เคยไหมที่เวลาเราไปเดินดูงานนิทรรศการภาพถ่ายพอร์เทรตแล้วเรารู้สึกว่าอยากเห็นเบื้องหลังการถ่ายภาพ อยากลองเป็นแบบให้ช่างภาพ อยากมีประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของงานนั้น อยากเห็นว่าเค้าคุยอะไรกันก่อนที่จะถ่ายภาพ?
แต่ไม่มีโอกาสไหนเลยที่จะมีคนเข้ามาถ่ายรูปให้เรา 55555555555555555
แต่จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าตัวช่างภาพเขามาพร้อมกับ Pop-up studio และเปิดให้ใครก็ตามที่อยากจะถ่ายภาพเข้าไปถ่ายได้?
นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมเราถึงอยากเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง เย้
เมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมา เป็นวันเสาร์ที่เราว่าง แล้วก็บังเอิญกดติดตามพวกอีเวนท์งานศิลปะในเฟซบุ๊กไว้ ก็เลยมีอีเวนท์ขึ้นมาสองงาน ก็คืองานนิทรรศการภาพวาดของอาจารย์คนจีนท่านนึงที่หอศิลป์ราชดำเนิน (อันนี้สวยมากจริงๆ งานลายเส้นพู่กัน งดงามมาก แต่ถ่ายรูปไม่ได้ เราเลยไม่รู้จะเล่าอะไร แถมพ้อยต์ของบล็อกนี้คือจะเล่างานอีกที่ 55555555555) และงานอีกงานหนึ่งก็คือ All or Nothing นิทรรศการภาพถ่ายที่ Yelo House โกดังสำหรับงานศิลปะซอยข้างๆหอศิลป์กทม (10-27 ม.ค เราไปวันที่ 26 เกือบท้ายๆเลย)
อันที่จริงเราไม่รู้รายละเอียดอะไร รู้แค่เป็นงานภาพถ่ายคู่ของช่างภาพชาวดัตช์สองคน Niels Kalk และ Marga Van Den Meydenberg แค่สนใจอยากจะไปดู เพราะว่าไหนๆก็ว่าง ชอบดูอะไรแนวนี้ แล้วก็เอาไปทำการบ้านวิชาหลักงานภาพและเสียงด้วย ไปหนึ่งได้ถึงสองแถมยังใกล้หออีก เลยไปดูซะหน่อยดีกว่า
ซึ่งงานของคุณเนียลส์นี่เป็นงานแบบศิลปะคอลลาจค่ะ แปลกๆหน่อย เราดูแล้วก็จะมีความอิหยังวะ เพราะเรายังไม่เข้าถึงขนาดนั้น แต่ก็สวยแบบแปลกๆดี ก็ยืนดูแป๊บนึง แต่ที่สนใจคือของมาร์ก้า เพราะงานของนางจะเป็นพอร์เทรต ซึ่งจะดูเข้าใจง่ายกว่าของเนียลส์หน่อยนึง แต่ที่น่าสนใจก็คือภาพทั้งหมดที่ทั้งยกมาจากเบอร์ลิน (ทั้งสองคนน่าจะเรียนถ่ายภาพที่เบอร์ลินค่ะ) ของมาร์ก้า เป็นภาพที่เธอถ่ายคนแปลกหน้าจาก Pop-up studio ค่ะ เพราะว่าเธอเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเองซึ่งไอ้เจ้าเอกลักษณ์ที่ว่านี่แหละเป็นงานศิลปะค่ะ
เราก็ไปยืนดู ก็สวยดีนะ บางทีก็อยากจะเข้าใจศิลปะแบบลึกซึ้งบ้าง แต่ผลปรากฏว่าชั้นก็ดูด้วยความไวแสงทุกทีเลย .... เอาเป็นว่ามาดูภาพในนิทรรศการคร่าวๆกันดีกว่าาา
