เมื่อจบออกมาแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องออกไปหางาน...ณ วันนั้นเป็นวันที่ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันคือคนที่หลงทางที่แท้จริง
เพราะตลอดเวลาที่่ผานมาฉันไม่คิดและกังวลเลยว่าสักวันฉันต้องทำงานดังนั้นฉันจึงไม่เคยคิดว่าตัวเองอยากได้งานแบบไหน วาดภาพตัวเองในอนาคตว่ากำลังนั่งทำอะไร
และที่สำคัญที่สุด ฉันไม่รู้ว่าการหางานคืออะไร? แล้วต้องทำอย่างไรที่จะได้มันมา
ฉันจึงทำตัวว่างเปล่าไปประมาณ 2 อาทิตย์ ก่อนที่จะว่างไปกว่านั้นฉันก็ได้มีโอกาสไปเจอกับ Website หางานที่นึง ฉันเริ่มต้นมันโดยการกรอกรายละเอียดที่ไม่ละเอียด กรอกข้ามๆ กรอกไม่ดี แต่ก็พยายามที่จะใส่ทุกอย่างเท่าที่เขาขอ ฉันไม่มี resume ได้แต่บอกว่าจะแนบตามไปทีหลัง
ฉันคลิ๊กเลือกงานทุกอย่างที่ขึ้นมาให้เป็นตัวเลือก หรือ ทาง Web คิดว่ามันน่าจะเหมาะกับฉัน ฉันไม่สนด้วยว่าเขาต้องการคุณสมบัติแบบไหน แค่ขึ้นมาตรงหน้าก็แสดงว่ามันคงเข้ากับฉันแล้ว
มาตอนนี้ ฉันว่าในตอนนั้น HR หลายที่คงเกลียดฉันและลบอีเมลล์ของฉันทิ้งรัวๆ
ฉันเขียนกรอกเงินเดือนไปที่ 30,000 บาทถ้าเกิดที่ไหนให้ฉันเลือกเงินเดือนได้ โดยที่ตัวฉันเองไม่ได้มีประสบการ์ณอะไรจริงจัง
ที่จริงฉันเคยไปฝึกงานนะไปขอฝึกเองโดยไม่มีใครบังคับไม่ได้เงินด้วยซ้ำ ตอนนั้นที่ยอมก็ด้วยเพียงเพราะว่ามีคนบอกว่าพอจบมาแล้วจะฝากงานให้ฉันที่โรงแรมชื่อดังที่หนึ่ง แต่พอเอาจริง ในวันที่ฉันจบเขาเองก็จบหน้าที่การงานของเขาเช่นกัน
ฉันเองก็ไม่ฉลาดพอที่จะเดินเข้าไปขอใบรับรองงานจากทางโรงแรมที่เข้าไปขอฝึกงาน ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่า มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานกับงานที่จะทำเสียหน่อย
แล้วก็เป็นไปดั่งคาดที่ืำงานที่ฉันเรียกไปสามหมื่นนั้นไม่มีใครเรียกฉันเข้าไปสักราย แต่แน่นอนว่าผลจากการคลิ๊กสมัครไปหมดทุกอย่างมันก็เลยมีบางที่ที่เลือกฉันเข้าไปสัมภาษณ์
โชคดีของฉันมีอยู่นิดนึงว่าบริษัทจัดหางานนั้นบอกให้ฉันทำ Resume เตรียมเข้าไปด้วยนอกจากใบจบ ฉันยอมรับว่าฉันลอกมาจากวิชา Reading ในตอนเรียนเพราะมันมีแบบให้ดู แม้มันจะกากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเตรียมไปเลย อย่างน้อย HR ก็ไม่ไล่ฉันออกมา
ความโชคร้ายมาทดสอบฉันอีกครั้งโดยการที่ให้ฉันเป็นอีสุกอีใสในช่วงใกล้วันสัมภาษณ์ แม้มันจะหายดีแล้วจนหมอบอกว่าไม่ไปติดใคร แต่แผลเป็นก็อยู่ที่ใบหน้า
ฉันไม่รู้จักการผลัดผ่อนเพราะลูกเพื่อนแม่เริ่มได้งานฉันกลัวว่าการเลื่อนคือการเสียโอกาสฉันจึงไม่ขอเลื่อนวัน ฉันยังคงไปสัมภาษณ์โดยการแบกร่างกายและใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นไปด้วย มาวันนี้ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่ต้องนั่งเผชิญหน้ากับฉันเหลือเกิน
คนไม่มีประสบการ์ณไปนั่งสัมภาษณ์งานแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย แถมร่างกายก็ไม่พร้อม แน่นอนว่าฉันไม่ได้งานเลยสักงานที่ไป ฉันรู้สึกท้อ รู้สึกว่าเสียเวลา จนทำให้ไม่อยากไปสัมภาษณ์งานที่ไหนอีก
ในวันหนึ่งฉันก็เลิกหางานจากอินเตอร์เน็ทแล้วหันมามองตัวเองอีกครั้งว่าฉันต้องการอะไรกันแน่? แล้วเข้าไปทำงานที่บริษัทฉันจะสามารถทำงานนั้นได้จริงๆ เหรอ?
ฉันไม่ได้คำตอบหรอก แต่ฉันก็เลือกเดินไปที่สยาม เดินตรงไปที่ร้านที่ฉันชอบไปซื้อของ โชคดีที่หน้าร้านปิดป้ายรับสมัครพนักงานขาย ฉันก็เลยสมัครกับเขา ใช่ ฉันสมัครเป็นพนักงานขายรองเท้าที่ได้เงินเพียงแค่ 6000 บาทต่อเดือน
ก็ต้องขอบคุณที่ร้านนั้นให้โอกาสฉันได้ร่วมงานแม้ว่าเขาจะเคยมีความสงสัยและถามว่า
"มีใบจบจากที่นั้นเลยนะ เธอจบปริญญาตรี ทำไมถึงเลือกมาสมัครงานที่นี่?"
การได้โอกาสในวันนั้นทำให้ฉันมาเป็นฉันในวันนี้
...............................
ที่ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมีรุ่นน้องคนนึงเพิ่งเรียนจบและรู้สึกกังวลที่ยังไม่สามารถหางานให้ตัวเองได้ และมีบางคนมาบ่นให้ฉันฟังว่า ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร
ฉันอยากบอกว่าการเรียนจบมันคือแค่การสิ้นสุดสิ่งหนึ่งไปสู่การเริ่มต้นใหม่อีกสิ่งนึง อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองจบแค่นี้? อย่าท้อถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรหรือมีความฝันหรือความมุ่นมั่นอะไร และอย่าเสียใจถ้าคุณจะไม่เก่งเหมือนคนอื่น
ความสามารถมันสามารถพัฒนาขึ้นกันได้ขอแค่เราเริ่มที่จะลุกมือขึ้นทำ ความฝันไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้และคุณก็ไม่ผิดที่จะยังไม่มีมันอย่าลดค่าตัวเองว่าไม่คุณค่าเพียงแค่ว่าคุณไม่มีความฝัน
นภัทร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in