เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FULL-TIME DIRECTOR, PART-TIME LOSERSALMONBOOKS
CHAPTER 1: LIFE CHANGING JOURNEY


  • “ไหนน้องลองลูบหน้าอย่างคนที่มีสุขภาพผิวดีซิ”

    ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามบอกผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เธอน่าจะมีอายุมากกว่าผมหลายปี ท่าทีดูเข้มงวดและเอาจริงจนน่าสะพรึง เดาจากสีหน้า ตอนนั้นเธอน่าจะคิดทำนองว่า “ไอ้แว่น มึงทำตามที่กูรีเควสต์เดี๋ยวนี้”

    “ทำไงเหรอครับพี่” ผมถามเธอด้วยท่าทีเหวอๆ

    คงเพราะตอนนั้นสภาพผมดูโง่และไปไม่เป็นสุดๆ เธอเลยบอกให้ทำตาม

    “น้องทำมือห่อๆ เหมือนจับเมาส์นะ แล้วลูบไปที่ข้างแก้มอย่างแผ่วเบา ไหลลงมาเรื่อยๆ ไหลไปที่ปลายคาง ระหว่างนั้นน้องก็ค่อยๆ บิดมาใช้หลังมือลูบ พร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย” เธอพูดจบพร้อมเงยหน้าค้างไว้

    ผมทำตามที่เธอบรรยาย ค่อยๆ ไล่มือตามสเต็ป ขณะถูกสายตาของเธอมองอย่างนิ่งๆ

    ลองนึกภาพคุณกำลังลูบไล้ผิวหน้าเหมือนในโฆษณาโฟมล้างหน้าอยู่ดีๆ แล้วหันไปเห็นใครไม่รู้กำลังจ้องมาที่คุณดูสิครับ บอกได้เลยว่าโมเมนต์นั้นแม่ง awkward สัสๆ ผมคิดในใจตลอดเวลาว่ากูกำลังทำอะไรอยู่และกูทำไปทำไมวะเนี่ย

    แต่ผมก็ยังลูบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมือลงมาถึงปลายคางและเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เราทั้งคู่นั่งมองหน้ากันนิ่งๆ บรรยากาศในห้องเงียบสนิท สักพักเธอพูดว่า “โอเค ฝึกไว้ ถ้าน้องผ่านเข้ามาได้คงต้องทำแบบนี้อีกบ่อยๆ สวัสดีค่ะ”

    ผมเดินออกจากห้องประชุมเล็กๆ ของบริษัทโปรดักชั่นโฆษณาแห่งหนึ่ง ด้วยเสียงกระซิบเล็กๆ ที่ดังวนอยู่ในหัว
  • “What the fuck!”
    “What the fuck!!”
    “What the fuck!!!”
    นี่แหละครับ การสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตของผม

    ขอย้อนกลับไปสักเล็กน้อย

    หลังเรียนจบสาขาวิชาภาพยนตร์และภาพนิ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้หกเดือน ผมเป็นคนสุดท้ายในรุ่นที่ยังไม่มีงานทำ (แปลง่ายๆว่าตกงานนั่นแหละ) พวกเพื่อนๆ เขาเป็นฝั่งเป็นฝากันไปเรียบร้อย บางคนเข้าทำงานในบริษัทโฆษณา บางคนได้ไปอยู่ค่ายหนัง และบางคนเลือกเบนทิศไปทำงานออฟฟิศเลยก็มี (ลาก่อนชีวิตฟิล์มเมกเกอร์)