(ปล.ขี้เกียจแต่งภาพ เลยเป็นเบี้ยวๆยังไม่ได้บิด)
พอเดินไปก็ไปเจอโซนป๊อปอัพสตูดิโอ มีกล่องเครื่องสำอางอยู่ใกล้ๆ มีกระปุกใส่ตังค์ แล้วก็เป็นบอร์ดภาพถ่ายที่ถ่ายในไทยไปแล้วด้วย แล้วก็มีป้ายสองภาษาตั้งไว้ เขียนว่า ถ่ายภาพอะไรงี้แหละ ช่างภาพอาจจะถ่ายภาพคุณแค่ห้านาทีหรืออาจเป็นชั่วโมงก็ได้ ถ่ายแล้วเขาจะเลือกแล้วส่งให้เราแค่ภาพเดียว แล้วก็สามารถจ่ายเงินให้ได้ตามที่ต้องการเลย ภาพก็เอาไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียได้เลย แต่แค่ต้องใส่เครดิตแล้วก็ต้องเซ็นยินยอมว่าภาพนี้ของคุณก็จะไปโผล่ในโซเชียลมีเดียของมาร์ก้าเหมือนกัน
เราก็หันไปเจอคนรออยู่สองคน แต่เพื่อความแน่ใจก็ถามพี่ผู้หญิงที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าว่ารอถ่ายภาพใช่มั้ยคะ พี่เขาก็บอกใช่ เราก็เลยนั่งรอไปด้วย สักพักเงียบไปนานๆก็เหงา พี่เขาเลยชวนเราคุย ซึ่งคุยไปคุยมาก็ไม่ได้ถามชื่อกันด้วยนะ 5555555555 พี่เขาทำงานอยู่บริษัทเทรนมารยาทคนญี่ปุ่น เฮ้ย อันนี้น่าสนใจจริงๆ เราเพิ่งรู้ว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วยอะ พวกการแลกนามบัตรอะไรก็ต้องสอน แล้วเราก็ถามว่าเคยรู้สึกไหมว่ามีอันไหนที่แปลก พี่เขาก็บอกไม่ค่อยมี แต่ที่คนไทยไม่คุ้นก็คือตำแหน่งการนั่งบนรถ ว่ากรณีคนขับเป็นพนงที่บริษัท หรือคนขับแท็กซี่ ลูกน้องนั่งไหน บอสนั่งไหน ต้องบอกทางไหมอะไรยังไง อันนี้ได้ความรู้ใหม่ ดีมากๆเลย
ละพอพี่เขาไปถ่าย มาร์ก้าก็เลยเดินออกมาหาพร้อพถ่ายรูป แล้วมาร์ก้าก็แวะมาสวัสดีเรา สาหวัดดีข่า ละนางก็บอกว่า คุณก็รอถ่ายรูปใช่มั้ย ขอโทษที่ให้รอด้วยนะ วันนี้คุณน่าจะเป็นคนสุดท้ายแล้ว เราก็เลยบอกโอเครอได้ ด้อนวอรี่ รอได้ แล้วเขาก็หายไปและกลับมาพร้อมกับกรรไกรแล้วก็ภาพนิตยสาร 55555 เขาก็ถ่ายรูปไปนั่นแหละ เราก็นั่งรอต่อไป ระหว่างนั้นก็มีคนมายืนอ่านป้ายเยอะ แต่กะเวลาแล้วทุกคนก็เลยไม่รอ ตอนนั้นใกล้จะห้าโมงครึ่งแล้วค่ะ (ถ่ายภาพถึงแค่หกโมงเย็น) จนพี่ก่อนหน้าเราถ่ายใกล้เสร็จ ก็มีพี่ผู้ชายมาจะถ่าย มาร์ก้าก็ชี้มาทางเราแล้วบอกว่า ขอโทษด้วยจริงๆ เธอเป็นคนสุดท้ายแล้ว แต่พรุ่งนี้ฉันยังมาถ่ายนะ มาใหม่พรุ่งนี้นะ
