เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหนึ่งคืน | OnenightCinemaOnenightz.
The Sixth Sense : I SEE DEAD PEOPLE
  • The Sixth Sense (1999) ???
    Director : M. Night Shyamalan
    Genres : Drama ,Mystery ,Thriller
    My Score : 9.0 / 10
    [ภาพยนตร์มีความยาว 1 ชั่วโมง 47 นาที ตอนนี้มีให้รับชมใน Disney+]
    .
    ➡️ Prologue : บทเกริ่น

    - M. Night Shyamalan ผู้กำกับมากฝีมือ ได้รังสรรค์ภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมหลายคนประหลาดใจ นอกจากจะดำเนินเรื่องโดยการเชื่อมโยงกับเรื่องราวอย่าง การกลัวความตาย และความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปที่สามารถเห็นได้ในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ แต่เขาได้บอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างไปกว่านั้น โดยดำเนินเรื่องราวสุดสะเทือนอารมณ์ที่โยงเข้ากับความสยองขวัญได้อย่างแยบยล จึงทำให้ The Sixth Sense ให้บรรยากาศที่ทำให้คุณนั่งไม่ติดเก้าอี้ และจบลงด้วยข้อคิดที่จับใจ
    - ส่วนสำคัญ ที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในภาพยนตร์ The Sixth Sense คือเนื้อเรื่องสุดหักมุมในตอนท้ายของเรื่อง ชยามาลานทิ้งเบาะแสไว้มากมายระหว่างการดำเนินเรื่อง เมื่อคนดูติดตามเรื่องราว และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน ฉากสุดท้ายที่เฉลยปมทุกอย่าง จึงเป็นฉากที่ทรงพลัง และน่าจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
    - เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน ผมจึงได้นำภาพยนตร์สยองขวัญแต่ซ่อนเนื้อหาฟีลกู๊ดเรื่องนี้มาพูดถึง ซึ่งในบทความ เราจะเน้นเจาะลึกลงไปในเนื้อเรื่องภายในภาพยนตร์ จะนำพาเราย้อนกลับไปทบทวนเนื้อหาเพื่อค้นหาคำตอบว่า ทำไมภาพยนตร์เหนือธรรมชาติเรื่องนี้จึงมีคนพูดถึงมากมายจวบจนทุกวันนี้

    ⛔ ภายในบทความจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ ซึ่งส่งผลกับอรรถรสในการรับชมอย่างมาก ใครที่ยังไม่ได้ดู สามารถหาชมได้ที่ Disney +
    .

    ➡️ The Social Sense : สัมผัสบริบทสังคม

    - The Sixth Sense วางเนื้อเรื่องไว้ในยุคปัจจุบัน โดยนำเสนอประเด็นร่วมสมัย เช่น การกลั่นแกล้ง (Bullying) หรือการหย่าร้าง (Divorce) แม้ว่าในปัจจุบัน เราจะคุ้นเคยเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้มากขึ้นเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในยุค 90s นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่
    - อย่าลืมว่า "การหย่าร้าง" นั้นไม่ถูกกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงหลายรัฐในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 ดังนั้นเด็กหลายคนที่เติบโตขึ้นมาในยุค 90 จึงมีประสบการณ์การหย่าร้าง หรือมีเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้
