนี้ ในฐานะครอบครัวแบบนี้ และขนนกคือสิ่งที่เราโดนกำหนดในช่วงชีวิตที่เหลือ อาจจะโดนกำหนดจากโชคชะตาหรือโดนกำหนดโดยตัวเราเอง บางทีชีวิตอาจจะไม่ยุติธรรม อย่าง Forrest ที่เกิดมามีไอคิวต่ำและต้องดัดขา แต่เขาได้ใช้ชีวิตด้วยการกระทำ (ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเกิดจากคำสั่ง) อันไร้เดียงสาของเขา เขาเพียงแค่ทำและทำ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเขาไม่เคยยอมแพ้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องปาฏิหารย์ที่ดูจะเกิดขึ้นได้แค่ในภาพยนตร์ แต่ฟอร์เรสท์ได้สอนกับทุกคนแล้วว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาด้วยสภาพที่แตกต่างกัน และทุกคนมีความพิเศษเฉพาะตัว ที่เราจะนำความสามารถนั้นบวกกับความพยายาม มาใช้ผลักดันชีวิตเราให้ลอยปลิวไปให้ไกลที่สุด บางครั้งอาจจะต้องพึ่งโชคชะตา แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ ความสำเร็จนั้นมันเกิดขึ้นเพราะน้ำพักน้ำแรงของเรานี่แหละ
- บทความนี้ หยิบประเด็นภายในภาพยนตร์มาวิเคราะห์และตีความเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งเท่านั้น มีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากจะหยิบมาเล่า มาตีความ ให้ผู้อ่านได้รู้อย่างกระจ่าง ซึ่งผมจะหยิบมาเขียนในโอกาสต่อๆไป สุดท้ายนี้ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ และฝากติดตามผลงานของผมในอนาคตด้วยนะครับ ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in