จนถึงคิวเรา เขาก็บอกให้เราแนะนำตัวว่าเราเป็นใคร เราก็บอกว่าเราชื่อหยิน หยินแบบไชนีสซิมโบลอะ หยินหยาง มายบราเธอร์ก็คือหยาง นางก็ยืนฟังอย่างตั้งใจมาก เราก็บอกว่าเราเรียนอะไร เรียนเอก journalism เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราชอบทำอะไร ไปคอนเสิร์ต ฟังเพลง นางเลยถามว่า งั้นคุณก็ถ่ายรูปคอนเสิร์ตด้วยสิ ใช่มั้ย นี่ก็บอกว่า ถ่ายนิดหน่อย แต่ชอบมากเลยเพราะมันสนุก เอาไปส่งการบ้านวิชาถ่ายภาพด้วยนะ โชคดีที่ได้เอมา แต่ก็ไม่เก่งหรอก จริงๆชอบถ่าย documentary เหมือนคุณด้วยล่ะ (มาร์ก้าเมื่อก่อนเธอถ่าย documentary ค่ะ แล้วเพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองชอบ portrait เขาก็เลยทำด้านนี้ต่อมาโดยตลอด)
คุยกันนานมาก ทั้งเราก็เล่าไปว่า จริงๆเราเรียนถ่ายภาพมา เราไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย ไม่รู้ว่า dslr ใช้ยังไง ในขณะที่เพื่อนๆในคลาสเขาเป็นช่างภาพมืออาชีพกันหมดเลย บางทีก็เคยรู้สึกว่าไม่เหมาะกับที่นี่เลย รู้สึกว่าดีไม่พอ แต่มาร์ก้าก็บอกเราว่า เมื่อก่อนที่ไปเริ่มเรียนที่เบอร์ลินก็ไม่มีพื้นฐานเหมือนกัน อ.ก็บอกว่าให้นางเลิกเรียนอันนี้ ไปทำอย่างอื่นเถอะ เราก็เลยตอบไปว่า ฉันไม่ชอบครูแบบนั้นเลย
แต่นางก็บอกว่า แต่ตอนนั้นครูเค้าก็ไม่ได้อะไรนะ เค้าแค่พูดไปตามความจริงเพราะฉันอาจทำไม่ได้เลย แต่สุดท้ายฉันก็เรียนไป ฉันก็พยายามทำ หาแนวทางไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ฉันก็หาแนวทาง หาสไตล์ตัวเองเจอแล้ว แล้วก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ตอนนี้ก็โอเคกับทุกอย่างในชีวิตแล้ว เขาพูดแล้วในตาเขามันบอกเลยอะว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ เราถึงได้รู้ว่า เออ ศิลปินมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ละเขาก็บอกว่า คุณก็อย่ากังวลไปเลย ถ้าคุณเขียนข่าวได้ ถ่ายภาพได้นี่ก็สุดยอดเลยนะ เค้าพูดไปยกมือนิ้วโป้งไปด้วย
เขาบอกว่าช่างภาพบางคนถ่ายภาพสวยได้ แต่ยังขาดฝีมือการเขียนข่าวมันก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น คุณทำสองอย่างนี้ได้มันไม่ธรรมดาเลย การที่คุณจะทำตามเป้าหมายของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องตรงไปตามนั้น คุณอาจจะเลี้ยวๆ คดเคี้ยวหาทางไปเรื่อยๆแต่ถ้ามันถึงจุดหมายเหมือนกันก็โอเคแล้วล่ะ ไม่มีคำว่าไม่ดีพอหรอก
เราก็เลยตอบเขาว่า I'll try my best เขาก็พยักหน้าละบอกดีๆ
