เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Nothing but warehouse of fictioncashmerenoooose
Things we lost in fire [JohnnyJude]
  • Title: Things we lost in fire

    Pairing: Johnny Depp/ Jude Law

    WWII AU

    Note: อาจมีความไม่สมจริงบางส่วนที่ส่งผลต่อความเข้าใจในประวัติศาสตร์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    Tag: #cashmerefiction










    สุดท้ายแล้วเราหลงเหลือสิ่งใดท่ามกลางกองไฟที่มอดดับ




    .




    .




    .





    จอห์นนี่ชะงักฝีเท้าตอนที่ได้ยินเสียงตะโกนเป็นภาษาต่างชาติแปร่งปร่าไม่คุ้นหู





    ความคิดที่ว่าตนอาจทะเล่อทะล่าเดินเข้าสู่ใจกลางวงล้อมของทหารอักษะทำให้มือของเขาสั่น





    เขาหันกลับไปมองหน้าเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ





    พลทหารอเมริกันสี่นายมองหน้ากันด้วยความรู้สึกสงบและปลงตกในโชคชะตา





    จะมีอะไรแย่ไปกว่าการพลัดหลงกับกองทัพและติดอยู่ในป่าที่มีหิมะหนาหลายนิ้วกับทหารฝั่งตรงข้ามอีดกอย่างนั้นหรือ





    “พวกอักษะ?”





    โคลินกระซิบถาม





    “คงใช่”





    เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน





    “กี่คน”





    “ฟังดูจากเสียงอาจมากกว่าสาม”





    หรือทั้งกองร้อย





    แต่จอห์นนี่ไม่ได้พูดออกไป





    “จะเอายังไงต่อ”





    “รอ”





    แล้วก็เงียบกันไปทั้งอย่างนั้น





    สัมพันธมิตรเพิ่งได้ชัยชนะในสมรภูมินอร์มังดีไม่นาน ความรื่นเริงยังทิ้งสัมผัสอ้อยอิ่งบนปลายนิ้วอยู่เลยด้วยซ้ำตอนที่พวกเราตัดสินใจบุกเข้าแนวรับของกองกำลังเบลเยียมอีกครั้ง





    อาจเป็นเพราะความมั่นใจ ความหลงระเริงในอำนาจ





    เราคิดว่าพวกอักษะคงอ่อนกำลังลง เราคิดว่าจะชนะภายใต้สถานการณ์ที่เป็นต่อ 





    เราคิดว่าเราจะได้กลับบ้าน





    แต่เปล่าเลย—





    มันเลือนลาง





    ห่างออกไป





    ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องเจอกับการตอบโต้อย่างเต็มกำลังของฝ่ายอักษะ พวกนาซีถึงกับยอมถอนกำลังทหารทางด้านรัสเซียมารอตั้งรับพวกเราที่นี่





    ทั้งรถถัง





    ทั้งปืนกล





    เขาเห็นฤทธิ์มันมากับตา 





    หนึ่งนัดแลกกับหลายชีวิต





    เราไม่ได้เตรียมการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ และสภาพอากาศก็เลวร้ายเกินกว่าจะส่งให้กองทหารที่เป็นฝ่ายบุกรุกได้เปรียบ





    สุดท้ายสัมพันธมิตรก็แตกพ่าย 





    ทหารนับหมื่นนายสูญหาย





    กระจัดกระจาย





    ทำได้แค่รอเวลารวมกำลังพลใหม่อีกครั้ง 





    แต่ใครจะรู้ เราอาจล้มเหลวแล้วถูกกลืนหายไปในหน้าประวัติศาสตร์ของผู้ชนะก็ได้





    “จอห์น—ฟังดูเหมือนพวกนั้นกำลังคุยกับใครสักคนอยู่ ใครสักคนที่พูดภาษาเดียวกับเรา”





    เขาขมวดคิ้วมุ่น





    เงี่ยหูฟัง





    สำเนียงดุดันหนักแน่นอย่างทหารนาซีทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้ ภาพเลือดแดงฉานบนกองหิมะสีขาววนเวียนอยู่ในความคิด





    “ฉันไม่เห็นได้ยิน—”





    ตอบกลับไปอย่างนั้นก่อนที่คำพูดจะค้างเติ่ง





    เสียงผรุสวาทเป็นภาษาอังกฤษนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ มันดังขึ้นรัวเร็วก่อนเงียบลง—แน่นอนว่าปราศจากความเต็มใจ 





    “ฉันจะไปดูสักหน่อย”





    เขาพูดออกมาในที่สุด





    แทบจะปิดความตื่นเต้นในน้ำเสียงเอาไว้ไม่มิด





    เพื่อนทหารที่เหลือพยักหน้าตอบรับคำก่อนจะยืนยันว่าต้องการไปด้วยกันทั้งหมด 





    จอห์นนี่ไม่ได้ขัดเพราะรู้ดีว่าการพบทหารนายนั้นทำให้ใจของพวกเขาโลดขึ้น การมีเป้าหมายช่วยปัดเป่าความกังวลทั้งหลายออกไป อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง





    เราตัดสินใจแฝงตัวไปกับแนวต้นไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน





    เชื่องช้า





    เอ็มวันกาแรนด์ที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกประทับขึ้นระดับเดียวกับบ่า 





