“ย่างเข้าเดือนกรกฎาคม ถึงเวลาเตรียมรองเท้าบู๊ต เสื้อกันฝน และร่มให้พร้อมแล้วค่ะ หลังจากอากาศร้อนอบอ้าวมาหลายวัน วันนี้คาดว่าในเขตตัวเมืองจะมีเมฆหนา ฝนฟ้าคะนองกระจายไปจนถึงตกหนักตลอดทั้งวัน อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 26 องศา ต่ำสุดอยู่ที่ 18 องศา อย่าลืมดูแลร่างกายและวางแผนการเดินทาง รวมถึงทำร่างกายให้อบอุ่นไว้นะคะ...”
ผมบ้วนปาก เก็บแปรงสีฟันเข้าที่ อาบน้ำแต่งตัว จัดผมเผ้าที่กระดกจากการนอนที่หน้ากระจก ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้สะพายหลัง ไม่วายเหลือบมองนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้าและบรรยากาศดูราวกับเวลาเดินช้าไปสองชั่วโมง ฝนฟ้าคะนองกระจายไปจนถึงตกหนักตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าสาวพยากรณ์อากาศไม่มีทางพลาดสัญญาณธรรมชาติโจ่งแจ้งขนาดนี้ไปได้ ยังไม่นับเสียงฟ้าร้องครืนที่ผมได้ยินกับหูและกลิ่นความชื้นหนาหนักที่ลมหอบมาแรงขึ้นมาทุกขณะ ผมว่าสำนวน “พายุกำลังจะมา” ออกจะธรรมดา แต่พอพูดแล้วฟังดูเท่ดี
ร่มส่วนตัวของผมยังอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าแฝดคนละฝาของมันได้กลับบ้านหรือยัง
ผมล็อกประตูบ้าน มือไม้เปล่า ก้าวเท้าเดินไปสู่มวลเมฆที่ถูกตึกระฟ้าและหลังคาบ้านบดบัง รู้สึกภูมิใจเล็กๆ เหมือนเด็กที่ริลองสูบบุหรี่มวนแรกก่อนจะสำลักควัน
ครับ ผมไม่ได้พกร่มออกจากบ้าน อย่างที่บอก มันเกะกะ
แน่อยู่แล้วครับว่าฝนต้องตกลงมา
___________________________________
ป้ายรถเมล์ทั้งเล็กทั้งแคบเป็นที่กำบังลมฝนชั่วคราว คนเบียดเสียดกันใต้หลังคาลาดที่น้ำฝนไหลหลั่งลงมาเหมือนม่านน้ำตก กระเถิบถอยละอองน้ำที่กระเซ็นจากพื้น ผมมีแค่เสื้อแจ็กเก็ตคลุมหัว เสื้อเชิ้ตเปียกชื้นถึงผิวกาย และรองเท้าชุ่มโชกจนถุงเท้าประสบอุทกภัยฉับพลัน รู้ดีว่าสภาพตัวเองน่าอเนจอนาถใจเพียงใด แต่ผมก็ไม่วายรู้สึกได้รับการปลอบประโลมใจจากผู้ร่วมทางเคราะห์ร้ายที่ติดแหง็กอยู่ร่วมกาลเวลาและสถานที่ หมายถึงพวกเขานะที่โชคร้าย ส่วนผมก็แค่มีแนวโน้มชอบหาเรื่องทำลายตัวเอง
ไม่ไปทำงานได้ไหมวะ ผมคิด คำตอบคือไม่ได้หรอก ทุกคนรู้ว่าผมรอบคอบถึงขั้นมีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนเวลาทำงานข้ามวันข้ามคืน แค่ฝนตกนั้นจิ๊บจ๊อยนัก ผมไม่เคยไปทำงานสาย ผมไม่เคยขาดงาน
รถเมล์มาถึงพอดี ฝูงชนกรูกันขึ้นไปมากกว่าจะลงมา หลายคนคงยอมโดยสารไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนด้วยซ้ำ ผมชั่งใจ ด้วยที่ว่าเกลียดการแนบชิดกับคนแปลกหน้าตัวอับชื้นบนรถและบนถนนลื่นๆ และระหว่างที่ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้นเอง เขาก็ก้าวลงมา รถเมล์เคลื่อนจากไปเมื่อผู้โดยสารคนสุดท้ายรอดพ้นจากชะตากรรม
เขากางร่มเมื่อเท้าแตะถึงพื้น วันนี้ร่มสีแสด อย่างกับเยาะเย้ยฟ้าดิน
พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ เราถึงได้สบตากัน ผมจ้องหน้าเขา หวังว่าจะได้เห็นเบาะแสความเคยคุ้นค่อยๆ เผยออกมาบนสีหน้าเรียบเฉยและผิวขาวราวกระเบื้องสมัยราชวงศ์โบราณ ดวงตากลมโตคู่นั้นไม่บ่งบอกสิ่งใด อารมณ์ความรู้สึกเดียวที่เขาแสดงออกมาน่าจะผ่านการเหลียวหลังสั้นๆ คล้ายจะตรวจสอบว่าผมมองใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า ก่อนจะหันมาจ้องผมตาแป๋วอีกครั้งหลังพบว่าไม่มีใคร