    ส่วนผมตอนนั้นค่อนข้างงงกับอนาคตตัวเอง ยังปรับตัวไม่ได้กับช่วงเปลี่ยนผ่านจากในรั้วสถาบันสู่โลกภายนอก ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกเส้นทางไหนให้กับชีวิต เพราะดันเป็นคนจับฉ่ายตั้งแต่สมัยมหา’ลัย ที่ถึงแม้จะเรียนหนัง ชอบดูหนัง รักการทำหนังและชอบศึกษาศาสตร์แห่งภาพยนตร์ แต่ก็ยังปันใจไปทำอย่างอื่น เช่น ไปเวิร์กช็อปวงการโฆษณา ตอนฝึกงานก็ดันไปทำนิตยสาร หรือตอนทำธีสิสก็เสือกถ่ายรูปส่งอาจารย์ ความสะเปะสะปะเหล่านี้ทำให้สกิลติดตัวผมไม่ต่างอะไรกับเป็ด ประมาณว่าให้ทำอะไรทำได้ แต่เก่งหรือเปล่านั้นอีกเรื่อง

    และเป็ดอย่างผม ก็ต้องมาขึ้นเขียงเอาตอนเรียนจบนี่แหละ

    มันเบลอมากนะครับ เพราะนี่ก็อยากทำ นั่นก็อยากลอง โน่นก็อยากลุย สภาพเหมือนเดินเข้าฟู้ดคอร์ตใหญ่ๆ แต่เลือกไม่ได้ว่าจะกินร้านไหนดี
  • อย่างว่าแหละครับ พอได้ลองทำหลายอย่าง ก็เลยรู้ว่าแต่ละอันมันมีเรื่องสนุกและน่าปวดกะโหลกอย่างไรบ้าง ยิ่งข้อมูลดิบเยอะ ก็ยิ่งทำให้การประมวลผลช้าลง ซึ่งพอตัดสินใจไม่ได้
    สักทีก็เลยคิดว่าหรือจะลองมี gap year แบบฝรั่งเขาดี ไปเดินทางตามหาความหมายของตัวเองที่ต่างแดน เผื่อจะได้ค้นพบนิยามของคำว่า ‘ชีวิต’

    ฟังดูเข้าท่า ผมเอาไอเดียนี้ไปปรึกษาบุพการี

    เบ๊น: “แม่ครับ เบ๊นอยากจะออกเดินทางท่องโลกสักหนึ่งปี เบ๊นเรียนในห้องมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว อาจถึงเวลาที่เบ๊นต้องออกไปเจอชีวิตจริงข้างนอกบ้าง เบ๊นเบื่อเหลือเกินกับสังคมวัตถุนิยมที่คอยกรอกหูให้เราหลงทางไปกับเรื่องปลอมเปลือกภายนอก เบ๊นเชื่อว่าบางทีการได้อยู่กับตัวเองบ้างก็ทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของเราเองชัดขึ้นเหมือนกันนะครับแม่”

    แม่: “ก็ไม่ผิดที่เบ๊นจะคิดอย่างนั้นหรอกลูก แต่ถ้าถามแม่ แม่คงบอกว่า เลิกเพ้อเจ้อ ไปสมัครงาน และเริ่มทำมาหาแดกได้แล้ว อีสัส”

    โอเค ถือว่าแผนการท่องโลกของผมจบไป ลืมไปเลยว่าอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา อย่าได้ฝันว่าจะมี Life Changing Journey ชิคๆ อย่างเขาเลย
  • เมื่อความฝันจะออกเดินทางแหลกสลาย ผมเลยประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ของคนว่างงานด้วยการอยู่บ้าน ตารางชีวิตช่วงนั้นคือ ตอนเช้านั่งจิ้มเว็บไซต์หางาน ต่อด้วยสุ่มโทร.หาเพื่อนและรุ่นพี่ เพื่อหาเส้นสายคอนเนคชั่น ตอนบ่ายนั่งอ่านหนังสือที่คั่งค้างจากงานหนังสือเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนเย็นออกไปเล่นกับหมาในสวนหลังบ้าน พอตกดึกก็นั่งดูหนังเรื่อยเปื่อย วนๆ อยู่อย่างนั้น จนเมื่อวัฏจักรว่างงานย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ก็ราวกับว่าผมจะค้นพบสัจธรรมอย่างหนึ่งคือ เราอยากอยู่เฉยๆ ก็ต่อเมื่อมีอะไรต้องทำ เช่น เราอยากหยุดยาวๆ สมัยเรียน เราอยากนอนอยู่บ้านในวัยทำงาน แต่พอไม่มีอะไรตรงหน้าให้ได้ทำจริงๆ ความว่างมันก็ไร้ความหมายทันที