    ขยับอย่างเงียบเชียบเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย





    ค่อยคืบคลาน





    อีกเพียงไม่กี่อึดใจ—





    —สิ่งแรกที่จอห์นนี่เห็นคือพลทหารอังกฤษหนึ่งนายซึ่งถูกตีกรอบล้อมรอบโดยพวกเยอรมัน





    อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าอยู่บนส้นเท้าทั้งสองข้าง มือถูกจับไพล่หลังและมีปลายกระบอกปืนจ่อแนบหน้าผาก 





    เขากล่อมตัวเองให้ใจเย็นระหว่างที่ประเมินสถานการณ์





    ไล่สายตา





    จากซ้ายไปขวา





    1





    2





    3—





    —มีทหารเยอรมันอยู่ราวครึ่งโหลเห็นจะได้





    “พวกมันคนนึงมีปืนกลมือ—อาจจะเอ็มพี40 ฉันไม่แน่ใจ แต่นั่นทำให้กาแรนด์ของเราดูโง่ไปเลย”





    โคลินที่กำลังสังเกตการณ์ผ่านกล้องที่ถูกติดไว้บนกระบอกปืนรายงาน





    เขาสบถ





    —ปืนกลมือใช้ระบบอัตโนมัติซึ่งไม่ต้องรอจังหวะโหลดกระสุนเข้ารังเพลิง มันยิงได้นานเท่าที่เหนี่ยวไกหรือไม่ก็จนกว่ากระสุนจะหมด 





    เยี่ยมไปเลย





    “เขาสวมเครื่องแบบทหารราบอังกฤษ ที่แขนมีผ้าของพวกเสนารักษ์ติดอยู่ ไม่แปลกใจเลยที่ถูกพวกนั้นจ้องเล่นงานอย่างนี้”





    จอห์นนี่ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม





    ได้ยินเสียงความคิดเสียงความคิดของตัวเองดังถนัดถนี่





    “ยังไงก็ตาม พวกนั้นไม่เก็บหมอนั่นไว้แน่ ถ้าเราจะช่วยเขาต้องรีบคิดแผน”





    ถูกของโคลิน





    เสนารักษ์เป็นตัวปัญหาที่คอยดูงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินในสนามรบ





    พวกเขาไม่ใช่หมอ เป็นเพียงทหารที่มีความสามารถในการปฐมพยาบาลเพื่อประทังอาการเจ็บปวดก่อนส่งให้ทีมแพทย์ที่ค่ายดูแลต่อเท่านั้น





    เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วย่อมไม่ใช่บุคลากรที่มีคุณค่ามากพอจะเก็บไว้ต่อรองกับฝ่ายตรงข้ามได้ อีกอย่างการลดจำนวนพลเสนารักษ์เท่ากับลดโอกาสรอดของทหารฝั่งตรงข้ามได้มากขึ้นด้วย





    เสียงตะโกนในภาษาเยอรมันดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้พวกเราหันกลับไปมอง





    ใจของจอห์นนี่หล่นวูบ





    ปืนกระบอกที่จ่อหน้าผากเสนารักษ์คนนั้นถูกขึ้นไกพร้อมยิง แค่เพียงนายทหารคนนั้นจะออกแรงอีกสักหน่อย—





    “ไม่มีเวลาสำหรับแผนแล้ว”





    เขาประทับเอ็มวันกาแรนด์ขึ้นบ่า





    โคลินรีบกระโจนเข้าขวาง





    “อย่าจอห์น ไม่ใช่ตอนนี้!”





    เรายื้อยุด





    ในชั่วขณะที่อำนาจการถือปืนกลับมาเป็นของเขาอีกครั้งนั้นเอง





    3





    2





    1




    จอห์นนี่ตัดสินใจเหนี่ยวไก





    ปัง!
















    กระสุนเจาะเข้าที่ข้างขมับของฝ่ายตรงข้ามพอดิบพอดี ร่างสูงใหญ่โอนเอนเหมือนต้นไม้ลู่ลมก่อนค่อยล้มลงช้าๆ





    เลือดอาบย้อมผืนหิมะ





    ทหารเยอรมันที่เหลืออีกห้าคนแตกฮือ





    ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า พวกนั้นจะตั้งสติได้และเริ่มต้นตอบโต้การยิงของจอห์นนี่ นั่นทำให้เขาตัดสินใจเหนี่ยวไกอีกครั้งโดยมีนายคนที่ถือปืนกลมือเป็นเป้า 





    แต่ครั้งนี้กระสุนเพียงถากต้นแขนอีกฝ่ายไป





    แน่นอนว่าถูกยิงสวนกลับมาแทบจะทันที





    เขาได้ยินเสียงโคลินสบถ—หยาบคายมากเท่าที่ข้อจำกัดทางภาษาจะพาอีกฝ่ายไปถึง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรแต่ก็ยังอดหัวเราะในลำคอไม่ได้





    เพื่อนทหารอีกสองคนเริ่มต้นโจมตีก่อนออกวิ่ง การอยู่เป็นเป้านิ่งไม่ใช่เรื่องฉลาดในสมรภูมิรบอย่างนี้





    เสี่ยงยิงไปอีกนัดก่อนเผ่นแผล็วเหมือนแมวโจน ทันเห็นจากปลายหางตาแว็บๆ ว่าพลเสนารักษ์คนนั้นทิ้งตัวลงแนบกับพื้นและกำลังพยายามหลบให้พ้นวิถีกระสุนอยู่