    - แม้ว่าการหย่าร้างจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้วในสมัยนี้ แต่เมื่อ The Sixth Sense ออกฉาย คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีความเข้าใจว่าการหย่าร้างจะส่งผลอย่างไรต่อเด็ก และในสื่อต่างๆในสมัยนั้น ก็ไม่มีตัวอย่างเกี่ยวกับโครงสร้างครอบครัวรูปแบบใหม่
    - ในภาพยนตร์ แรงผลักดันสำคัญเบื้องหลังประเด็นการแยกทางและการหย่าร้างคือตัวละคร Dr. Malcolm Crowe ซึ่งภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่า เขาให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว เขากลัวว่าวันหนึ่ง เขาจะสูญเสียภรรยาไปเพราะเขาใช้เวลากับงานมากเกินไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากลัวจริงๆ คือความตาย แต่เขาปฏิเสธเพื่อหลอกตัวเอง
    - ภาพยนตร์ได้นำเสนอชีวิตของอีกครอบครัว Cole เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับแม่ ซึ่งครอบครัวนี้เพิ่งสูญเสียเสาหลักสำคัญอย่างพ่อไปหมาดๆ เราได้เห็นปัญหาภายในครอบครัว และการดิ้นรนของผู้เป็นแม่ และได้ซึมซับว่า สิ่งนี้ส่งผลต่อชีวิตของเด็กชายคนนี้ที่โรงเรียนอย่างไร แม่ของโคลพยายามช่วยลูกชายของเธออย่างสุดความสามารถ ทั้งปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาจากที่โรงเรียน และปัญหาของลูกชายที่เธอเองก็อธิบายออกมาไม่ได้
    - Cole ถูกเพื่อนรังแกที่โรงเรียน เขาเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่ได้ รวมถึงโดนล้อเลียนจากพฤติกรรมประหลาดของเขาที่ทำไว้ขณะอยู่ในโรงเรียน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากอาการผิดปกติที่เขาสัมผัสถึง แต่ตัวเขาไม่สามารถอธิบายกับคนรอบข้างได้ เราจะเห็นความสัมพันธ์ของโคลกับเพื่อนร่วมชั้น และความสัมพันธ์ของแม่ของเขากับแม่คนอื่นๆ ซึ่งจุดกำเนิดของทุกอย่าง ดูเหมือนจะชี้ไปที่ปัญหาภายในครอบครัว
    - ปัญหาการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียนสมัยนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับในสมัยก่อน ทุกวันนี้ โรงเรียนและครอบครัวตระหนักเป็นอย่างดีถึงปัญหาของการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน ซึ่งทำให้สถาบันครอบครัวและโรงเรียน พร้อมที่จะรับมือกับมันมากขึ้น แต่ในภาพยนตร์ The Sixth Sense ปัญหาการกลั่นแกล้งยังคงเป็นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม ในทำนองเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ในสมัยนั้น พ่อแม่จะไม่พาลูกของเขาเข้ารับคำปรึกษากับจิตแพทย์
    - ดังนั้น การรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านเลนส์ที่มีมุมมองสมัยใหม่ จะทำให้เราเห็นความขัดแย้งที่ทำให้ตัวละครตกอยู่ในปัญหาต่างๆได้ชัดขึ้น ซึ่งทำให้หลายคนที่รับชมมีอารมณ์ร่วมกับเนื้อเรื่อง และเข้าถึงปัญหาต่างๆที่ Cole กำลังเผชิญ รวมถึงเรื่องที่เขาเข้าไปพัวพันกับโลกหลังความตาย ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง ความเกี่ยวข้องของเขากับชีวิตหลังความตายนี้ จะทำให้ตัวละครได้เรียนรู้คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญและจดจำเรื่องราวของคนที่พวกเขารัก และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางในที่สุด