    อาห์ กลายเป็นความเคว้งที่ทำให้ใจคว้างอีกต่างหาก

    จากที่เหมือนจะชิลในช่วงแรก ผมเริ่มคิดมาก ตั้งคำถามหาคุณค่าของตัวเองอยู่ในห้องนอนแคบๆ แถมยังเริ่มนอยด์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป เมื่อเพื่อนนัดรวมกลุ่ม แล้วพวกมันมีเรื่องการงานในบริษัทมาเล่าเต็มไปหมด

    “งานกูหนักมาก แต่แม่งสนุก”

    “เข้ เจ้านายกูบ้าระห่ำสัสๆ”

    “เชี่ย กูเอาเงินเดือนก้อนแรกให้แม่หมดเลยว่ะ รู้สึกดีฉิบหาย”

    บ่นกันบ้าง โม้กันบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีอะไรมาแชร์ ต่างจากผมที่ได้แต่นั่งหัวเราะหึหึตามน้ำ เพราะยังไม่ได้เข้าสู่วัยทำงานกับเขาเลย ภาระหน้าที่ในชีวิตอย่างเดียวคือ ให้อาหารและเกาพุงหมา อาห์...

    “เออเบ๊น มึงว่างๆ อยู่ ลองมาสมัครบริษัทกูมั้ย วงในบอกว่ามีทีมหนึ่งกำลังว่างอยู่”

    เผอิญเพื่อนคนที่ชวนอยู่บริษัทโปรดักชั่นเฮาส์โฆษณาระดับท็อปของวงการ ผมเลยสนใจขึ้นมาทันที

    “เอาดิมึง”
  • “แต่ว่า...”

    “อะไรวะ”

    “ตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับที่ว่างอยู่ มันอยู่ในทีมหนังบิวตี้นะ ทำโฆษณาผมสวย ผิวดี รักแร้ขาวอะไรพวกนี้ อาจไม่ใช่ทางมึงเปล่าวะ”

    “ช่างแม่งเหอะ กูอยู่บ้านเบื่อละ ขอทำไปก่อน ถึงจะเป็นหนังโฆษณารักแร้ขาว แต่แม่งก็หนังเหมือนกันนั่นแหละ มันจะแย่สักแค่ไหนกันเชีย...”

    ตัดภาพมา

    “ไหนน้องลองลูบหน้าอย่างคนที่มีสุขภาพผิวดีซิ”



    “What the fuck!!!!”

    หลังเหตุการณ์ลูบหน้าแบบคนสุขภาพผิวดีผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ ก็ได้ข้อสรุปว่าผมไม่ผ่านการคัดเลือก คุณพี่ผู้หญิงคงเห็นแหละว่า อีแว่นนี่ไม่น่าจะมีใจมาทำหนังโฟม-ล้างหน้า ครีมอาบน้ำ หรือโรลออนของกูแน่ๆ

    เอาจริงตอนนั้นผมก็ผิดหวังเหมือนกันนะที่เขาไม่รับเข้าทำงาน รู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธศักยภาพ แต่พอมองย้อนกลับไปจากทุกวันนี้ก็พบว่า มันเป็นโชคดีของผมแล้วล่ะ เพราะงานกองถ่าย (ไม่ว่าจะหนังหรือโฆษณา) นี่มันหนักหนาสาหัสจริงๆ นอนโคตรดึก ตื่นเช้าฉิบหาย ทำงานแข่งกับเวลาแบบนาทีต่อนาที เครียด กินข้าวไม่ตรงเวลา ตากแดดวันละหลายชั่วโมง นอกจากนั้นยังกังวลกับปัญหาเฉพาะหน้าอีกร้อยแปด ฯลฯ เรียกว่าเราต้องอยู่กับทุกปัจจัยที่ทำให้ชีวิตตัวเองสั้นลง