    ทำได้ไม่เลวเลยสหาย





    “อ้อมไป! จอห์นนี่—อ้อม! ฉันยิงคุ้มกันเอง”





    เขาออกแรงวิ่งตามคำสั่ง





    รองเท้าคอมแบตกับหิมะหนาหลายคืบไปด้วยกันไม่ได้ แม้จะทุลักทุเลแต่ก็เสี่ยงเกินไปที่จะหยุดตอนนี้—ไม่ใช่ตอนที่มีคนถือปืนกลมือและเล็งมาที่เขา





    พลทหารหนุ่มหอบหายใจ จอห์นนี่ลั่นไกไปทั้งหมดสามครั้ง เหลือลูกตะกั่วอีกห้านัดก่อนที่จะต้องเสียจังหวะโจมตีเพื่อเติมกระสุน





    เขาเหลือบมอง





    เสนารักษ์หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าสดใหม่บนหิมะเป็นทางยาวหายลับไปในป่า 





    ให้มันได้อย่างนี้สิวะเพื่อนยาก





    หนีเอาตัวรอดไปคนเดียวเสียฉิบ





    “แม่งเอ๊—ย”





    ถึงคราวจอห์นนี่สบถ





    กระสุนนัดหนึ่งเฉียดปลายหูเขาไป แม้จะมองไม่เห็นแต่จมูกก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง





    เจ็บ





    แต่ไม่มีเวลาโอดครวญ





    เขากัดฟันกระโดดเข้าหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แรงปะทะจากลูกตะกั่วทำให้เกิดควันลอยขึ้นบดบังทัศนวิสัย ซึ่งไม่ทำให้ใครได้เปรียบทั้งนั้น





    จอห์นนี่หอบหายใจเอาอากาศเย็นเฉียบเข้าปอด ออกซิเจนเรียกสติให้กลับมาอีกครั้ง





    สิ่งที่ต้องตัดสินใจในตอนนี้คือการเลือกว่าจะสู้ต่อหรือหนี





    ตัวเลือกหลังทำให้เราหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ก็จริง แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นรู้แล้วว่ายังมีพวกเราเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกนี่ ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเยอรมันจะไม่ส่งทั้งกองทัพมาพลิกแผ่นดินตามหาทหารฝ่ายสัมพันธมิตรคนอื่นๆ ที่อาจหลงเหลือและหลบซ่อนอยู่ตามแนวชายป่าอีก





    ดังนั้นจึงเหลือเพียงทางเดียวและจอห์นนี่ก็คิดว่าทั้งสามคนที่กำลังสู้อยู่ก็รู้ดี





    เขาไม่เห็นโคลินกับเพื่อนอีกสองคน แต่หูยังได้ยินเสียงปืนดังลั่นไม่หยุด 





    แล้วอึดใจต่อมาเมื่อควันจางลงเขาก็ตบเท้ากลับเข้าสู่การปะทะอีกครั้ง

















    จอห์นนี่วิ่งผ่านศพทหารเยอรมันสองนาย ซึ่งอาจเป็นฝีมือของโคลินหรือใครสักคนในหมู่พวกเรา ที่ศพมีเพียงไรเฟิลจู่โจมหล่นอยู่ข้างๆ เป็นการยืนยันว่าพี่ใหญ่กับปืนกลมือยังอยู่ดีไม่ไปไหน





    เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ป่ายมือควานหาของที่ต้องการแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า





    ความจริงข้อนั้นทำให้ขนของเขาลุกชัน





    นี่เป็นกระสุนชุดสุดท้ายแล้ว





    พวกเราหลงทาง มีรายชื่ออยู่ในหมวดทหารที่สูญหาย เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์ที่เฝ้ารอ แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ จากกองทัพ





    นั่นเป็นตอนที่พวกเราเริ่มต้นหาทางออกจากป่าอาร์เดนส์และติดแหง็กอยู่ตรงนี้





    จอห์นนี่ลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านเตี้ยกว่าปกติ เสียงกระสุนยังดังต่อเนื่องไม่หยุดและที่สุดปลายตานั้นเองภาพของเพื่อนทหารก็ปรากฏสู่สายตา





    เขาอาศัยจังหวะเวลาหนึ่งวิ่งเข้าไปสมทบ





    “แดนไปไหน”





    โคลินส่ายศีรษะขณะที่บรรจุกระสุนชุดใหม่ใส่เอ็มวันกาแรนด์ของตัวเอง





    “เขาไม่รอด—เอซพยายามแล้ว แต่กระสุนตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่—แล้วก็ ให้ตาย เอซถูกยิงที่ขา ฉันหวังว่าเสนารักษ์คนนั้นคงพอทำอะไรได้บ้างนะ”





    ความจริงฉีกทึ้งเขาออกเป็นเสี่ยงๆ





    แดนจากไปแล้ว—ไม่กลับมา ชายหนุ่มอารมณ์ดีนอนนิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งใต้หิมะหนาวเย็นเพียงลำพัง ไม่มีโอกาสได้เห็นแผ่นดินบ้านเกิดอีกเป็นครั้งที่สอง





    “ฮื่อ นายไม่เป็นไรหรอก เขาอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ อีกเดี๋ยวพอจบเรื่องตรงนี้เขาจะรีบรักษาให้นายทันที”





    จอห์นนี่กลืนความจริงทั้งหมดลงคอ





    เอซร่ายิ้ม ความหวังวาววับในดวงตา





    โคลินตบไหล่เขาเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ





    “แดนกับฉันจัดการไปคนละหนึ่ง”