    .
    ➡️ The Scarlet Sense : สัมผัสสีแดงฉาน

    - ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการใช้สีที่ค่อนข้างนิ่งเงียบ ไม่ค่อยมีการใช้สีสันที่ฉูดฉาดสักเท่าไหร่ จึงอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นสีแดง ซึ่งโดดเด่นทุกครั้งที่มีแม่สีโผล่ขึ้นมาในฉาก และเห็นได้ชัดว่าสีแดงนี้ น่าจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกนัยยะอะไรบางอย่าง
    - ในฉากแรกที่สังเกตเห็น Cole สวมเสื้อกันหนาวแขนยาวสีแดงในงานปาร์ตี้ และปรากฏลูกโป่งสีแดงลอยขึ้นไปยังชั้นบนสุดของบ้าน สัญลักษณ์ทั้งสอง นำพาโคลไปพบกับวิญญาณที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หลังประตูในชั้นบนสุดของบ้าน หากตีความ อาจจะกล่าวได้ว่าภาพของลูกโป่งที่ลอยผ่านศูนย์กลางของบันไดเวียนขึ้นไปยังแสงของโคมไฟที่อยู่ในชั้นบนสุดนั้น เป็นตัวแทนของวิญญาณที่ล่องลอยเข้าหาพระเจ้า โดยมีบันไดวนที่แสดงถึงการเดินทางของชีวิต ความจริงที่ว่าโคลสวมชุดกันหนาวแขนยาวสีแดง อาจเป็นสัญลักษณ์ของสถานการณ์ที่เขากำลังสัมผัสกับวิญญาน ณ จุดนี้ เขาไร้เดียงสาและดูลังเล โดนดึงดูดด้วยเสียงสะอื้น สีแดงเป็นสีแห่งโลกแห่งวิญญาณในศาสนาคริสต์ (The Colour of The Holy Spirit) ดังนั้นการสวมใส่ชุดนึ้ ทำให้โคลดึงดูดวิญญาณเข้าหาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ในตอนท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ โคลเลือกที่จะสวมชุดที่มีสีดูอึมครึม ซึ่งเป็นวิธีที่ฉลาด เขายอมรับสัมผัสพิเศษนี้ แต่ก็ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น แสดงให้เห็นว่าในท้ายที่สุด เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญได้ดีขึ้น
    - ในส่วนต่อมา จะพูดถึงตัวละคร Anna เราจะเห็นได้ว่า เธอจะสวมชุดสีแดงอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่การจากไปของสามีของเธอ Malcolm เฉดสีต่างๆ ของชุดที่เธอสวม (ส่วนใหญ่จะออกสีแดง) มีความสัมพันธ์กับสภาพจิตใจของเธอ และความรู้สึกที่เธอมี (หรือความทรงจำ) ต่อมัลคอล์ม เมื่อเธอมอบหนังสือให้กับคนรักคนใหม่ของเธอ สีแดงนั้นดูหม่นหมองลง และเกือบจะออกเป็นสีน้ำตาล บ่งบอกว่าเธอกำลังปล่อยวางความทรงจำของเธอ และต้องการจะเดินหน้าต่อ ชุดสีแดงที่เธอสวมใส่ในหลายๆฉากไม่ค่อยฉูดฉาดมากนัก ยกเว้นฉากเดียวคือ ในมื้อค่ำวันครบรอบของเธอและสามี เธอสวมชุดสีแดงสด และสีแดงในฉากนี้ ดูจะเหมือนของยาแก้ซึมเศร้าของเธอ เท่าที่สังเกต จะเห็นว่าเธอดูมีความสุขมากขึ้น แม้ออกจะฝืนไปหน่อยก็ตาม ซึ่งในฉากนี้ น่าจะเป็นฉากเดียวที่มัลคอล์มเผชิญหน้า และพูดคุยกับเธอในขณะที่เธอกำลังตื่น ซึ่งปกติแล้ว เราจะเห็นเขามีปฏิสัมพันธ์กับเธออยู่ห่างๆ ตั้งแต่วันที่เขาถูกยิง เขาคิดว่าเขาและเธอดูมีระยะห่าง เธอดูจะเฉยชาต่อเขา ดังนั้นมัลคอล์มจึงตอบสนองต่อสิ่งนี้ด้วยพฤติกรรมเชิงลบ นอกจากนี้ เม็ดยาที่เธอทานเป็นประจำก็มีสีแดง อาจจะเป็นนัยยะที่สื่อถึงการที่เธอต้องกล้ำกลืนความเศร้าจากการตายของสามีของเธอในทุกๅวัน แอนนายังสวมผ้าคลุมไหล่สีแดงทุกครั้งที่มัลคอล์มนั่งข้างๆเธอขณะหลับ และสีแดงในฉากนี้ ก็ดูเป็นสีแดงที่ดูอบอุ่นกว่าสีแดงที่ปรากฏในฉากอื่นๆ