    ซึ่งถ้าเราต้องมาอายุสั้นเพราะโฆษณารักแร้ขาว แม่งก็น่าเศร้าเกินไปนะครับ

    แน่นอน หนังโฆษณาพวกนั้นไม่ผิด แต่มันแค่คนละแนวกับตัวผม มีคนที่ถนัดและทำมันได้ดีกว่าผมแน่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาไปดีกว่า
  • ตัดกลับมาสู่ช่วงเคว้งคว้างกันต่อ

    ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านอาจบ่นว่า ไอ้เชี่ยแว่น เส้นทางการทำหนังของมึงนี่มันเริ่มต้นช้าจริงๆ แต่แล้วในบ่ายวันหนึ่ง ขณะกำลังนอนผึ่งผายอยู่บนเตียง พลางเกาตูดอย่างเพลิดเพลิน (บอกทำไม) ผมเห็นประกาศในนิตยสาร BIOSCOPE เป็นกรอบเล็กๆ สั้นๆ แจ้งข่าวว่า พี่เจ้ย—อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล กำลังจะสร้างภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ และต้องการรับสมัครผู้ช่วยผู้กำกับ หากสนใจให้ส่งอีเมลมาที่... บลา บลา บลา

    อ่านจนถึงบลาที่สาม ผมก็ตาลุกวาว เฮ้ย! สวรรค์มาโปรดกูแล้ว!!!

    ผมพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ แล้วหันมาอธิบายกับคุณผู้อ่านว่า สำหรับชาวเด็กฟิล์ม พี่เจ้ยเป็นเหมือนทวยเทพของเรา และทุกคนต้องเคยดูงานของแก ถึงจะอึนบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังของเขามีเอกลักษณ์และภาษาเฉพาะตัว ควรค่าแก่การศึกษาสักครั้งในชีวิต พี่เจ้ยเป็นนักทำหนังไทยที่ทั่วโลกต่างยอมรับ และมีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ทั้งโลก แถมในยุคนั้น แกโคตรฮอตครับ หนังเรื่อง สัตว์ประหลาด เพิ่งไปคว้ารางวัลที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ หรือเรื่องต่อมาอย่างแสงศตวรรษ ก็เดินสายฉายไปทั่วโลก ได้รับการจัดอันดับให้เป็นภาพยนตร์แห่งยุคสมัยจากนักวิจารณ์หลายชาติหลากสำนัก (ส่วนกองเซ็นเซอร์บ้านเราดันแบนไม่ให้ฉาย เนื่องจากมีฉากพระเล่นกีตาร์ จบ เจริญพร...)
  • แล้วดูสิ อยู่ๆ เขามาตามหาคนร่วมงานในจังหวะที่เราว่างพอดี อะไรมันจะเพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้!

    แต่ว่าก็ว่าวะ...โอกาสจะได้เข้าไปทำงานกับทวยเทพมันน่าจะน้อยแสนน้อย คงต้องไปแย่งกับคนอีกหลายร้อย โอ้ ชีวิต

    ผมส่งใบสมัครและแนบผลงานไปตามอีเมลที่อยู่ในประกาศ ในใจไม่ได้หวังอะไรมาก แค่เขาเรียกไปสัมภาษณ์ก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยจะได้เอาดีวีดีไปให้แกเซ็น...

    ปรากฏว่าสองสามวันต่อมา พี่หนู—ผู้ช่วยพี่เจ้ย โทร.มาเรียกไปสัมภาษณ์จริงๆ!

