เบื้องหน้า เราอาจจะเห็นชีวิตดีๆ และเสื้อผ้าสวยๆ ของนักแสดงผ่านหน้าจอแก้ว แต่เบื้องหลังสิ่งสวยงามเหล่านั้นคืออะไรบ้างล่ะ
วินเนอร์-ทรงฤทธิ์ ตียาภรณ์ นักแสดงวัยรุ่นอายุ 17 ปีจะมาตอบคำถามที่ค้างคาใจพวกเรา แม้ว่าอายุจะยังน้อย แต่ความสามารถและความคิดกลับโตเกินกว่าวัย เราอาจจะเห็นเขาโลดแล่นผ่านหนังหรือซีรี่ย์วัยรุ่นอย่างเช่นเรื่องวัยแสบสาแหรกขาดภาค 2 ในบทบาทของเต้ย หรือเป็นนักเรียนชายในเรื่อง Great Men Academy และยังมีผลงานอื่นๆ อีกที่ได้ถ่ายทำไปในปีนี้
https://twitter.com/actartspac/media
จากเรื่องวัยแสบสาแหรกขาด2
“การแสดงมีเสน่ห์ตรงที่จับต้องไม่ได้ มันยากและท้าทาย ต้องศึกษาจิตใจของผู้คน อยู่กับความซับซ้อนตลอดเวลา” วินเนอร์กล่าวก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์ในคลาสเรียนการแสดง
ในตอนนั้น วินเนอร์ได้รับโจทย์เป็นบท monologue หรือการพูดกับตัวเอง ต้องใช้จินตนาการวิเคราะห์ว่าตัวละครประสบกับอะไร วินเนอร์ต้องแสดงเป็นคนที่กำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างและโทรตามหมอมาหา ทุกอย่างจึงสามารถตีความได้เองหมด ไม่ว่าตัวละครนี้กลัวอะไร เป็นโรคจิตหรือไม่ และหมอที่โทรเรียกให้มาคือใคร เป็นหมอจิตเวชหรือคนที่ชื่อหมอเฉยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปิดกว้างเป็นนามธรรม ความสนุกของการแสดงเริ่มต้นตอนที่เราเห็นภาพของสิ่งที่น่ากลัวขึ้นมาในหัวจริงๆ
บรรยากาศในคลาสเรียนการแสดง
“โมเมนต์ที่ชอบที่สุดคือตอนที่รู้สึกว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ไม่ใช่การแสดงอีกต่อไป” วินเนอร์กล่าว การแสดงทุกครั้งคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเสมอ
“พอเราแสดงมันเหมือนได้ผจญภัย ได้เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ตอนเราไม่ชอบหรือเบื่อตัวเองก็สามารถเป็นอะไรใหม่ๆ ถ้าทำอาชีพอื่นมันก็เป็นไม่ได้ แต่พอเป็นนักแสดง เราทำได้ เราเข้าไปในโลกแฟนตาซีได้”
จากเรื่องวัยแสบสาแหรกขาด2
กองละครวัยแสบฯ เป็นกองละครแรกๆ ที่เขามีโอกาสได้เข้าร่วมแสดง ระยะเวลาถ่ายทำก็ค่อนข้างยาวนาน เรื่องยากสำหรับนักแสดงมือใหม่ก็คือการก้าวผ่านความกลัว ต้องเปลี่ยนความคิดว่าการคุยกับทีมงานและนักแสดงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่การแสดงร่วมกับนักแสดงมืออาชีพและมีประสบการณ์จะทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพร์สได้ตลอดเวลาต่างหาก
“สิ่งที่กดดันที่สุดของการถ่ายทำจริงๆ คือความกลัวผิดพลาด กลัวว่าถ้าพูดบทผิดหรือจำบทพูดไม่ได้ขึ้นมาจะทำให้ทั้งกองล่าช้า ถ้ายิ่งอยากประสบความสำเร็จ ความผิดพลาดหลายครั้งจะทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นนักแสดงที่ไม่ได้คุณภาพ” วินเนอร์กล่าว การถ่ายทำแม้จะสนุกแต่ก็ต้องผ่านทั้งความกดดันและความเหนื่อยล้า บางครั้งในกองละคร วินเนอร์ต้องยืนอยู่ที่เดิม มองเห็นตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นกลางหัวจนถึงพระจันทร์ขึ้นมาแทนที่
เมื่อพูดถึงสังคมในวงการบันเทิงที่เขาได้สัมผัส วินเนอร์บอกว่าชีวิตในวงการไม่ได้ต่างอะไรจากอาชีพทั่วๆ ไป อาจจะต่างแค่ตรงวิธีการทำงาน