    - หลังจากที่ Cole เริ่มยอมรับสัมผัสพิเศษของเขาแล้ว ได้มีวิญญานเด็กผู้หญิงตนหนึ่ง เธอชื่อว่า Kyra มาขอความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งเขาก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือ ภายในฉากงานศพของเด็กสาว เราจะเห็นการ์ดที่มีข้อความ "Kyra’s get well soon" วางอยู่ในห้องของเธอ ซึ่งการ์ดส่วนใหญ่จะมีสีแดง ซึ่งเป็นนัยยะที่คาดเดาชะตากรรมของเธอได้ ภายในงาน แม่ของเธอสวมสูทสีแดงโดดเด่นพร้อมลิปสติกสีแดง มีดอกกุหลาบสีแดง และกล่องที่ห่อด้วยริบบิ้นกำมะหยี่สีแดง ซึ่งเป็นจุดสังเกตได้ทันที ว่าเธอมีพิรุธ ฉากนี้ไม่ต้องใช้การตีความมากมาย ก็เข้าใจได้ง่าย เพราะโดยปกติ ก็คงไม่มีใครใส่ชุดสีฉูดฉาดขนาดนี้ในพิธีกรรมอันชวนเศร้าหมองหรอก ?  ซึ่งเนื้อเรื่องช่วงนี้ จะแสดงให้เห็นว่าแม่ของเธอนั้นวางยาเธอ และหลอกคนในครอบครัวเธอ โดยหวังผลประโยชน์บางอย่าง ซึ่งฉากนี้สามารถตีความได้ประมาณว่า คนที่มีเลือดเนื้อร่างกาย ก็สามารถ "หลอกลวง" ได้น่ากลัวพอๆกับวิญญานที่ไม่มีตัวตน โดยใช้สีแดงเป็นนัยยะที่โยงการหลอก (ลวง) ของเธอกับการหลอกของวิญญานเข้าไว้ด้วยกัน
    - นอกจากนี้ยังมีการใช้สีแดงในบริบทอื่นๆอีกในหลายๆฉาก เช่น ลูกบิดประตูสีแดงในห้องใต้ดิน ปากกาสีแดงที่ Cole ใช้เขียนบรรยายคำพูดของวิญญานที่เขาได้ยิน ชุดสีแดงของผู้หญิงที่ถูกแขวนคอ หมวกสีแดงของนักปั่นผู้หญิงที่เสียชีวิตในช่วงตอนท้ายของภาพยนตร์ รวมถึงการปรากฏตัวในแต่ละครั้งของ Malcolm จะสังเกตได้ว่า สัญญานไฟจราจรภายในฉากจะเป็นสีแดงเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้ นอกจากเป็นการใบ้ว่ากำลังมีวิญญานปรากฏในฉากนั้นๆแล้ว ยังเป็นการเชื่อมโยงอย่างตรงไปตรงมาของโลกแห่งวิญญาณที่มีอิทธิพลต่อโลกความจริงอีกด้วย
    - ดังนั้น สีแดงจึงเป็นทั้งสีที่สื่อถึงอันตรายและวิญญาน รวมถึงการสื่อถึงความปลอดภัยและที่หลบภัย กุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจความขัดแย้งของนัยยะนี้ ต้องมองลึกลงไปในความหมายของสีที่ซ่อนอยู่ในประเด็นทางศาสนา ความเกี่ยวข้องของศาสนากับตัวละคร Cole เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย โดยเขามองว่าคริสตจักรเป็นสถานที่หลบภัยจากวิญญาณที่หลอกหลอนเขา แต่ถึงอย่างนั้น เต็นท์ในบ้าน เป็นสถานที่หลบภัยจากวิญญานที่เขาสร้างเอง ภายในเต็มไปด้วยรูปปั้นของพระแม่มารี แต่เขาก็ยังใช้สีแดงในการเอามาเป็นหลังคา ซึ่งเป็นสีที่ดึงดูดวิญญาณได้มากที่สุด โคลต้องการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังความคิดเชิงบวกของศาสนาคริสต์ และเพิกเฉยต่ออำนาจมืด ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ การหลอกหลอนนี้จะไม่จบจนกว่าเขาจะยอมรับสถานการณ์ และเรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน (เขาต้องช่วยให้วิญญานหมดทุกข์ แทนที่จะปฏิเสธการมีอยู่ของพวกเขา) ในฉากสุดท้ายของเขาภายในโบสถ์ เราจะเห็นเขายืนอยู่หน้าหน้าต่างกระจกสีสดใส โดยมีสีเหลืองและสีชมพู แต่ไม่มีสีแดง เขาได้เรียนรู้ความสมดุลของชีวิตแล้ว จากที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าสีแดงเป็นสีที่มีความหมายเชิงลบไปซะหมด สีแดงยังคงเป็นตัวแทนของสิ่งดีๆในชีวิตของโคล แต่หากมากเกินไปและเขาไม่สามารถควบคุมได้ มันย่อมส่งผลลบกับเขาอย่างแน่นอน
    - ในช่วงท้ายของภาพยนตร์ Cole ได้แสดงละครเวทีในชื่อเรื่อง “The Sword in the Stone” เขาได้รับบทเป็น Arthur เมื่อเขาดึงดาบออกจากหิน จะสังเกตได้ว่าจะมีทับทิมสีแดงเข้มติดอยู่ในตัวดาบ การปลดปล่อยดาบ และสีของอัญมณี เป็นการแทนความหมายของความสามารถใหม่ของโคล ในการควบคุมสัมผัสพิเศษของเขา สีแดง (เป็นตัวแทนของโลกของวิญญาณและความศรัทธา) จะยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเขา เขาจะสามารถควบคุมและรับมือกับมันได้ (แม้จะเป็นความสามารถที่เขาไม่ค่อยอยากได้สักเท่าไหร่ ?) เช่นเดียวกับบทละคร ที่อาร์เธอร์เป็นคนเดียวที่สามารถดึงดาบออกจากหินได้ ทับทิมเม็ดแดงที่ติดในตัวดาบ คือจุดเปลี่ยนของนัยยะที่มีต่อสีแดงในภาพยนตร์หลังจากนั้น มันไม่ได้ทำร้ายโคล หรือทำให้เขาหวาดกลัว สีแดงไม่ได้มีนัยยะที่บ้าคลั่งอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เขายอมรับและอยู่กับตัวเขานับแต่นั้น
    - ทางเลือกหนึ่งสำหรับ Cole เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี คือ การหันไปหาแม่ ถึงอย่างนั้น ตลอดทั้งเรื่อง เธอก็ดูเหมือนไม่เข้าใจหรือไม่ต้องการจะเชื่อในสิ่งที่เขาเป็น และความไม่รู้ของเธอต่อปัญหาของเขานั้น อาจจะเกิดจากการที่เธอไม่มีสีแดงบนตัวเลย สีแดงที่สังเกตเห็น คือสีแดงบนเล็บของเธอ ซึ่งเธอจะเอามือกุมหัว เวลาเจอปัญหาที่เธอรับมือไม่ได้ ดังนั้นสีแดงบนเล็บของแม่ จึงมีนัยยะถึงปัญหาที่เธอไม่มีทางเข้าใจได้ ซึ่งไม่ว่าจะเกิดปัญหาสักกี่ครั้ง และโคลได้รับความปรารถนาดีจากแม่ด้วยการโอบกอดอีกกี่ที แต่นั่นก็ไม่ได้เติมเต็มช่องว่างใดๆเลย เพราะการกอดนั้น ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจในตัวเขา แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญของแม่ คือเธอจะคอยอยู่ข้างลูกชายของเธอมาตลอด เธอคอยรับฟังเรื่องราวของโคล เพื่อที่จะเป็นพื้นที่แห่งความปลอดภัยและความสุขสำหรับเขาอยู่เสมอ ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินความลับของเขาในรถในช่วงสุดท้ายของภาพยนตร์ เราจะเห็นได้ว่า ฉากนี้เธอได้สวมชุดสีแดง ซึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะว่าเราไม่เคยเห็นเธอสวมชุดสีนี้เลยตลอดทั้งเรื่อง วิธีจัดการกับปัญหาของโคลในฉากนี้ คือการรับฟังและพยายามเข้าใจในสิ่งที่ลูกชายเขากำลังจะบอก ต่างจากก่อนหน้านั้น ที่เธอได้ปล่อยให้ลูกชายวิ่งไปที่โบสถ์ หรือเต็นท์ของเขา ตอนนี้เธอได้รับความอบอุ่นที่เธอควรมีในฐานะแม่ และเป็นที่พึ่งแห่งใหม่สำหรับเขาโดยสมบูรณ์แล้ว
    .