    วันรุ่งขึ้น ผมออกจากบ้านแต่เช้าไปสัมภาษณ์งานที่บ้านพี่เจ้ยแถวลาดพร้าวซอยต้นๆ ยังจำบรรยากาศวันนั้นได้ดีว่า เดินเข้าไปในซอยโคตรลึก โคตรซับซ้อน (คิดในใจว่า เออ จอมยุทธต้องแบบนี้สิ เก็บตัวอยู่ไกลๆ) พอไปถึงหน้าบ้านพี่เจ้ยตามที่อยู่ ใจผมนี่เต้นรัวๆ ตอนกดออดนี่รู้สึกเลยว่า เหงื่อออกจนฉ่ำฝ่ามือ นี่สินะ ความรู้สึกของการเข้าเฝ้าทวยเทพ

    สักพัก ผมมองลอดรั้วเข้าไปก็สังเกตเห็นว่า มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวเรียบง่าย รูปร่างปานกลาง ค่อยๆ เดินออกมาอย่างสุขุม ทุกฝีก้าวมั่นคง รอบคอบและถี่ถ้วน ผู้ชายคนนั้นเดินมาถึงประตูและค่อยๆ เปิดออก

    ซึ่งเขาเป็นใครก็ไม่รู้...
  • “มาหาใครครับ”

    “เอ่อ มาหาพี่เจ้ยครับ...”

    “อ๋อ พี่เจ้ยไม่อยู่”

    เอ้าาาาาาา สัสสสสสสส อุตส่าห์พกดีวีดีมา

    “มาสัมภาษณ์งานใช่มั้ย พี่หนูรออยู่แล้ว”

    “เอ่อ ใช่ครับ”

    ผมเดินตามพี่เขาเข้าไป (ทราบภายหลังว่าเป็นพ่อบ้านของพี่เจ้ย) สวัสดีพี่หนูที่เดินออกมาทักทาย จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งคุยกันในห้องทำงานข้างๆ สวนหย่อมหน้าบ้าน

    บทสนทนาในวันนั้นเรียบง่ายและกระชับได้ใจความ พี่หนูเล่าให้ฟังว่า พี่เจ้ยจะทำหนังเรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ และกำลังตามหาผู้ช่วยผู้กำกับสอง (ผู้คอยบรีฟงานให้ฝ่ายต่างๆ แทนผู้กำกับ) หรือไอ้ตำแหน่งที่ผมมาสัมภาษณ์นี่แหละ ส่วนผมก็เล่าผลงานที่เคยทำที่มหา’ลัยให้ฟังไล่ไปทีละชิ้น ทั้งงานหนังสั้น โฆษณา ภาพถ่าย หรือนิตยสาร โม้ไปจนหมดเปลือก ไหนๆ เราก็ได้โอกาสมาสัมภาษณ์ทั้งทีแล้ว พี่หนูพยักหน้าหงึกๆ รับฟัง มีสอบถามรายละเอียดบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นจนทำให้ผมมั่นใจได้เลยว่า เชี่ย กูได้งานชัวร์ๆ

    เป็นเพียงบทสนทนาเรียบง่ายและแสนธรรมดาในบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง

    ช่างเป็นการสัมภาษณ์งานพี่เจ้ยที่บรรยากาศเหมือนหนังพี่เจ้ยจริงๆ...
  • หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป

    “สวัสดีค่ะ พี่หนูนะคะ เบ๊นมาเริ่มงานวันจันทร์หน้าเลยนะ”

    “เอ้า!!??”

    “อ้าว ทำไมเหรอ ได้งานอื่นแล้วเหรอคะ”

    “ป...เปล่าครับ (ตื่นเต้นเสียงสั่น) กำลังงงว่าผมได้งานได้ยังไง”

    “อ้าว แล้วอยากทำมั้ยล่ะคะ”

    “อยากดิพี่! เจอกันครับ ขอบคุณมากค้าบบบบ”

    “โอเค เจอกันค่ะ”

    จบ

    ผมวางสายนิ่งๆ

    ตอนนั้นถ้าเราคุยกันทางเฟซบุ๊ค ผมคงส่งอีโมจิไปหาแกว่า T ^ T สัก 18 รอบ

    What the fuck! นี่เรากำลังจะได้ทำงานกับผู้กำกับระดับโลกเหรอเนี่ย

    Life Changing Journey ของจริงเลยมึง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in