วันแรกที่เรียนจบ รับปริญญาเป็นที่เรียบร้อย ครอบครัวมีความสุข วันนั้นคุณรู้สึกกันอย่างไรบ้าง?
บางคนอาจจะรู้สึกถึงอิสระ บางคนอาจจะรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ต้องออกไปหางานทำหรือเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ หรือบางคนก็อาจจะรู้หวาดกลัวกับสิ่งใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้น
สำหรับเราเหรอ? เรารู้สึก "หลงทาง" และเป็นการหลงทางที่ดูเหมือนแม่งจะไม่มีทางออกให้เราเดินออกไปเลยด้วยซ้ำ เราถือว่าเราหลงอยู่หลายเลี้ยวเลยนะกว่าเราจะมาถึงตอนนี้
มองกลับไป หลงทางที่เลี้ยวแรก นั้นก็คือ "เราไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร"
ตั้งแต่เด็กจนเข้าอนุบาลมาจนถึงจบปี 4 เราไม่เคยรู้เลยว่าเราอยากเป็นอะไร แล้วนี่ก้คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหลงทางอยู่นาน
มองย้อนกลับไปสมัยนั้น เคยคิดว่าตัวเองคงอยากจะเป็นครู เพราะชอบเล่นเป็นครูสอนนักเรียนตอนปิดเทอม โดยการที่เอาสมุดการบ้านเก่าๆ มานั่งไขว้ห้างที่โต๊ะ พร้อมกับทำท่าติ๊กถูก หรือ ผิด ด้วยปากกาแดง แล้วก็เอาไม้ไผ่ยาวๆ ที่ยายเอามาเป็นไม้เรียวมาฟาดไปตามฝาบ้านเหมือนครูกำลังฟาดกระดานดำ
แต่แล้วความคิดนั้นก็ตกไปเมื่อเราเริ่มรู้สึกว่ามันคงไม่ใช่ และเริ่มเปลี่ยนมาเป็นกระเป๋ารถเมล์ การที่เอากระดาษมาฮีกเหมือนตั๋วนี่มันได้อารมณ์มากนะ มันรู้สึกว่านี่คือหนทางของเรา แต่มาในวันนึงเราก็รู้อีกว่ามันคงไม่ใช่ทางของเรา ตอนที่รถต้องติดอยู่ที่ไฟแดงนานๆ มันไม่สนุกเลย
หลังจากนั้นก็เริ่มเอาส้นสูงของแม่มาใส่และเดินไปทั่วบ้าน เออ ชอบแหะ ก็เลยยึดมั่นว่าคงทำงานใส่ส้นสูงนี่แหละ อะไรก็ได้ที่ใส่ส้นสูง คิดแค่นั้นแล้วก็จบมัน
เราหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นเพราะเรารู้สึกเบื่อที่จะเล่น หรือไม่ก็ โตเกินไปที่จะมาเล่นใส่ส้นสูง ที่น่าขำคือ เราไม่เคยรู้เรื่องเลยว่ามันจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า "ความฝัน" เราเลยหยุดหามันซะแบบนั้น เราหยุดหาตัวเอง
และเราก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเพื่อนที่นั่งเรียนข้างกัน บางคนรู้ว่าอยากทำอะไรตั้งแต่ประถมแล้ว หรือไม่บางคนก็มีอาชีพที่อยากเป็นแล้ว
ถ้าถามว่าถ้าไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไรแล้วเลือกเรียนได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่า ม.4 ต้องเรียน ศิลป์ภาษา...ก็ตอบได้เลยว่าต้องขอบคุณครูสอนวิชาภาษาอังกฤษในช่วง ม.3 ที่เดินมาบอกเราว่า
"เธอเก่งภาษาอังกฤษนะ หัวไวเชียวลองเอาดีทางนี้ดู"
นั้นทำให้ตอนที่เราต้องกำลังต้องเลือกว่าต้องเรียนอะไรตอนมัธยามปลาย เราจังไม่ลังเลเลยที่จะลง ศิลป์ภาษา แม้มันจะเป็นภาษาฝรั่งเศสก็ตาม อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงเลขได้วะ
ชีวิตช่วงนั้นหลักลอยสุดๆ ไม่มีอะไรที่คิดเอง เป็นนักกีฬาโรงเรียนก็เพราะเพื่อนเป็น ลงเรียนพิเศษเพราะเห็นว่าเพื่อนเรียน ตอนไปเรียนเราก็เอาแต่นั่งหลับ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าอยากเรียน (ตอนนี้อยากย้อนเวลาไปมาก) เพื่อเฮไหนเฮนั้น นั้นคือเราเลยละ