    ➡️ The Sixth Sense : สัมผัสพิศวง

    - ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอาจจะดูน่ากลัวสำหรับใครหลายคน แต่แท้จริงแล้วเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้เพื่อตอบสนองต่อความปรารถนาบางอย่าง แนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายมีความสำคัญต่อหลายศาสนา อย่างเช่นความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์หรือการกลับชาติมาเกิด แนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายทำให้การบอกลาดูง่ายขึ้น เพราะว่าเรายังคงมีความหวังที่จะได้กลับมาพบกับคนที่คุณรักในอีกสักครั้ง
    - ภาพยนตร์และวรรณกรรมหลายๆเรื่อง มักจะนำเสนอแนวคิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตาย ที่มีทั้งความลึกลับ ความสยองขวัญและมีบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ ผู้คนจึงมักจะกลัวเรื่องราวของวิญญานที่ชวนขวัญผวา อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์และวรรณกรรมเหล่านี้ ล้วนนำเสนอจุดจบในแบบฉบับของพวกเขาเอง
    - ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะได้เห็นสัมผัสพิเศษของ Cole จากหลายๆเหตุการณ์ จนการปรากฏตัวของ Malcolm นักจิตวิทยาบำบัด ซึ่งมาช่วยเขาแก้ปัญหาที่อึดอัดใจนี้ เมื่อเรื่องราวผ่านไป โคลได้เปิดเผยความลับของเขาต่อมัลคอล์ม โดยทิ้งหนึ่งคำพูดในวงการภาพยนตร์ที่เป็นที่จดจำตลอดกาล "I see dead people - ผมเห็นวิญญานคนตาย" อย่างที่โคลบอก เขามองเห็นวิญญานอยู่ทุกหนทุกแห่ง และยังสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อีกด้วย วิญญานเหล่านี้ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว และพวกเขาก็มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน พวกเขาจึงเห็นแต่สิ่งที่พวกเขาอยากจะเห็น ซึ่งสามารถบอกได้ว่า มีวิญญานบางตนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว นอกจากนี้ หากวิญญานเหล่านี้โกรธหรืออารมณ์ไม่ดี อุณหภูมิโดยรอบจะลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านของโคลนั้นหนาวอยู่เสมอ
    - ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในท้ายที่สุด Cole ได้ยอมรับและเผชิญหน้ากับความกลัวของเขา และพบว่าภารกิจในชีวิตของเขา คือการใช้สัมผัสพิเศษของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เขาช่วยให้วิญญานพบกับความสงบสุขและไปสู่สุขคติ เรื่องราวภายในภาพยนตร์กำลังเล่นกับภาวะอารมณ์ของเรา ภาพยนตร์ใช้ความเจ็บปวดและความตึงเครียดของตัวละคร เพื่อเชื่อมโยงเรากับอารมณ์ที่เก็บช่อนไว้ลึกที่สุด เราทุกคนล้วนกลัวความตาย เราทุกคนล้วนคร่ำครวญถึงการสูญเสียคนที่เรารัก และเราทุกคนกลัวล้วนอะไรบางอย่าง ชีวิตของเราคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคที่เราต้องเผชิญ และต้องเอาชนะ เช่นเดียวกับตัวละครในภาพยนตร์
    - The Sixth Sense ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ โดยแทรกความระทึกขวัญไว้อย่างกระจัดกระจายไปตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ซึ่งต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่น คือสุดท้ายแล้ว เรื่องราวของโลกหลังความตาย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด เพียงแค่เรามีความกล้าที่มากพอที่เผชิญหน้ากับมัน
    .
    ➡️ The Twist Sense : สัมผัสหักมุม

    - น่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่หักมุมที่สุดในวงการภาพยนตร์สยองขวัญ การเฉลยความจริง ถูกเริ่มต้นด้วยฉากภายในบ้านของ Malcolm และ Anna แอนนากำลังหลับใหลอยู่บนโซฟาหน้าทีวี เมื่อมัลคอล์มกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นเธอผล็อยหลับระหว่างที่เธอนั่งดูวิดีโอในวันแต่งงานของพวกเขา มัลคอล์มมาที่บ้านตามคำแนะนำของ Cole เพื่อที่จะคุยกับแอนนา ระหว่างที่เธอหลับ เขาพรรณาความในใจ และเธอก็ละเมอตอบว่า "Why did you leave me? - ทำไมทิ้งฉันไป?" ไม่กี่อึดใจ มัลคอม์มก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงมาจากมือของเธอ เขามองไปที่พื้น เห็นแหวนวงหนึ่งกลิ้งลุนๆมา ก่อนที่จะหยุดใกล้ๆตัวเขา