เดินไปสิ ผมคิด ถ้าเขาเดินจากไปตามทางที่มุ่งหมายไว้ ผมอาจตัดใจเดินไปตามเส้นทางที่เดินมาเป็นพันๆ ครั้งเหมือนกัน เพราะการพูดว่า “คุณจำผมไม่ได้เหรอครับ” มันไม่เท่เอาเสียเลย
“ไปร้านกาแฟกันไหมครับ” ประโยคนี้ไม่เท่ยิ่งกว่าอีก แต่ผมก็พูดไปแล้ว “ไปเอาร่มของคุณคืน ไม่สิ ขอยืมร่มคุณไปยืมร่มอีกคันของคุณที่ร้านกาแฟหน่อยครับ”
ผมคิดว่าเขาคงฟังไม่ทัน คำพูดแบบนั้นฟังดูสิ้นหวังสิ้นดี ถ้าผมเป็นเขา คงอยากเอาร่มฟาดหน้าสักทีสองทีแล้วรีบหนีไปให้ไกล
“ครับ” เขาตอบ คำพยางค์เดียวหนักแน่น ท้ายเสียงไม่ตวัดเป็นคำถาม
___________________________________
“ทำไมวันนั้นถึงให้ร่มผมมาล่ะครับ”
ระหว่างทางดูเงียบจนน่ากระอักกระอ่วนเกินไป ผู้ชายตัวไม่ใช่เล็กๆ สองคนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน ผมอาสาคลุมร่มให้เราทั้งคู่ คอยระวังทุกย่างก้าวไม่ให้เหยียบแอ่งน้ำจนกระเด็นเปื้อนหรือเผลอเดินนำหน้าเขา ระยะทางไปยังร้านกาแฟไม่ได้ไกล แต่การเดินไปพร้อมชายลึกลับทำให้เวลายาวนานเป็นสองเท่าอย่างพิลึก
“รู้สึกผิดน่ะครับ” เขาตอบ
ทุกอย่างเกี่ยวกับหมอนี่พิลึกไปหมด
“ทำไมต้องรู้สึกผิดล่ะครับ”
บอกว่ารู้สึกสงสาร เห็นใจ หรือ “บ้านผมอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องใช้ร่มหรอก” เสียยังจะเข้าท่ากว่า ต่อให้เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักสะสมร่มที่มีร่มใช้เหลือเฟือ ไม่ก็ไปขโมยร่มคนอื่นมาใช้แก้ขัดเหมือนกัน ผมก็ยังเชื่อ จะมีเหตุผลอะไรให้รู้สึกผิดได้อีก
“คุณไม่ได้เป็นคนทำให้ฝนตกสักหน่อย” ผมเสริม
แน่ล่ะ ตอนนั้นผมยังไม่รู้นี่
เขาไม่ได้ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงพ่นลมหายใจขำเบาๆ จนต้องเหลือบไปมอง ตาไม่ได้ฝาด เหมือนเขาจะยิ้มให้เห็นเป็นครั้งแรก เหมือนฝนจะซาลงหน่อยหนึ่ง
___________________________________
เขาสั่งช็อกโกแลตมิลค์เชค ผมสั่งอเมริกาโนร้อนใส่แก้วกลับไปหนึ่งที่
ชายลึกลับนั่งที่เดิมตรงเคาน์เตอร์ ภาพเดียวกับค่ำคืนนั้นไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่เปลี่ยนกลางดึกที่ฝนพรำเป็นเวลาเก้าโมงเช้าที่ฝนซา เขาไม่ยอมบอกชื่อผม อันที่จริงก็คือลากเสียง “อืม” เสียยาวเหมือนกำลังครุ่นคิดชื่อปลอมซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ผมแนะนำตัวไปตามมารยาท เขาตอบรับแค่ว่า “ครับ”
ถึงตรงนี้คุณคงอยากบอกให้ผมเลิกล้ม ให้คิดถึงความเป็นจริงสักหน่อย คนคนนี้หากไม่เพี้ยนก็อาจไม่อยากรู้จักมักคุ้นกับผม ถ้าแตะมากไปเกรงว่าจะดูคุกคาม ผมไม่ควรแต่งเติมชีวิตจืดชืดที่แต่ละวันเคลื่อนผ่านไปพร้อมกับแก้วกาแฟใช้แล้วทิ้งด้วยคนแปลกหน้าท่าทางไม่ปกติ
ผมควรกลับไปทำงานและย้อนกลับบ้านเวลาที่ทุกคนเข้านอนเช่นทุกวัน
“ฝนตกไม่หนักแล้ว คงไม่ต้องใช้ร่มคุณแล้วล่ะครับ” ผมชี้ไปที่ร่มไร้บ้านคันนั้น “อย่าลืมรับกลับไปนะครับ ขอบคุณมากที่ให้ยืม”
สายฝนลดรูปเป็นแค่ละอองบางเบาตอนที่ผมออกจากร้านมา แทนที่จะมุ่งหน้าไปยังสำนักงาน ผมเดินกลับบ้านและโทรไปลางานหนึ่งวัน
ชอบตอนนี้มากเลยค่ะคุณกิ๊บ! ? ชอบความรู้สึกผิดเลยแจกร่มของคุณเทพด้วย แง น่ารักมาก ๆ เลยค่ะ T^T คาแรกเตอร์คุณเทพน่าเอ็นดูมากจริง ๆ เอ็นดูเหลือเกินฮืออ