    “ฉันเห็นแล้ว—แต่มีอีกอย่างที่นายควรรู้”





    เขาเริ่มต้นพูดขึ้นช้าๆ





    “ฉันเหลือกระสุนอีกห้านัด”





    น้ำเสียงแห้งผาก





    “นี่ก็เป็นชุดสุดท้ายของฉัน”





    โคลินตอบกลับ





    “ผมเองก็เหมือนกัน อาจจะเหลือสักห้าหรือหกนัด ไม่มากกว่านั้น”





    เราสามคนมองหน้ากันในความเงียบงัน





    ยอมรับชะตากรรมอยู่ในใจ





    “โทษที ฉันน่าจะเชื่อนายตั้งแต่แรก”





    “ช่างเถอะ เราช่วยเสนารักษ์ได้ นั่นหมายความว่าจะมีอีกหลายคนทีเดียวที่ไม่ตายในสนามรบ”





    หวังว่านะ—





    ถ้ายังมีการรบนั่นอยู่ล่ะก็





    เขาส่งยิ้มให้ทั้งสองคน





    “ไปกันเถอะ”





    “เพื่อแดน”





    เอซร่ากระซิบแผ่วเบา





    “ใช่ เพื่อแดน”





    สายลมหอบเอาคำพูดนั้นลอยไป


















    โคลินเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน





    “ฉันมีกระสุนเยอะกว่า!”





    พูดอย่างนั้นพลางเล็งยิงที่ศีรษะของศัตรู





    น่าเสียดายที่กระสุนพลาดเป้าไปเกือบคืบ





    “ไม่ได้หมายความว่านายจะยิงสั่วๆ ได้นะโว้ย!”





    “หุบปากเถอะน่า!”






    หลังการปะทะอันแสนยาวนานกระสุนนัดสุดท้ายของโคลินก็ทะลุผ่านขั้วหัวใจของนายทหารเยอรมันไป—เฉียดฉิว





    จอห์นนี่ยกยิ้มมุมปาก 





    แอบชูนิ้วโป้งให้เพื่อนก่อนออกวิ่งต่อ





    เขายกปืนขึ้นเล็ง





    เหนี่ยวไก





    อีกครั้งที่กระสุนถากผ่านเป้าหมายที่ถือปืนกลมือ





    เหลืออีกแค่สี่นัด





    เขายืนนิ่ง





    ตรึงตัวเองอยู่บนพื้น





    สาม





    สอง





    หนึ่ง





    ในที่สุดร่างนั้นก็หงายคว่ำ ขณะเดียวกันเอซร่าก็ปลิดชีพทหารสัญชาติเยอรมันคนสุดท้ายได้ในที่สุด 





    ผืนป่ากลับมาเงียบสงบ หิมะร่วงหล่นจากยอดไม้สู่พื้นดินเย็นฉ่ำ อะไรๆ ก็ดูจะกลับมาอยู่ในที่ทางอย่างที่มันควรเป็นเสียที





    แต่ความยินดีอยู่กับเราเพียงชั่วขณะกะพริบตา





    เขาแค่ต้องการตรวจเช็คให้แน่ใจ อาจจะหวังปืนกลมือและกระสุนอีกนิดหน่อย จึงขยับตัวเข้าใกล้ร่างเย็นชืดนั้น—ไร้การป้องกัน





    ระยะห่างถอยร่น





    หนึ่งก้าว





    สองก้าว





    เข้าประชิด





    เขาทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่า





    โน้มร่างมองสำรวจ





    ตอนนั้นเองที่ปลายกระบอกปืนเย็นเฉียบจ่ออยู่บนกลางหน้าผาก นายทหารเยอรมันคนนั้นยังไม่ตาย—ยัง





    รอยยิ้มบิดเบี้ยวแต่งแต้มมุมปาก





    จอห์นนี่เบิกตากว้าง





    เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินโคลินตะโกนดังลั่นด้วยน้ำเสียงอย่างนั้น





    ประหลาดดีเหมือนกัน





    “จอห์น!”





    ปัง!



















    ลายกระบอกปืนควันกรุ่นอยู่ในมือสั่นเทาของพลเสนารักษ์สัญชาติอังกฤษอย่างหมิ่นเหม่ ไม่อยากเชื่อว่าเขาเพิ่งถูกคนที่เข้าใจว่าเตลิดหนีไปแล้วช่วยชีวิตเอาไว้





    นายคนที่เพิ่งจ่อปลายกระบอกปืนใส่เขานอนนิ่งสนิทดวงตาเบิกโพลง





    จอห์นนี่เบือนหน้าออกจากภาพนั้น





    “คุณโอเคหรือเปล่า”





    อีกฝ่ายถาม





    น้ำเสียงร้อนรน





    แต่เสนารักษ์ไม่ได้รอฟังคำตอบ อีกฝ่ายรีบเก็บเว็บเลย์ รีวอลเวอร์กลับเข้าไปในปลอกหนังซึ่งเหน็บเอาไว้ข้างบั้นเอวก่อนพูดกับเขา





    เสียงสั่น





    ทว่าเนิบช้า





    “คุณอาจมีอาการหูอื้อได้ เพราะผมยิงในระยะประชิดมาก ไม่ต้องตกใจนะครับ ปล่อยไว้สักพักก็จะหายเอง แต่ถ้าไม่ดีขึ้นให้รีบบอก ผมมีวิธีดีๆ อยู่”