เอาจริงๆมันก็เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยนะ แต่เราแค่ต้องการคนย้ำให้ฟังก็เท่านั้นเองอ่ะ เอาคำพูดเขามาต่อเวลาในใจให้เรียนต่อไปได้ไรงี้ แล้วยิ่งเขาพูดด้วยความจริงใจทั้งๆที่เราเป็นคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งจะเห็นหน้าเราไม่กี่นาทีเนี่ย ได้คำพูดแบบนี้มันโคตรดีเลยอะ จริงๆ
ก่อนหน้าที่จะคุยเรื่องราวต่างๆเราก็ชมเขาไปด้วยว่า โปรเจคน่าสนใจมากเลย ฉันชอบนะ (เราไม่รู้จะชมอะไร แต่เราชอบมากจริงๆ) นางก็บอกว่า ใช่มั้ยล่ะ ฉันก็ชอบ เพราะฉันตื่นเต้นนะ ไม่รู้ว่าใครจะมาโผล่ที่นี่ให้ฉันได้ถ่ายรูปบ้าง ใครจะมาเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง สนุกมากเลย เราก็เลยบอกว่า นั่นสินะ ได้เจอคนที่แตกต่างกันจากหลายๆที่ น่าสนใจมากๆเลย
แล้วเราก็ถามด้วยว่าเขาเคยทำโปรเจคอะไรแบบนี้มาก่อนรึเปล่า เขาก็บอกว่า ไม่เคยเลย ที่ไทยเป็นที่แรก รูปทั้งหมดเอามาจากที่ถ่ายตอนอยู่เบอร์ลิน ก็กะว่าจะเอาภาพคนแปลกหน้าจากไทยเนี่ยล่ะ ไปทำเป็นนิทรรศการในที่อื่นๆต่อ ถ้าเป็นไปได้อ่ะนะ ทีแรกก็นึกว่าคนไทยจะขี้อายไม่ชอบถ่ายรูปกัน เราก็เลยบอกว่า โน้โน วีเลิฟทูเทคอะโฟโต้ นางก็แบบทำหน้าเห็นด้วยมากๆ แบบ เอ็กแซคลี่ 5555555555
แล้วนางก็เล่าว่ามีผู้หญิงคนนึงมาถ่าย เขาพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ เค้าก็ต้องไทป์ไทย (55555) พิมพ์ภาษาไทยใส่กูเกิ้ลแล้วก็ยื่นให้ฉันดู ค่อยๆคุยกันไปด้วยทั้งภาษามือและกูเกิ้ล แต่ก็คุยกันรู้เรื่องนะ เราก็เลยบอกว่า ขอบคุณกูเกิ้ลทรานสเลทเลยนะเนี่ย นางก็แบบ เยสๆๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทำแบบนี้ไม่ได้ (คงจะไปถ่ายภาพในต่างประเทศแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ) เพราะสื่อสารกันไม่ได้ แต่ภาษามือก็ช่วยได้นะ แต่มีกูเกิ้ลทรานสเลทก็สะดวกดี ไรงี้
แล้วเรามีความสุขมากเลยอะที่ได้คุยกับเขา เวลาเราเล่า เขาก็จะมองเราแบบตั้งใจ ทั้งตั้งใจฟัง ตั้งใจมอง เวลาเราคุยไปเราก็มองตามาร์ก้าไปด้วย ตาเขาเป็นสีฟ้าใสเลย มองแล้วเหมือนเห็นทะเลอะ ใจเย็นแล้วก็สงบเลย เราชอบตาสีฟ้ามากๆ u__u รู้สึกสบายใจมากๆที่จะเล่าหลายๆเรื่องให้เขาฟัง
นึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่สอนวิชาถ่ายภาพ อาจารย์คอยบอกตลอดเลยว่าการที่สั่งให้ไปถ่ายภาพพอร์เทรตหรืออะไรใดๆ อยากให้เราได้ลองไปคุย ไปพบปะผู้คน ให้เรียนรู้เรื่องราวของเขาไปด้วย
มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ ตอนเรียนเรากลับไม่เคยทำแบบนั้นเลย ... แต่สาบานได้นะคะว่าดิฉันมีความสุขกับการถ่ายรูปคอนเสิร์ตมากๆ 55555555555555
เอ้อแล้วก็ตอนถ่ายภาพทีแรกเขาก็ถามว่ามีไอเดียอะไรไหม อาจจะเริ่มจากว่าในกระเป๋าคุณมีอะไร เราก็บอกว่า ไม่มีเลยอะ ไม่เคยเป็นแบบให้ใครเลย แล้วแต่คุณเลยละกัน แต่เราก็เสนอไปว่า หูฟังมั้ย ฉันชอบไปไหนมาไหนคนเดียว มีหูฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่เหงาดีนะ เขาก็บอกว่า ฉันก็ไปไหนมาไหนคนเดียวเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ถ่ายเรากับหูฟังนะ ก๊าก นางบอกว่า อืม..คุณมีผมยาวสีดำที่สวยนะ เราก็ถามว่าคุณอยากให้ฉันแกะยางมัดผมเหรอ นางก็พยักหน้า
แล้วคุณก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวด้วย แบคกราวน์ก็เป็นสีขาว กางเกงสีดำก็ช่วยให้ผมคุณดูยาวลากลงไปอีก น่าจะน่าสนใจดี เพราะฉันไม่อยากถ่ายภาพแนวสะบัดผมแล้ว เคยถ่ายไปบ้างแล้วน่ะ เลยอยากได้อะไรแปลกๆบ้าง
ละเขาก็ให้เราเอาผมบังหน้า เอาผมทำเป็นผ้าพันคอ เอาผมด้านซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายแล้วเอาปลายผมเก็บไว้ในเสื้อ ผมเรางี้ออกมาเป็นวิกเลยจ้า ละหน้าก็โล้นมาก เพราะไม่เขียนคิ้วทาปากใดๆ
ไหนจะให้เอาผมบังหน้าแบบผีอีก 55555555 มีรูปนึงให้เราเอาผมปิดตาข้างนึงแล้วหน้าอีกฝั่งผมก็บัง จนเหลือแค่จมูกกับตา แล้วก็หันมามองกล้องแบบร้ายๆ คือภาพนั้นสวยมาก แต่พอแสกผมเป็นสองฝั่งแล้ว ผมเราบาง ฮือ นางใช้คำว่า ตรงนี้ดู thin เนอะ เจ่บมาก ฮือ ขอโทษนะคะที่นุผมบาง55555555555555
แต่นางดูชอบผมเรามากๆ บอกว่ายาวแล้วก็เป็นสีดำขลับอะไรขนาดนั้น ดีที่เมื่อวานตัดสินใจสระผมก่อนออกจากหอ ... แต่เราก็บอกว่าเพิ่งไปโหนรถเมล์มา ผมยุ่งรุงรังมากเลย นางบอก โน้ววว ไม่เห็นจะยุ่งหรือพันกันเลย สวยมากๆ เราก็บอกเขาว่า เมื่อก่อนยาวกว่านี้นิดหน่อย แต่เพิ่งไปเล็มๆมา นางก็ตกใจ อมก นี่เคยวัดไหมว่าเท่าไหร่ เราก็บอกว่าไม่เคยวัดเลย น่าจะสามสิบเซนต์ไหม เขาก็บอก ไม่ๆ ฟุตนึงแค่นี้เอง ผมคุณน่าจะครึ่งเมตรได้ 55555555555
เราก็ถามว่าคุณเคยไว้ผมยาวแบบนี้ไหม เขาบอกก็เคยนะ แต่ไม่ยาวขนาดนี้ เพราะผมชั้นหยักศก เราก็ถามต่อว่านี่เนเชอรัลรึเปล่า เขาก็บอกใช่ ป้ากับพ่อก็หยักเลยเป็นแบบนี้ เราก็บอกว่า แต่เราอยากมีผมหยักแบบคุณอ่ะ 5555555555555 ต่างคนต่างชอบผมกันและกัน ก๊ากก
