เมื่อเนินที่ยาวนานและกว้างขวางอย่าง "เนินป่าก่อ" สิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาของ "เนินเสือโคร่งงงงงง"
เนินเสือโคร่ง สำหรับฉัน เป็นเนินที่ฉันรู้สึกสนุกด้วยมากที่สุด เพราะมันมีเส้นทางที่ปีนป่ายกำลังดี มีความท้าทายบ้าง เริ่มรู้สึกถึงความเขาแบบเข้มข้นมากขึ้น และที่สำคัญ เนินนี้มีระยะทางสั้นจนไม่ทันตั้งตัว
สองเนินนี้ เหมือนกับโกโก้ ที่มีทั้งความหวาน และขมปร่าอยู่ในที แต่มันช่างลงตัว และนุ่มละมุน ติดลิ้น
และเมื่อโกโก้หมดแก้ว เราก็มาถึงเนินสุดท้าย "เนินมรณะ"
มาถึงเนินนี้ แม้จะไม่หนักหนาถึงขั้นมรณะอย่างชื่อ แต่ก็เกือบมรณะ ความเหนื่อยอ่อนทำให้การถ่ายภาพป้ายเนิน เป็นเรื่องที่เราต่างละเลยอย่างไม่ได้นัดหมาย เพราะแค่ก้าวขายังยาก
เส้นทางของเนินมรณะ มีความชันมาก หากจะอธิบายความยากลำบากของการเดินทาง การใช้คำว่า"แทบคลาน" จึงเป็นคำอธิบายได้ดีและไม่ได้เกินตัวเท่าใดนัก
ฉันรู้สึกราวกับว่าเนินที่ผ่านมา เป็นเพียงเส้นทางปลอบขวัญ ก่อนจะมาเจอกับความจริงที่ตบหน้าพวกเรา (ให้เลิกสนใจทางแล้วหันไปมองวิวรอบๆ)
หากเนินนี้ถูกเปรียบเป็นเครื่องดื่ม คงละม้ายคล้ายกาแฟดำ รสเข้มของกาแฟ ไม่ต่างจากเส้นทางที่ยากลำบาก แต่วิวข้างทางกลับทำให้ตาสว่างเหมือนได้อัดคาเฟอีนของกาแฟเข้าเส้นเลือด
พอขึ้นมาถึงตรงนี้ ฉันรู้ทันทีว่ารูปที่ถ่ายมาไม่สามารถบันทึกความสวยงามและเก็บบรรยากาศของที่นี่ได้ทั้งหมด และแม้ว่าความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมา ไม่ถึงกับถูกปลิดทิ้ง แต่ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำ ฉันคลาน ฉันปีนขึ้นมาที่นี่ มันคุ้มค่าจริงๆ
มากกว่าวิวที่ได้ ฉันพบว่า ฉันชนะความกลัวของตัวเอง ความกังวลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่ามา ถูกปลดลง เมื่อฉันได้เห็นธรรมชาติที่โอบล้อมตัวฉัน มันเป็นความสวยงามแบบเรียบๆเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจ และตอนนี้ฉันอยู่บนภูเขาสูงจนทึกทักว่าจุดหมายของฉันใกล้เข้ามาทุกที ยอดเขาคงอยู่ไม่ไกล
.
.
.
.
.
คุณคิดว่า หากขึ้นไปสุดยอดเขา ฉันจะได้นอนเต้นท์ กินมาม่าร้อนๆ หรือโกโก้อุ่นๆ ใช่ไหม
.
.
.
.
.
.
.