    จอห์นนี่ที่ดูเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูกส่ายศีรษะเบาๆ





    “ฉันโอเค—โอเค ไม่ได้เป็นอะไร”





    อีกฝ่ายถอนหายใจทำท่าโล่งอก





    “งั้นก็ดีแล้วครับ”





    “อือฮึ”





    “คุณเป็นทหารอเมริกัน”





    “ใช่ ฉันก็คิดงั้นนะ”





    “คุณช่วยผมไว้”





    “แล้วนายก็วิ่งหนีไป”





    “ขอโทษครับ ผม—ผมแค่ตกใจมาก นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกอักษะใกล้ขนาดนี้”





    เขาทิ้งตัวลงนอนบนพื้น





    ความรู้สึกโล่งใจหลังจากเพิ่งเฉียดความตายมาทำให้ท้องฟ้าในวันนี้สวยเป็นพิเศษ อารมณ์ขุ่นมัวถูกพัดให้ลอยไปกับสายลม





    “ช่างเถอะ นายเองก็ช่วยฉันไว้ ถือว่าหายกันแล้ว”





    “จริงๆ เหรอครับ”





    “เออ”





    “แล้วแน่ใจนะครับ ว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ดูเหมือนหูคุณจะมีเลือดออกนะ”





    เสนารักษ์โน้มตัวมองลงมาด้วยความเป็นห่วง





    “โอ้—ฉันเพิ่งสังเกตแฮะ”





    เขากะพริบตามอง





    ไล่ผ่าน





    ผมสีบลอนด์ของอีกฝ่ายยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เหงื่อผุดพรายทั้งที่อากาศหนาวจัด ความตื่นตระหนกยังคงแฝงตัวอยู่บนใบหน้า





    โธ่เอ๋ย—





    “นายว่านายชื่ออะไรนะ”





    “เดวิดครับ—เดวิด จู๊ด เฮย์เวิร์ธ ลอว์”





    ยาวเป็นบ้า





    “เดวิด”





    เขาเรียก





    “ครับ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”





    เจ้าของชื่อรับคำอย่างกระตือรือร้น





    จอห์นนี่ระบายยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก





    แสร้งทำเป็นมองอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป





    ทั้งที่ความจริงแล้ว—





    ให้ตาย เฉดสีฟ้าเป็นประกายในดวงตาของอีกฝ่ายนี่สวยยิ่งกว่าท้องฟ้าในฤดูหนาวเสียอีก





    “เปล่า—ฉุดฉันขึ้นไปทีสิพลทหาร”





    เสียงโหวกเหวกของโคลินฟังดูเหมือนมาจากที่ห่างไกล





    เขาหัวเราะเต็มเสียงเป็นครั้งแรก


















    อาการของเอซร่าดูจะหนักกว่าที่คิด





    เราหลบอยู่ในถ้ำแห้งๆ แห่งหนึ่งซึ่งบังเอิญเจอระหว่างที่ระหกระเหินไปทั่วป่า โคลินลงความเห็นว่าเราควรปักหลักอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็จนกว่าเอซร่าจะไปไหนมาไหนเองได้





    “เขาฝืนขยับตัวปากแผลเลยเปิดกว้างทำให้เสียเลือดไปมาก โชคยังดีอยู่บ้างที่กระสุนไม่ได้ฝังในขา—แต่ผมก็ไม่รู้ว่านี่จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า”





    เดวิดขยับตัวอย่างอึดอัด เห็นได้ชัดว่าเสนารักษ์ไม่ชอบใจกับข้อสรุปนั้นสักเท่าไหร่





    “ผมทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เขาควรได้รับการรักษาเร็วที่สุด—ผมหมายถึงจากหมอจริงๆ ไม่อย่างนั้น—”





    คำพูดกลืนหายลงไปในลำคอ





    คนป่วยหลับไปแล้วเพราะพิษไข้ 





    จอห์นนี่หันกลับไปพยักหน้าให้โคลิน วางมือลงบนบ่าของอีกฝ่ายก่อนออกแรงบีบเบาๆ





    “เดี๋ยวเขาก็ดีขึ้น”





    “ไม่รู้สิจอห์น ฉัน—ฉันไม่แน่ใจอีกแล้ว”





    ความกังวลฉายชัดในน้ำเสียง





    “พักสักหน่อยเถอะ ฉันจะเฝ้ากะแรกให้เอง”





    เขาเดินออกมาข้างนอก ปล่อยให้เพื่อนได้ใช้เวลากับทหารรุ่นน้องเพียงลำพัง





    เอ็มวันกาแรนด์ห้อยอยู่บนไหล่ซ้ายด้วยความเคยชินแม้ว่าภายในรังเพลิงจะว่างเปล่าไปแล้วก็ตาม





    “ผมนั่งด้วยได้มั้ยครับ”





    เขาสะดุ้ง





    หันกลับไปตามเสียงเรียก





    เดวิดยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับส่งยิ้มเก้กังมาให้





    ทีแรกเขาอยากปฏิเสธแต่พอคิดดูอีกทีแล้วการอยู่คนเดียวในตอนนี้คงไม่ดีเท่าไหร่





    จอห์นนี่พยักหน้า





    “ขอบคุณครับ”





    ความเงียบไหลผ่าน นานทีเดียวกว่าเดวิดจะเริ่มเปิดบทสนทนา





    “ถ้าสงครามจบแล้วคุณอยากทำอะไร”