การเป็นนักแสดงหรือศิลปินก็เหมือนการเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นเงิน เนื่องจากจุดเริ่มต้นคือการได้ทำสิ่งที่รักและหลงใหลในยามว่าง ก่อนจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นอาชีพอย่างจริงจัง
จากเวทีการประกวด Smart Boy 2018
เพราะยังอยู่ในวัยเรียน วินเนอร์จึงต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องการเรียนและการทำงาน แต่วินเนอร์ก็บอกว่าเขาต้องเต็มที่กับทุกเรื่องและต้องแบ่งเวลาให้ดี เมื่อถึงเวลาเรียนก็เรียนเต็มที่ โฟกัสกับสิ่งนั้นเต็มร้อย เมื่อถึงเวลาทำงานก็เช่นกัน
“แน่นอนว่าเวลาทำงาน หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมันมีมากกว่าตอนไปโรงเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ อะไรที่กดดันๆ เราก็ต้องรับมันไว้หมด เช่นตอนที่ต้องแสดงบทดราม่าครั้งแรก ไม่เคยร้องไห้กับคนอื่นมาก่อน แต่พอมาเจอสถานการณ์บีบบังคับก็ต้องทำให้ได้ ต้องพาตัวเองไปในจุดที่รู้สึกเสียใจ เสร็จแล้วก็เปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละครที่รู้สึกกับสิ่งนั้นแทน”
แต่การทำตามความฝันตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนั่นหมายความว่าเราต้องเสียสละบางอย่างในชีวิตออกไปด้วย
“การมุ่งตามความฝันมันยากเพราะต้องตัดสินใจว่าจะละทิ้งชีวิตบางส่วนของตัวเองไป ไม่สามารถใช้ชีวิตของวัยรุ่นได้อย่างเต็มร้อย ไม่สามารถออกไปปาร์ตี้แบบสนุกสุดเหวี่ยง สิ่งต่างๆ มันต้องแลกมา แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม มันก็คุ้ม แม้ว่าการทำงานจะยาก ยิ่งทำไม่ได้ก็ยิ่งอยากจะทำให้ได้ รู้สึกสนุกเมื่อมีสิ่งใหม่ๆ มาให้พัฒนา ส่วนตัวก็รู้สึกไม่โอเคกับการใช้ชีวิตทิ้งขว้าง เรียนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมายในชีวิตอยู่แล้ว ต้องหาอะไรที่จะทำให้เรามีคุณค่าด้วย”
จากเรื่อง Great Men Academy
“ตอนเป็นเด็กอายุสิบสองสิบสาม เคยคิดว่าตัวเองยังมีเวลาอีกเยอะ จะเรื่อยเปื่อยยังไงก็ได้ แต่พอเริ่มอยากเป็นนักแสดงวัยรุ่น ก็ต้องหาทางให้ตัวเองประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด อะไรที่เราเคยเล่นไร้สาระ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในชีวิตก็ต้องตัดมันออกไป แม้กระทั่งหนังก็ต้องเลือกดู ต้องมีตารางหนัง ดูเพื่อวิเคราะห์บท พัฒนาตัวเอง ไม่ได้ดูเพื่อสนุกเหมือนแต่ก่อน แม้แต่การเที่ยวห้าง ก็คิดไว้เลยว่านี่คือการมาเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะต้องกลับไปฝึกฝนตัวเองต่อ ที่สำคัญคือห้ามละทิ้งการดูแลตัวเอง มีเวลาเยอะก็ต้องไปฟิตเนส พัฒนาการพูด การแสดง การอยู่กับคนอื่นเยอะๆ คิดอยู่ตลอดว่าทุกสิ่งที่ทำจะมีผลกับความสำเร็จได้อย่างไร”
นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันว่าการทำงานในวงการไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามหรือความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
“อย่างเรื่องแคสติ้งเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ระยะการใช้งานของตัวเราและคาแร็กเตอร์ที่ตรงกับเรา ส่วนฝีมือการแสดงคือหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญ การที่ถูกตัดสินจากหน้าตารูปลักษณ์ภายนอกในวงการนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นไปไม่ได้เลยที่เจอกันครั้งแรกคนจะตัดสินกันจากความสามารถหรือลักษณะนิสัย เรื่องแบบนี้เราต้องยอมรับ”