    - นั่นคือแหวนแต่งงาน Malcolm เห็นว่า Anna ยังคงสวมแหวนของพวกเขาอยู่เสมอ และทันใดนั้น เขาก็พบว่าแหวนแต่งงานของเขานั้นหายไป เขาคิดว่าเขาใส่มันมาตลอด แต่ไม่เลย แหวนของเขาอยู่ที่แอนนามาเสมอ และในที่สุด จิ๊กซอว์ทุกอย่างก็ลงตัว
    - Malcolm เริ่มมีอาการตื่นตระหนก เขาจำคำพูดหนึ่งของ Cole ได้ มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญานที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว และเรื่องที่พวกเขานั้นจะเห็นเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น และตอนนี้ เขาก็รู้ความจริงแล้ว ในทันใด... เขาพบว่ามีรอยเปื้อนเลือดขนาดใหญ่บนเสื้อของเขา เนื่องมาจากกระสุนของ Vincent ผู้ป่วยของเขาที่บุกเข้ามาในบ้านของเขาในช่วงต้นเรื่อง  เมื่อมัลคอล์มตื่นตระหนก อุณหภูมิภายในห้องก็เย็นลง และลมหายใจของแอนนาก็มีไอเย็นออกมา ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นว่าแอนนากระทำต่อเขานั้น ก็ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น เธอไม่ได้เฉยชาต่อมัลคอล์มเลย แต่เขานั่นแหละที่ตายไปแล้วตั้งแต่แรก
    - ทำไม Malcolm ถึงไม่ยอมปล่อยวางและยังหลอกตัวเองมาถึงตอนนี้? สาเหตุสำคัญนั้น น่าจะเกิดขึ้นเพราะเขาถูกหลอกหลอนโดยสองสิ่ง อย่างแรกคือความล้มเหลวของ Vincent ที่เขาไม่สามารถช่วยผู้ป่วยคนนี้ในการแก้ปัญหาชีวิตได้ เขาต้องการช่วยเหลือใครสักคน เพื่อที่จะเป็นการไถ่บาปในความผิดพลาดนี้ และอย่างที่สองคือ เขารู้สึกผิดที่ทำให้ Anna ภรรยาของเขารู้สึกว่า ตัวเธอนั้นมีความสำคัญน้อยกว่างานของเขา ในตอนนี้เขาช่วย Cole ได้แล้ว เขาได้ปลดเปลื้องเรื่องการช่วยผู้ป่วยที่เขากังวลได้ข้อหนึ่ง  และหลังจากที่เขายอมรับว่าตัวเขาได้ตายแล้ว มัลคอล์มก็นั่งข้างภรรยาที่กำลังหลับไหล และบอกกับเธอว่า "You were never second. Ever. I love you. - คุณไม่เคยเป็นรองใครเลย ไม่เคย ผมรักคุณ"  แม้ว่าเธอจะสลบไสลอยู่ แต่แอนนาก็ได้รับข้อความที่จริงใจของสามีแล้ว และนั่นทำให้มัลคอล์มมีความสบายใจและหมดห่วง จนในที่สุด ตัวเขาก็จางหายไปสู่ภพภูมิหลังความตาย
    .

    ➡️ Epillogue : บทส่งท้าย

    - ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย และความสูญเสีย แต่เหนือสิ่งอื่นใด The Sixth Sense ยังคงเป็นเรื่องราวของมิตรภาพและความรัก มิตรภาพระหว่างตัวละคร Cole และนักจิตวิทยาของเขา Malcolm ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นทั้งสองได้ช่วยเหลือและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งในท้ายที่สุด มัลคอล์มก็ได้ค้นพบหนทางสู่สุขคติ และโคลเองก็ได้พบชีวิตอันสงบสุขของเขา
    - ตอนจบอันสุดหักมุม ที่ได้สร้างความประทับใจแก่คนดู และให้ความหวังกับตัวละคร แม้ตัวละครภายในเรื่องจะอยู่คนละภพภูมิก็ตาม แต่ตัวละครก็ได้เชื่อมโยงกันและกัน เพื่อคลี่คลายปัญหาที่ตัวเองนั้นกำลังประสบ ไม่ว่าจะในความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย นักจิตวิทยาและผู้ป่วยของเขา รวมถึงชีวิตของสามีและภรรยา ตัวละครในเรื่อง The Sixth Sense ได้เอาชนะความเจ็บปวดและอุปสรรคด้วยการพูดถึงปัญหาของพวกเขา และได้เรียนรู้ที่จะยอมรับและเข้าใจคนที่พวกเขารัก รวมถึงได้เรียนรู้ที่จะยอมรับและเข้าใจตัวเอง ซึ่งนั้นเป็นบทเรียนที่เป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับชีวิตของคนที่ได้รับชม
    - แม้เวลาจะผ่านมาร่วมเกือบ 30 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวสุดหักมุมในตอนจบ หรือจะเป็นเรื่องราวสุดประทับใจของแต่ละตัวละคร แต่ M. Night Shyamalan ได้ให้ของขวัญเป็นหนังสยองขวัญที่มีเรื่องราวอันงดงามเรื่องนี้แก่ผู้ชมไว้แล้ว

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in