    “มันจะจบจริงๆ สินะ”





    “สมมติดูก่อนก็ได้ครับ”





    เขาส่งเสียงครางในลำคอขณะที่ลูบคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด





    “อือ—มันก็มีหลายอย่าง แต่ฉันอยากกลับบ้าน”





    “ดีจังที่คุณมีให้กลับ”





    “แล้วนายไม่มีหรือยังไง”





    เขาถามด้วยความสงสัยมากกว่าเจตนาอื่น





    เสียงหัวเราะของเดวิดเจือความเศร้า





    “แน่นอนว่าผมมีบ้าน แต่ครอบครัวผมไม่อยู่แล้ว ตายในสงครามน่ะครับ”





    เขานิ่งไปตอนที่ได้ยินคำตอบนั้น





    “โทษที ฉันไม่ควรถาม”





    แต่อีกฝ่ายส่ายศีรษะ





    “ผมคิดว่าบางทีได้พูดออกมาก็ดีเหมือนกัน เรื่องพวกนั้นกวนใจผมมาเป็นปีทีเดียว”





    โดยไม่รู้ตัว





    ความเศร้าขยับพาไหล่ของเราให้ชิดติด





    “แล้วนายล่ะ ถ้าสงครามจบแล้วอยากจะทำอะไร”





    จอห์นนี่กระซิบถามด้วยเพราะอยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา





    “ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อนเลย”





    “งั้นนายควรเริ่มคิดได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาพานายกลับบ้าน นายจะหัวหมุนสุดๆ เลยล่ะ”





    “นั่นเป็นวิธีให้กำลังใจของคุณเหรอ”





    กะพริบตามองปริบๆ





    “ลองคิดดูเอาเองบ้างเป็นไง”





    แสร้งพูดเสียงแข็ง





    แต่เดวิดไม่ได้ถือสา





    อีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มให้ ดวงตาคู่นั้นหยีลงเป็นเส้นโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว





    “ขอบคุณครับ”





    แม่งเอ๊—ย




















    โคลินไม่อยากให้เราก่อไฟด้วยเพราะมันเสี่ยงต่อการเปิดเผยที่อยู่ แต่ในคืนที่สามอุณหภูมิดิ่งลงจนโคลินต้องจำยอมให้จอห์นนี่กับเดวิดออกไปหาไม้สำหรับทำฟืนด้วยกัน





    “หน้าเขาแทบไม่มีเลือดฝาดแล้ว”





    จอห์นนี่ออกความเห็น





    เอซร่าดูเหมือนกำลังจะตายเพราะความหนาวมากกว่าอาการเจ็บป่วย





    “คุณยังทนไหวไหม”





    เดวิดกระซิบถาม





    คนเจ็บพยักหน้า





    “คุณอยากให้ผมฉีดมอร์ฟีนให้หรือเปล่า”





    เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้งแต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนใจไปส่ายศีรษะ





    “ผมยังไม่อยากด่วนตัดสินตัวเองเร็วเกินไป”





    น้ำเสียงอ่อนแรง





    “ผมทนเจ็บได้ แต่ไม่อยากทนหนาว”





    พวกเราหัวเราะออกมาพร้อมกัน มวลความสุขลอยอบอวลกระทั่งตอนที่เขาเดินออกมาจากถ้ำแล้วมันก็ยังไม่หายไปไหน





    “ผมคิดว่ามันไม่มีกระสุนแล้วเสียอีก”





    เดวิดพยักพเยิดหน้าไปทางปืนที่เขาสะพายไว้บนบ่าข้างหนึ่ง





    “หมดเกลี้ยง—แต่ชินน่ะ ถือมาตั้งแต่เพิ่งเข้ากองทัพ”





    “นึกว่ามันจะเกะกะ”





    เขายักไหล่





    “ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวหรอก ฉันดัดแปลงมันไว้นิดๆ หน่อยๆ ด้วย เวลาฉุกเฉิน ถ้านายกดถูกจุด มีดปลายแหลมจะเด้งออกมาจากตรงนี้—เห็นมั้ย”





    จอห์นนี่ป่ายมือผ่านปุ่มที่อยู่ถัดจากไกปืนด้วยความเคยชิน ออกแรงกดเบาๆ ปลายมีดเรียวแหลมก็ออกมาทักทายอากาศภายนอก





    เขาดูภูมิใจ แต่เดวิดมีสีหน้างุนงง





    “แล้วคุณก็จะใช้มันสู้กับปืนกลมืออย่างนั้นเหรอ”





    “เอ้อ—อย่างนั้นก็ไม่ค่อยเข้าท่าหรอก ใช้ตอนที่เข้าประชิดตัวดีกว่าเยอะ”





    “อเมริกาสอนให้คุณใช้มีดสู้กับปืนนั่นเอง”





    เดวิดทำหน้าเข้าอกเข้าใจ





    เป็นแบบนั้นเสียที่ไหน!





    “ให้ตาย นายเข้าใจคำว่าฉุกเฉินมั้ยเนี่ย”





    “ล้อเล่นครับ”





    ยังจะกล้าหัวเราะอีก





    “งั้นคุณใช้มันตัดกิ่งไม้ได้หรือเปล่า”





    เขาเงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะก่อนถอนหายใจ





    “เอาเป็นว่า เราเก็บอันที่ร่วงอยู่บนพื้นกลับไปเถอะ”





    เห็นนะว่าแอบยิ้ม





    ทีใครทีมันก็แล้วกัน!




