อืมมม ฉันคู่ควรกับสิ่งเหล่านั้น มันอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วจริงๆ
"พี่คะ ลานสน อีกไม่ไกลใช่ไหมคะ" ฉันถามพี่ลูกหาบด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
เมื่อฟังคำตอบพี่ลูกหาบ ฉันก็ยิ่งใจชื้น
"ไม่ไกลครับ ไม่ไกล"
จนกระทั่ง พี่ลูกหาบมองหน้าฉันอีกที แล้วชี้นิ้วไปอีกฝั่งของภูเขาที่ฉันยืน
"นั่นไงครับ" เมื่อได้เห็นตำแหน่งของจุดหมาย ฉันกล่าวขอบคุณพี่ลูกหาบ พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
และนี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่ฉันโดนความจริงตบหน้า
ลานสนอยู่ฝั่งโน้นโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฉันก้มหน้ารับชะตากรรมแล้ว KEEP GOING KEEP WALKING ต่อไป
ฉันเดินหน้าจืดๆ กับยิ้มเจื่อนๆ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงลานสนที่แท้จริง
และในที่สุด
GU ถึงแล้วววววววววววววววววววววววว ลานสนภูสอยดาวววววววววววววววววว
ฉันมาถึงที่นี่ตอนบ่ายสามโมง ซึ่งอุณหภูมิราวๆ 20 องศาหรือน้อยกว่านั้น เรียกได้ว่าอากาศเย็นชั่งสวนทางกับอุณหภูมิร่างกายของฉันเหลือเกิน แต่ในทางตรงกันข้าม มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ แม้ว่าก่อนหน้าฉันจะเก้อๆเรื่องที่หมายตาม
แต่มันไม่สำคัญ เพราะฉันมาถึงแล้ว ฉันผ่าน 5 เนิน และ 6.5 กิโลเมตรนั้นมาแล้วจริงๆ
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าบนภูสอยดาวของฉัน ฉันไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดหรอก เพราะฉันอยากเก็บเรื่องต่อจากนี้ไว้ยิ้มคนเดียว ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกดีแบบประหลาดๆ
แล้วถ้าคุณอยากรู้ว่า ฉันเห็นดาวไหม
ลองเดาสิ้
ท้องฟ้าตอนเย็นเป็นแบบนี้ คุณว่า ภูสอยดาวจะมีดาวมั้ย
มันน่าเสียดายจริงๆ ที่ขึ้นไปขนาดนั้นแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เห็น
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เพราะฉันไม่มีกล้องที่สามารถถ่ายดาวบนภู มาแบ่งปันความสวยงามของพวกมันให้แก่คุณได้
เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาส ฉันแนะนำให้คุณไปดูมันด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า หากคุณชอบนอนดูดาว ที่นี่ จะไม่ let you down แน่นอน ฉันว่ามันมีดาวมากพอที่จะทำให้คุณตาลายเลยล่ะ
และถ้าคุณกำลังวางแพลนว่าจะมาที่นี่ หรือ ไม่รู้จะไปที่ไหนในปี2017 ฉันอยากให้คุณมาที่นี่นะ ไม่ว่าคุณจะโดนสปอยล์มาแบบไหน อย่างไร ได้โปรด อย่าให้คำพูดของใครมาตัดสินใจแทนคุณ เพราะฉันเชื่อว่าคุณจะได้พบภูสอยดาวในแบบของคุณ มุมมองที่คนอื่นอาจจะไม่เห็น
หลังจากจบทริป ฉันได้อะไรมากมายจากภูสอยดาว
อย่างแรก ฉันได้นั่งรถไฟไทยครั้งแรก ถึงฝุ่นจะเยอะไปนิด แต่มันไม่สำคัญเท่าไหร่ ในเมื่อสิ่งที่สำคัญกว่าคือการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ได้เห็นท่าหลับประหลาดๆของพวกเขา
มากไปกว่านั้นยังได้เอาชนะใจตัวเอง จากที่เคยคิดว่า คงจะไม่ไหวกับการปีนเขา แถมยังกลัวว่าจะเป็นภาระเพื่อน แต่รู้ตัวอีกที ฉันก็มานั่งเขียนบล็อค เพื่อยุให้คุณไป เพราะมันเป็นที่ๆไม่เลวเลย ที่คุณจะได้มีโอกาสเห็นธรรมชาติผ่านเลนส์ตาตัวเอง มิใช่เลนส์กล้องของใคร ฉันเชื่อว่าคุณจะได้พบความสงบของภูเขา และความพร่างพราวของดวงดาวที่ก่อนหน้านี้หลายคนต่างบอกให้ฉันทำใจที่จะได้พบเพียงท้องฟ้าที่ไร้ดาว
มากไปกว่านั้นฉันได้รู้ว่าความแตกต่างของเพื่อนไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทาง ขณะเดียวกันก็ทำให้ฉันพบว่ามิตรภาพของพวกเขาคือสิ่งที่ฉันอยากรักษามากกว่าเดิม
และสุดท้าย ฉันได้รู้ว่าภูสอยดาวต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย
ทั้งหมดนี้ คือ ภูสอยดาว เท่าที่รู้ ในแบบของฉัน
P.S. ขอบคุณสมาชิกภูไม่มีพูห์ ที่ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับมิตรภาพระหว่างเรา (ถ้าไม่มีพวก มึง เรื่องเล่าปลายปี คงจะไม่สมบูรณ์ เจอกันทริปหน้า)
และ สวัสดีปีใหม่ทุกคนค่ะ ปีหน้า ที่ไหนคือเป้าหมายใหม่ของคุณหรอคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in