เราคุยกับเขานานมากกกกกกกกก แบบน่าจะครึ่งชั่วโมงได้เลย คุยขิงข่าจิปาถะไปทั่วเลย เราก็ถามว่าคุณเริ่มถ่ายภาพเมื่อไหร่ นางก็บอกว่าเข้าเรียนอาร์ตสคูลที่เบอร์ลินตอนปี 2001 เราบอก โอ้ ฉันเกิด 1999 นางก็แบบ โอ้ไม่นะ คุณเพิ่งสองขวบเอง ฮือ นางก็โหยหวน ตร่กอะ 55555555555
แต่รวมๆแล้วก็ราวๆนั้นแหละ สิบปีเลย ใช้เวลาเยอะเหมือนกัน
เราก็เลยกลับมาคิดว่าเออ เราถ่ายรูปก็ไม่นาน เราคงจะเก่งไวขนาดนั้นไม่ได้ ทุกอย่างมันคงใช้เวลาจริงๆแหละ มาร์ก้ายังใช้ตั้งสิบปีกว่าจะมาถึงตอนนี้ได้อะเนอะ
หลังจากนั้นพอถ่ายเสร็จเขาก็บอกว่าชอบหลายภาพอยู่ แต่ต้องไปดูในคอมก่อนว่าโอเคไหม ดูไปนางก็บอกว่า it's weird 5555555555 เราก็บอกว่า ใช่ๆ เวียร์ดจริงแต่ไม่เคยถ่ายแนวนี้เลยอะ ก็เจ๋งดีนะ นางก็บอก ดีใจที่ได้ยินคุณบอกแบบนั้นนะไรงี้
เราก็บอกมาร์ก้าด้วยว่า ไม่เคยเป็นแบบถ่ายรูปให้ใครเลย เลยไม่รู้ว่าจะทำหน้าแบบไหน โพสแบบไหน มาร์ก้าก็ช่วยบอกฉันด้วยนะ เขาก็บอกว่า คุณคงไม่ใช่คนชอบเซลฟี่สินะ นางทำท่าเซลฟี่ให้ดูด้วย โอ๊ย นางน่ารักจริงๆ
เราก็บอกว่า เวลาฉันเซลฟี่ก็มีแต่ทำหน้าอุบาทว์ๆ ฟันนี่เฟซ แบบไลค์อะมีมอะ 5555555555 นางก็เคๆ เก็ทๆ ช่วงที่ถ่ายก็ต้องคอยบอกว่า ซ้าย ขวา มองต่ำ มองกล้องหน่อย ค่อยๆหันมานะ บางช่วงก็ขอจัดผม มีการถามด้วยว่า แคนไอทัชยัวร์แฮร์ เอาเรยค่ะมาร์ก้า เต็มที่ๆ
พอถ่ายเสร็จ เขาก็ให้เราไปเขียนกระดาษที่มีลายเซ็นยอมรับว่าอนุญาตให้ใช้ภาพ แนบคอนแทค แนบอีเมลตั่งต่าง แล้วเขาก็เขียนกำกับว่า Long Hair 5555555555 จำชื่อเล่นเราได้แล้วก็เขียน Yin ถูกด้วยนะ เขาใส่ใจจริงๆอ่ะ ชอบมากๆ ;^; ซึ่งเราคือ no.11 ทั้งวันเขาถ่ายได้แค่ 11 คนอ่ะ คิดดูว่าต้องถ่ายและพูดคุยนานแค่ไหน ใจรักมากๆ ยอมมมมม
แล้วเขาก็บอกว่า แค่นี้ แล้วก็เงินแล้วแต่คุณเลย ทีแรกเราว่าจะให้ไม่เยอะมาก เพราะตังเราก็จะหมด แต่กลายเป็นว่าเรารู้สึกสนุกมากที่ได้มาดูงานนิทรรศการภาพถ่ายอันนี้
เราเลยใส่ไปร้อยนึง ถือว่าแลกกับการได้ชมภาพงานของเขา ได้แลกเปลี่ยนความคิดผ่านบทสนทนาดีๆ ได้ถ่ายภาพ ก็โอเคอ่ะ มีความสุขดีนะที่ได้คิดว่าบางครั้งเราก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะได้แค่เรากล้าที่จะคุยกับเขาอ่ะ เป็นวันเสาร์ที่ดีมากๆเลย เพราะใครจะคิดว่าอยู่ดีๆก็จะได้ถ่ายรูป(อาสา)เป็นแบบให้กับช่างภาพต่างชาติอ่ะ
ก่อนจากกันก็เราก็บอกว่า It was so nice to meeting and talking to you. แล้วก็หวังว่าจะได้ดูงานและโปรเจคอื่นๆของคุณอีกนะ มาร์ก้าก็บอกว่า ขอให้คุณโชคดีกับเรื่องเรียนด้วยนะ แล้วเราก็บ๊ายบายกันค่ะ
