เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Random postshashine_miharu
วิ่ง

  •         เด็กหญิงคนหนึ่งผมสั้นประบ่า พวงแก้มสีแดงระเรื่อ เจ้าของเสียงหัวเราะใสกังวานและเสียงฝีเท้าซอยถี่ เธอวิ่งแซงผมไป ทิ้งไว้เพียงลมที่พัดผ่านใบหน้าของผม ผมวิ่งตามแผ่นหลังของเธอที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนถึงเส้นชัยที่เราตกลงกันไว้ เธอยิ้มร่าพลางโบกมือให้เมื่อเธอไปถึง

            นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของผมเอง ถ้าเธอรู้ว่าผมทำแบบนี้คงโดนโกรธแน่ ไม่ใช่ว่าเธอวิ่งเร็วมากจนเอาชนะไม่ได้ และเธอก็ไม่ได้วิ่งช้าขนาดที่ผมจะต้องอ่อนข้อให้มากมาย แต่ถึงอย่างไร ผมก็พยายามทำให้เธอไปถึงจุดหมายได้ก่อนเสมอ ไม่ว่าจะแข่งกันรอบไหน จนกระทั่งเราโตเกินกว่าที่จะเล่นอะไรแบบนี้

            วันเวลาผ่านไปจนพวกเราเติบโตขึ้น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือตัวผมที่ยังวิ่งตามแผ่นหลังของเธอไป เธอได้พบหลายสิ่งระหว่างทาง บางสิ่งทำให้เธอวิ่งได้เร็วขึ้น บางสิ่งก็ทำให้เธอสะดุดล้ม 

             ดังเช่นวันนี้ ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ ทำให้เธอเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ทันทีที่ทราบข่าวผมก็รีบมาหาเธอเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

             เธอดูเหมือนตัวเล็กลง ดูเปราะบางจนอาจบุบสลายได้แม้เพียงสัมผัสเบาๆ ใบหน้าและร่างกายทรุดโทรมลงเพราะปราศจากการดูแล รอยยิ้มสดใสที่เคยมีไม่ปรากฎให้เห็นอีก
             
             ผมกอดร่างเล็กนั้นพลางลูบผมของเธอเบาๆ เธอสะอื้นจนตัวโยน เสื้อผมเป็นรอยเปียกด้วยน้ำตาของเธอ  หลายครั้งเธอนั่งอยู่เฉยๆ เหม่อลอย และน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบงัน ผมคอยซื้อข้าวมาให้ พาเธอไปนู่นไปนี่ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ จนรอยยิ้มของเธอกลับคืนมาในที่สุด

             เธอยุให้ผมหาใครมาอยู่ข้างๆ เธอบอกว่าเพราะมัวแต่อยู่กับเธอ ผมจึงไม่มีใครมาดูแลสักที บางครั้งผมจึงวิ่งไปในทางแยก ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่ทางเส้นเดียวกัน แต่ก็เป็นทางที่ขนานกับเส้นทางที่เธอวิ่ง และผมไม่เคยวิ่งไปไกลเกินหน้าเธอ

             ความรู้สึกที่มีต่อเธอคืออะไร ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ใจตัวเอง ผมเฝ้ามองผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอแล้วก็จากไป ทิ้งรอยน้ำตาไว้บนแก้มเธอ จนเธอกลับมาสดใสเหมือนเดิม แล้วก็มีผู้ชายคนอื่นเข้ามา แล้วเหตุการณ์คล้ายๆ เดิมก็วนมาอีก

            ผมไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในวัฏจักรนั้น

            ผมจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าวิ่งตามหลังเธอต่อไป อันที่จริง ผมอาจจะเป็นแค่คนขี้ขลาดก็ได้ 

            คนขี้ขลาดที่ยึดติดและไม่กล้าทำอะไรเพื่อขยับความสัมพันธ์ระหว่างเรา ผมกลัวว่าหากแตะต้องมันแม้เพียงนิด ทุกสิ่งทุกอย่างอาจพังทลายลง 
           
            ผมกลัว กลัวว่ารอยยิ้มที่ผมเคยได้รับมาตลอดนั้นจะไม่มีให้ผมเห็นอีกต่อไป 
          
            เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ..