    เปลวไฟอุ่นวาบส่องสว่างค่อยขับไล่ความหนาวออกไปจนหมด เสียงไม้แตกปะทุดังคลอไปกับลมฟังดูคล้ายกับเพลงกล่อมในความทรงจำ





    โคลินกับเอซร่าหลับไปแล้ว เด็กหนุ่มดูเปราะบางยิ่งกว่าที่เคยในอ้อมกอดของเพื่อนทหาร





    เขาถือโอกาสขยับตัวเข้าใกล้เดวิดที่นั่งผิงไฟอยู่ไม่ไกล





    “มันหนาวนี่”





    เขาแก้ตัวตอนที่ถูกอีกฝ่ายมองด้วยแววตาสงสัย





    ความอุ่นร้อนถูกส่งผ่าน





    เนิ่นนาน





    “ผมฝันอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ดอว์เซ็ตมาตลอดเลย”





    เดวิดเริ่มต้นอย่างนั้น





    “ทะเลที่นั่นสวยมาก น่าเสียดายที่คุณยังไม่เคยเห็น ผมว่าคุณคงตกหลุมรักมันได้ไม่ยาก”





    “ฟังดูดีนะ”





    “ผมอาจเลี้ยงหมาสักตัวหรือสองตัว มันจะได้ไม่เหงาเวลาที่ผมออกไปข้างนอก แล้วก็คงดีมากถ้ามีใครสักคนรอผมอยู่ที่นั่นด้วย”





    จอห์นนี่ไม่ได้พูดอะไร





    เขาทำเพียงแตะมือของตัวเองลงบนฝ่ามือของนายทหารอังกฤษแผ่วเบา





    ไล้นิ้วไปมาเชื่องช้าคล้ายกับการต้องการขออนุญาต





    เดวิดตอบสนองการกระทำนั้นด้วยการเบียดเข้าใกล้เขามากขึ้นนิด





    ท้ายที่สุดมือของเราก็เกาะกุม





    ไม่ได้ลึกซึ้ง





    แค่พอให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่ตรงนี้





    “ขอบคุณครับ”





    เดวิดพึมพำแผ่วเบา





    คืนนั้นเราทำความรู้จักกันผ่านความเงียบงัน


















    สองวันต่อมาทุกอย่างแย่ลง อาการของเอซร่าที่เหมือนจะทุเลาลงแล้วกลับทรุดหนัก เดวิดตัดสินใจฉีดมอร์ฟีนหลอดสุดท้ายให้เด็กหนุ่ม เมื่อความทรมานจางหาย คนเจ็บก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันที





    โคลินเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น





    “ทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ”





    เดวิดส่ายหน้า





    “นั่นเป็นหลอดสุดท้ายที่ผมมีแล้ว แผลของเขาอักเสบด้วย ผมเกรงว่าพิษไข้กับอะไรๆ จะทำให้เขา—“





    “หยุด! อย่าพูดมันออกมา”





    โคลินตะโกนลั่น





    “เราไม่น่าไปช่วยนาย ไม่น่าเลย! ไม่อย่างนั้นแดนคงยังอยู่ที่นี่ เอซก็ไม่ต้องถูกยิง—“





    “หุบปากนะโคลิน!”





    การโต้เถียงทวีความรุนแรงขึ้น





    มากขึ้น





    จนกระทั่ง—






    “เงียบก่อน! เงียบ—ผมได้ยินเสียงคน”





    หัวใจของจอห์นนี่เต้นโครมคราม เขาปราดเข้าหยิบปืนที่ปราศจากกระสุนขึ้นแนบอกก่อนเงี่ยหูฟัง





    เสียงย่ำฝีเท้า





    เสียงพูดคุยสูงต่ำในภาษาต่างชาติ





    ความตื่นกลัวแล่นไปทั่วร่าง





    เขาสบตากับโคลิน





    เราเหลือกระสุนจากกระบอกปืนของเอซร่ารวมกันสองนัด ไม่มากพอให้ใช้ปลิดชีพตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับพวกอักษะเลย





    เพื่อนทหารของเขาดับกองไฟก่อนคลี่ผ้าผืนบางคลุมร่างของเอซร่าเอาไว้ ในกรณีที่เราไม่รอด อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็จะไม่ต้องทนหนาว





    “เดวิดมานี่”





    เสนารักษ์ชาวอังกฤษกระชับรีวอลเวอร์ในมือแน่น





    “พวกอักษะเหรอครับ”





    “ก็อาจจะใช่”





    จอห์นนี่กระซิบตอบ





    นึกอยากให้ตัวเองรู้จักถ้อยคำดีๆ ที่ช่วยปลอบประโลมอีกฝ่ายมากกว่านี้อีกนิด





    “กลัวหรือเปล่า”





    “ครับ แต่เสียดายมากกว่าที่ผมไม่มีโอกาสพาคุณไปเยี่ยมบ้านที่ดอว์เซ็ตของผม”





    “นายยังไม่ได้สร้างสักหน่อย”





    “นั่นแหละครับที่น่าเสียดาย”





    เขาฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ





    มือชื้นเหงื่อข้างหนึ่งของเราเกาะกุมกันแน่น





    เสียงนั้นใกล้เข้ามาแล้ว





    ใกล้มาก—





    —ใกล้





    3





    2





    1





    จอห์นนี่หลับตาลง





    “พวกเขาอยู่ตรงนี้!”