และเช้าวันถัดมา สายๆมาร์ก้าก็ส่งภาพมาให้เราค่ะ
นี่คือภาพที่มาร์ก้าเลือกให้เรา ไม่เห็นหน้านุเรยจ้าแม่ 55555555555555 แต่ก็เอาเถอะ เห็นหน้าแล้วเดี๋ยวภาพไม่คูล เพราะชั้นหน้าเป็นภัยต่อสังคม กรั่กๆ แต่ไฟล์ภาพเล็กมากๆอะ ร้อยสี่สิบเคบีนิดๆ อยากได้ชัดกว่านี้หน่อย ;^; แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ดีๆค่ะ รูปไร้หน้าของเราอาจจะได้ไปโผล่เป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการภาพถ่ายของมาร์ก้าในสักประเทศบนโลกใบนี้ อุวะฮ่าฮ่า
เราชอบมากเลยที่เขาสามารถดึงเอกลักษณ์ของตัวบุคคลออกมาได้จากการคุยเล็กๆน้อยๆก่อนถ่ายภาพ แล้วก็สามารถดึงจุดเด่นทางกายภาพหรือเรื่องราวในจิตใจออกมาได้ดีมากๆอ่ะ
ดีมากเลยที่แค่เรากล้าคุยกับคนอื่นๆแล้วเราจะได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจ จากทั้งตัวมาร์ก้าเองแล้วก็พี่สาวคนนั้นที่คุยเป็นเพื่อนเราก่อนถ่ายรูปด้วย ฮี่ ขอบคุณทั้งสองคนมากๆเลยค่ะ TvT
บางทีการที่เราคิดว่าไม่ได้คิดว่าจะไปดูหรือไปทำอะไรจริงจัง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันน่าสนใจและเกินความคาดหมายและเป็นความทรงจำที่ดีขนาดนี้เนี่ย เราว่ามันก็มหัศจรรย์เหมือนกันนะ
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านเรื่องราวเสียยาวเหยียด ฝากติดตามบล็อกและเพจเราเองด้วย แค่กๆๆ ขายแป๊บ
The Patnakan ไม่ค่อยได้อัพอะไรเท่าไหร่แต่ก็ยังจะขาย..ความหน้าด้านนี้หนอ
ฝากติดตามผลงานของมาร์ก้าด้วยค่ะ
ตามอินสตาแกรม @Maydenberg ไปได้เลย บนเฟซบุ๊กก็ชื่อ
Meydenberg เหมือนกันค่ะ
ส่วนที่เป็นเว็บไซต์รวบรวมภาพค่ะ สวยมากๆ ทั้งภาพสตรีทแล้วก็ภาพอนาล็อกที่มาร์ก้าถ่ายไว้ค่ะ คลาสสิคมากๆ สำหรับวันเนร้ ขอบคุณและสวัสดีค่าาาา
อ่านตรงช่วงที่อาจารย์แนะให้เขาไปเรียนอย่างอื่นแล้วนึกถึงตัวเองเลย พี่ก็เคยโดนอะไรแบบนี้มาตอนช่วงปีแรก ๆ แต่มาคิดถึงตอนนี้ จาก 100 % ของสิ่งที่เราเรียนอยู่ มันอาจจะเป็นส่วนที่เราชอบจริง ๆ สัก 40 % ก็ได้ แต่เปอร์เซ็นต์แค่นั้นก็อาจจะทำให้ในอนาคตข้างหน้าพัฒนาไปทีละนิดเป็น 45% 50% 60% ในอนาคต พี่เองก็ชอบที่น้องหยินเลือกที่จะสู้ต่อกับสิ่งที่เราชอบ เป็นกำลังใจให้นะคะ อ่านสนุกมาก ชอบที่เขาพยายามชวนเราคุยจัง เป็นนักแรงบันดาลใจได้เลยนะเนี่ย