สำหรับวินเนอร์ การแสดงให้อะไรเขาหลายๆ อย่าง เช่น การมีแฟนคลับ มีคนสร้างแฟนเพจ หรือเริ่มมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย นับเป็นความรู้สึกดีๆ ที่วินเนอร์ได้รับ เป็นกำลังใจที่ทำให้เขาก้าวเดินต่อไป
วินเนอร์ยังบอกเราอีกว่า แม้ตัวเองจะมีบางมุมมองที่โตกว่าเพื่อนในห้องเพราะได้ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่หลายคน แต่จริงๆ แล้วเขาก็ยังเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง
วินเนอร์ทิ้งท้ายไว้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตและทำให้เขาเดินตามความฝันได้ก็คือความสุขในการใช้ชีวิต
“ถ้าไม่มีความสุขมนุษย์จะอยู่ไปทำไม ทำอะไรเราต้องทำด้วยความสุข เรียนเราก็ต้องมีความสุข ทำงานเราก็ต้องสุข แต่เรามีหน้าที่ต้องดูว่าความสุขนั้นไปเบียดเบียนใครไหม ความสุขไม่ใช่ข้ออ้างในการไปเที่ยวเตร็ดเตร่ แต่ความสุขคือสิ่งที่จะทำให้เราก้าวหน้าไปได้ด้วย อย่างแม่ที่ให้อิสระเราอย่างเต็มที่ เราก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่ออิสระที่แม่มอบให้ด้วยเหมือนกัน”
แม้ในวันนี้ เขาอาจจะเป็นแค่นักแสดงรุ่นเล็กที่เพิ่งได้เริ่มก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดง แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า เด็กคนนี้มีความฝันว่าจะได้ก้าวไปสู่จุดของนักแสดงรุ่นใหญ่ ความฝันสูงสุดคือการได้เป็นนักแสดงฮอลลีวูดหรือแสดงร่วมกับนักแสดงดังระดับโลกสักครั้ง
และตัวผู้เขียนเอง ในฐานะพี่สาวที่ได้เฝ้ามองการเติบโตของวินเนอร์มาตั้งแต่เกิด การที่วินเนอร์ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในจุดนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าวัยทั้งด้านความคิดและการกระทำ แม้ว่าในหลายๆ ด้าน อาจจะยังมีความคิดติดสนุกแบบเด็กๆ แต่คนในครอบครัวต่างก็ชื่นชมความฝันและความพยายามที่เกินวัยของเด็กคนนี้อยู่เสมอ
หลังจากได้สัมภาษณ์วินเนอร์ ฉันไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจในความคิดของเด็กอายุ 17 คนนี้เลยสักนิด เนื่องจากตลอดเวลาที่เป็นพี่เป็นน้องกันมา ฉันสัมผัสได้ถึงวุฒิภาวะในตัววินเนอร์เสมอๆ แม้พบเจอปัญหาใด ฉันก็สามารถไปพูดคุยปรึกษาได้ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนคนหนึ่ง
ประสบการณ์หลายๆ อย่างในวงการทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตและมีมุมมองต่อโลกไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยสักนิด
บรรยากาศหลังปิดกล้องกับเพื่อนๆ นักแสดง
และเมื่อคำว่าแอ็คชั่นดังขึ้นเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาที่ผู้คนหลังกล้องจะสลัดความเหนื่อยล้า ออกไปสวมบทบาทที่ข้างหน้ากล้องอีกครั้ง.
ผู้ให้สัมภาษณ์: วินเนอร์ ทรงฤทธิ์ ตียาภรณ์
สัมภาษณ์และเรียบเรียง: วรันพร ตียาภรณ์
ผลงานสืบเนื่องจากรายวิชา #ศิลปะการเขียนร้อยแก้ว ปีการศึกษา 2561 #ห้องเรียนเขียนเรื่อง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in