            อาจเพราะว่าผมเคยชินกับการตามหลังเธอหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เธอจึงวิ่งไปถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตก่อนผม การ์ดสีขาวนวลวางอยู่บนโต๊ะ ผมขยับเนคไทเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหยิบการ์ดนั้นแล้วเดินออกไปจากห้อง

            เด็กหญิงที่ยิ้มเพราะแข่งวิ่งชนะในวันนั้น เติบโตขึ้นกลายเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งด้วยรอยยิ้มสดใสในวันนี้ ชุดแต่งงานสีขาวสะอาดและดอกไม้ที่ประดับตกแต่งอยู่รายล้อมเป็นส่วนประกอบที่ทำให้วันอันสำคัญนี้งดงามประหนึ่งฉากในเทพนิยาย

             เธอเดินไปตามทางเดินในโบสถ์ หยุดยืนต่อหน้าบาทหลวง กล่าวคำสัญญาว่าจะรักว่าที่สามีของเธอตราบวันสุดท้ายของชีวิต

             อีกครั้งที่ผมได้มองเพียงแค่แผ่นหลังของเธอ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีใจกับเธอได้ไม่ได้เต็มที่ เป็นความรู้สึกหน่วงๆ ภายในใจ ไม่เชิงว่าเจ็บปวดเสียทีเดียว หากแต่เป็นความเศร้าปนความโล่งใจ 
     
             ต่อจากนี้เธอมีคนที่คอยอยู่ข้างๆแล้ว เขาจะพาเธอวิ่งไปตามใจเธอต้องการ แต่เพราะอย่างนี้ เธอจะวิ่งไปเร็วขึ้น ทิ้งห่างจากผมไปเรื่อยๆ

             และในที่สุด เธอก็วิ่งไปถึงปลายทางก่อนผม เธอนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าผอมซูบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นโรคร้ายก็ไม่อาจพรากรอยยิ้มสดใสไปจากเธอได้ รอยยิ้มยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของเธอ แม้ว่าเธอจะหมดลมหายใจไปแล้วก็ตาม

             การวิ่งอันยาวนานของเราทั้งสองจึงสิ้นสุดลง


            เด็กหญิงคนหนึ่งผมสั้นประบ่า พวงแก้มสีแดงระเรื่อ เจ้าของเสียงหัวเราะใสกังวาน และเสียงฝีเท้าซอยถี่ เธอวิ่งแซงผมไป แต่ผมวิ่งได้เร็วกว่า และไปถึงจุดหมายก่อนเธอในที่สุด 

            ผมหันมามองอีกทีผมก็พบว่าเธอนั่งอยู่ที่พื้น หัวเข่ามีเลือดไหลซิบ เมื่อเห็นใบหน้ายู่ ๆ ด้วยความเจ็บปวด และน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใสนั้นก็ทำให้ผมรีบวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว 
     
            ผมพาเธอกลับไปที่บ้านของเธอ เมื่อกลับบ้านผมก็โดนแม่ดุเสียยกใหญ่ที่พาเธอไปเจ็บตัว แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมไม่ชอบเห็นเธอร้องไห้เลย 

            วันต่อมาผมจึงซื้ออมยิ้มไปฝากเธอ เมื่อเธอเห็นเธอก็รีบแกะห่อแล้วกิน แก้มตุ่ยๆ ขณะกำลังกินและรอยยิ้มที่ทำให้ตาปิดนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว

            เธอเหมาะกับรอยยิ้มที่สุด

            หลังจากวันนั้นผมก็วิ่งแพ้เธอตลอด นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของผมเอง ถ้าผมวิ่งไปก่อน ถ้าผมวิ่งเร็วจนทิ้งห่างเธอไปไกล แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ได้สะดุดล้มลงกลางทาง ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะถึงจุดหมาย 

             นี่จึงเป็นการวิ่งแข่งที่ผมไม่มีวันชนะเลย และผมก็เต็มใจที่จะวิ่งตามหลังเธอไปอย่างนี้ ไปจนถึงวันที่เธอวิ่งไม่ไหว
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in