แต่ตอนที่ต้องต่อมหาวิทยาลัย ตอน ม.6 มันเป็นครั้งแรกที่เราเลือกอะไรโดยที่เราคิด ตอนแรกก็คิดที่จะตามเพื่อนไป เพื่อนที่เป็นนักกีฬาทั้งกลุ่ม เตรียมตัวไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยแห่งนั้นที่จะให้สิทธิ์เรียนฟรีกับนักกีฬาที่พร้อมจะเก็บตัว ถามว่าตอนนั้นรู้สึกอย่างไร? อื้มมมมม รู้สึกว่าดีจังมีเพื่อนเรียนต่อถึงมหาวิทยาลัยแนะ
แต่จุดมาหักเหก็เพราะ มีรุ่นพี่คนนึงกลับมาที่โรงเรียน โดยที่บอกว่ามหาวิทยาลัยที่เขาไปเรียน เป็นมหาวิทยาลัยที่สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษ พอได้ฟังเท่านั้นแหละ เราเลยมีความมุ่งมั่นกับตัวเองว่า เราจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ (แน่นอนคำครูตอน ม.3 ยังฝั่งหัว)
เราไปสมัครสอบอะไรด้วยตัวเองทั้งหมด นั่งรถเมล์ไปเอง เดินดุ่มๆ ไปกรอกใบสมัครเอง ไม่มีเพื่อนคนไหนไปเลย แต่เพราะนี้คือครั้งแรกที่ไปทำด้วยตัวเอง ความเอ๋อและเด๋อ จึงบังเกิด เราไม่มี Email (สมัยนั้นอะนะ) และเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Email คืออะไร เพราะฉะนั้นตอนเห็นตัวอย่างในใบสมัคร ว่า "name@ตามด้วยชื่อมหาวิทยาลัย" เราก็กรอกตามนั้นไปเลย คือ ชื่อเราตามด้วย@ และก็ชื่อมหาวิทยาลัย เราเก่งโดยการเติมนามสกุลตัวเองไปด้วย
โชคดีที่ฝ่าย Admin ใจดี โทรมา confirm เรื่องไปสอบ เราจึงได้เข้าสอบในที่สุด อ่อ ถ้าถามว่าแล้วคณะที่ลงไปละฦ ง่ายๆ เลยนะ "ครูแนะแนว"
ไม่ใช่ว่าครูเรียกเราไปแนะนำส่วนตัวนะ แต่เพราะครูแนะแนวพูดถึงคณะนี้ในคาบแนะแนวและเราเกิดจำได้ เราก็เลยเลือก แค่นั้นเอง
ข่าวดีคือ เราสอบติด ข่าวร้ายคือ มันต้องจ่ายเงินจำนวนนึงในการกันที่แต่แม่ไม่ยอมจ่ายให้ แม่อยากให้เราเอ้นท์ โดยที่แม่บอกว่า มหาวิทยาลัยใครไปสอบก็ติด (แต่ตอนหลังเรามารู้ว่าเพื่อนเราก็มีไปสอบแต่ไม่ติดนะ เขาไม่ได้รับทุกคนนะ ความแอบอวดนี้คืออะไร?)
เราเลยต้องลงเอ้นท์กับเขา ถ้าถามว่าแล้วเลือกมหาวิทยาลัยอย่างไรละ? ก็...ตอนสอบเอ็นท์เราเลือกมั่วไปหมดเลย มั่วทั้งคณะและมหาวิทยาลัย อันดับ 1 จำได้ว่าเลือกมหาวิทยาลัยชื่อดังเลยละ โดยไม่ดูเกรดตัวเองเลย ว่าจะสามารถทำได้ไหม? และอันดับ 4 เราเลือกมหาวิทยาลัยเอกชนที่เราเพิ่งไปสอบติดมาแต่ไม่ได้วางเงิน
และแน่นอนว่าเราได้ชื่อว่าเอ้นท์ติดนะ แต่มหาวิทยาลัยเดิมและคณะเดิมนั้นแหละ ฮาาาาาาาา
สัมภาษณ์ผ่านทุกอย่างไปได้ดี จนวันที่เข้าเรียนนี้แหละถึงได้รู้ว่า "นรก" มีจริง
เพราะไม่ได้เลือกคณะตามที่อยากเรียน เพราะไม่เคยศึกษาว่ามันเรียนเกี่ยวกับอะไร แค่ติ๊กไปเพราะตาเห็นคำว่า Arts - Major Business English - English คำเดียวเลยจริงๆ เลยทำให้ไม่รู้ว่าคณะที่เรียนมันเรียนภาษาอังกฤษก็จริง แต่มันมีเลขสิ่งที่เราเกลียดพ่วงมาด้วย และนั้น ทำให้เราตกแล้วตกอีก กว่าจะจบก็ 4 ปีครึ่ง ด้วยสภาพที่สบักสะบอมที่สุด
แค่เลี้ยวแรกที่หลงก็ดูมืดมนไปหมดแล้ว....
Sky
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in