    เขาลืมตาขึ้น





    ไม่ใช่ทหารอักษะอย่างที่คิด





    “สี่นาย! อเมริกันสาม อังกฤษอีกหนึ่ง! เขามีคนเจ็บด้วย เสนารักษ์มาตรงนี้ด่วนเลย—เฮ้ เพื่อน นายโอเคหรือเปล่า”





    ทหารนายนั้นพูดด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งปร่า






    ก่อนโบกมือไปมาตรงหน้าของจอห์นนี่






    “ฮ่า! ไว้นายค่อยเล่าให้ฉันฟังระหว่างที่กลับไปค่ายก็แล้วกัน มาเถอะ สงครามจบแล้วและเราชนะ!”





    นายคนนั้นพูดต่อ





    ความงุนงงแล่นผ่าน





    มันจบแล้วจริงๆ น่ะหรือ





    “พวกนายเดินมาไกลกันมาก เราเกือบถอดใจแล้ว แต่บังเอิญว่ามีคนได้ยินเสียงโวยวายมาจากทางนี้พอดี เหลือเชื่อชะมัด”





    เขาไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเมื่อถูกรุมล้อม





    นิ้วมือที่เกาะกุมของเราแยกออกจากกันช้าๆ





    นาทีที่แผ่นหลังของพลทหารอังกฤษหายลับไปในกลุ่มคน จอห์นนี่พลันนึกอยากเห็นทะเลที่ดอว์เซ็ตขึ้นมาเสียเฉยๆ







    .








    .








    .






    สตูว์ผักในหม้อเดือดปุดส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลอยู่บนเตา





    คงได้ที่แล้วกระมัง





    เขาตักมันใส่จานวางคู่กับมีตโลฟหน้าตาบิดเบี้ยวบนเคาน์เตอร์ในครัว ได้แต่หวังว่าเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารจะไม่ถือสา ชายหนุ่มถอดผ้ากันเปื้อน ปิดเตาและเริ่มลงมือล้างจานกองพะเนินในซิงค์





    พ่อครัวจำเป็นฮัมเพลงเบาๆ ขณะที่ปล่อยให้น้ำชะล้างคราบสกปรกบนภาชนะ





    กิจวัตรเดิมๆ น่าเหนื่อยหน่ายถูกกล่อมเกลาด้วยทิวทัศน์จากทะเลและท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปทุกวัน อย่างน้อยก็มีอาหารตาแหละนะ





    เขาระบายยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงสุนัขตัวโตเห่าสลับกับครางหงิงในลำคอด้วยความดีใจ





    “แดน—นั่งลง! นั่ง! ไอ้หนูนี่มันดื้อได้ใครวะ”





    เจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ยังคงใช้สองขาหน้าตะกายผู้มาใหม่อย่างเอาแต่ใจ





    “วันนี้กลับเร็วจัง”





    เขาส่งเสียงทักจากในครัว





    “ใกล้คริสต์มาสแล้วนี่ ฉันเองก็อยากพักบ้าง—อ้อ มีโปสการ์ดจากอเมริกาส่งมาด้วย อยากอ่านด้วยกันหรือเปล่า”





    “เอาไว้หลังมื้อเย็นนะครับ”





    “นายว่าไงก็ตามนั้น”





    เขาปิดก๊อกน้ำ





    ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังโต๊ะอาหารที่หลบมุมอยู่ในห้องนั่งเล่น





    “แดน! โว้ว—ห้ามเลียหน้าฉันนะ ไอ้หมาเวรนี่!”





    ภาพที่เห็นทำเขากลั้นหัวเราะไม่อยู่





    “มีอะไรน่าขำนักหรือไง”





    “เขาคงคิดถึงคุณ”





    “แล้วนายล่ะ”





    เรามองหน้ากัน





    อีกฝ่ายยักคิ้วราวกับจะท้าทาย





    และเขาตอบคำถามนั้นด้วยจูบ





    แม้จะผละออกมาแล้วแต่สัมผัสนั้นยังคงร้อนผ่าว





    เต้นระริกอยู่บนริมฝีปาก





    “นั่นดีกว่าจูบของแดนเยอะเลย”





    อีกฝ่ายพึมพำ





    “แปลว่าคิดถึงฉันมากใช่มั้ย”





    “กินข้าวได้แล้วครับ”





    “เหอะ พวกอังกฤษ ไร้อารมณ์ขันชะมัด”





    เดวิดหัวเราะขณะที่ปล่อยให้มือของเราเกาะเกี่ยวกัน ชายหนุ่มออกแรงดึงจอห์นนี่ที่นั่งอยู่บนโซฟาให้ลุกขึ้นเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน





    “หนัก”





    แกล้งบ่น





    “ก็ทำอาหารให้อร่อยน้อยกว่านี้หน่อยสิ”





    มื้ออาหารเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย เราพูดคุย มอบความรักแก่กัน ปล่อยให้สงครามกลายเป็นเพียงฝุ่นควันในความทรงจำ





    มีบางคืนที่เขายังฝันถึงเหตุการณ์ที่สมรภูมิบอลจ์ แต่ตราบเท่าที่เขาตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของจอห์นนี่ เดวิดก็รู้ดีว่าเขาจะไม่เป็นอะไร





    END



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in