ที่เดิม.
เราให้ความหมายมากมายกับคำสองคำธรรมดาๆตอนไหน
เพราะเวลาที่ผ่านไป
สถานะที่แปรเปลี่ยน
ระยะห่างระหว่างใจสองคนที่กลับกลายไม่เท่ากัน
เหมือนคำว่า ‘คนเก่า’
ที่ความคิดและความหมายเก็บคนทั้งคนเข้าคลังความทรงจำโดยอัตโนมัติ แปะป้าย เรียกเขาเป็น ‘อดีต’ เป็น ‘คนข้างหลัง’ ที่เราควรจะเลิกสนใจ
ทั้งที่เขาเคยเป็น ‘อะไร’ ที่เกิดกับเราในช่วงเวลาหนึ่งอยู่ดี
พี่แฮซมาถึงร้านกาแฟเจ้าประจำของเราสาย
เจ้าตัวเดินสาวเท้าฉับเข้ามา วางหมวก(ใครสั่งให้เขาสั่งหมวกกัน! เหมือนจะมาแกล้งแหย่ผมดื้อๆซะงั้นแหละ)บนโต๊ะ แล้วนั่งปุ๊กลงตรงหน้าผม
(ของเรา นี่ก็คำเก่าอีกใช่ไหม
...หรือเป็นแค่คำชั่วคราว)
“โทษที”
เสียงคนเอวบางรวบสั้น ตึงนิดๆ แบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน คล้ายผ้าที่ขึงไว้กับราวนานเกินพอ
“แบร์มันจิกถี่เหลือเกิน เกือบจะเป็นแฟนพี่ไปแล้วมั้ง”
เสยผม
คลี่ริมฝีปากปลายประโยค
เท้าคางกับพื้นไม้ของโต๊ะ
สเต็ป หนึ่ง สอง สาม ที่ดูราบเรียบในความเป็นจริง กลับโดนแยกส่วน เป็นหนังสั้นสต๊อปโมชั่นปะติปะต่อ ที่คนทำล่มโปรเจคเสียกลางทางในหัวผม
จะจดจ่อจ้องมองรายละเอียดเขาอะไรหนักหนา
ผมส่ายหน้า จิบกาแฟดำถ้วยจิ๋วข้างมือซ้าย
พี่แฮซไม่เคยสั่งอเมริกาโน่
คนเก่าคนดีของผมติดหวาน และ ถ้าผมเดาถูก แก้วสีส้มสดบนจานรองสีเดียวกันที่บาริสต้าเพิ่งนำมาเสริฟ์คงเป็นคาราเมลมัคคิอาโต้ร้อน ใส่นมถั่วเหลืองแทนนมสด
งี่เง่าดี ที่ผมยังจำอะไรเล็กน้อยอย่างนี้ได้
เรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ยังเห็นภาพ รู้สึกความรู้สึก... ถึงมิติไหนก็ไม่รู้
รู้แต่เป็นกลุ่มก้อนเมฆหมอกไร้รูปทรง เจือปนความรู้สึกถึงเขาคนเดียว
“แป๊บเดียวเอง” ผมว่า เงยหน้าขึ้นสบตาเขียวอ่อนคู่ที่เคย(รู้สึก)ชิน
จงใจไม่ตกเบ็ดดึงพี่แบร์เข้าบทสนทนา
ต่อให้อีกฝ่ายจะไปปรึกษาเรื่องผมกับเขาแค่ไหน วันนี้ ตอนนี้ คือเรื่องเราสองคน
“รอไม่นานหรอกฮะ”
พี่แฮซเลียริมฝีปาก พึมพำฮัมคำในคอ หันไปรูดซิปกระเป๋าหนังสะพายข้างสีน้ำตาลที่ชอบพกติดตัว หยิบเจ้าชายน้อยของผมขึ้นมา
“อะ” นิ้วเรียวดันขอบหนังสือมาทางผม กวาดตามองแวบนึง หัวใจก็วูบลงเหมือนคนสะดุดชะนวนปลั๊กไฟ
แหวนเว่อร์วังของพี่เขายังอยู่ครบทุกนิ้วที่เคยใส่
ผมจำไม่ผิด
ผมจำไม่ผิด
ผมไม่เคยจำผิด
“ขอโทษอีกทีที่ลืม” พี่แฮซเสริม “จำได้ว่าฟินน์มาร์กประโยคในนี้ไว้เยอะ”
อุ่น คล้ายมีคนราดคาราเมลเหลวช้าๆลงในอก
เริ่มชอบ เลิกรัก ไม่เห็นจะรู้สึกต่าง
ยังไงก็ปลีกความคิดจากคนๆนึงไปไม่ขาดนั่นเอง
“อืม” ผมตอบรับ เก็บหนังสือลงเป้สีดำคู่ใจ รูดซิปปิดแล้วกลับมาหาคนตรงหน้า
“ขอบคุณนะพี่”
สั่งกาแฟแล้วยังนั่งอยู่กับผม
รอเวลา
รออะไร
นี่มันเกมสักอย่างที่ผมไม่ได้สมัครใจเล่นมาก่อนหรือเปล่า
พี่แฮซยกแก้วขึ้นซด วางกับจานรอง ก่อนจะเริ่มลุกขึ้น
ผมเอิ้อมไปคว้าข้อมือพี่เขา
ลุกจากโต๊ะไปอยู่ข้างคนแก่กว่า
ร่างกายเคลื่อนไหวไปเองโดยไร้การควบคุม ใจตัดขาดกับสมองอย่างไรอย่างนั้น
จะมีแต่ภาพฉายไวๆผ่านตาเหมือนคลิปสั้นที่เพิ่งถ่ายลวกๆโดยความทรงจำให้ผมพยายามตามเท่านั้น
“พี่—“
“—ฟินน์”
คิดถึง
คิดถึงชะมัดเลย เสียงนี้ที่เรียกชื่อผม
เสียงนี้ที่เรียกชื่อผมโทนนี้ หนักแน่นแบบนี้ เหมือนจะหยุดเวลาไว้อย่างนี้
“เรานี่มัน—“
พี่แฮซโน้มตัวเข้ามาใกล้ นิ้วดึงกลางเสื้อโปโลผมเข้าไปหา
เวลาที่ผ่านมาปลิวหายไปกับริมฝีปากคู่นี้
ยาเสพติด
โคเคน
โดปามีนหรือสารเคมีอะไรก็แล้วแต่กำลังแตกเป็นพลุบ้าอยู่ในหัวผมตอนนี้
ร่างกายร้อนรน
หากมือกลับเย็นเยือกไปหมด
พี่แฮซ
สมองผมคิดคำสองคำขาดตอนเหมือนเคาะรหัสมอร์ส
พี่แฮซ
ขออีก
อีกหน่อย
สมองเจ้ากรรมผมเตร็ดเตร่ สติหลุดตั้งแต่ปากสัมผัสปาก
ฝ่ามือไปแตะกลางอกเขาตอนไหนก็ไม่รู้
และแขนข้างนั้นก็โอบเอวผมเหมือนอยู่ตรงนั้นมาตลอด
แล้วก็เหมือนคนดีดนิ้วเป๊าะ เมื่อเราแยกห่างกันก่อนผมจะตั้งตัวทัน
“พี่—เอ่อ”
พี่แฮซกัดริมฝีปากล่าง สีหน้าราวเด็กแอบกินช็อกโกแลตตอนเที่ยงคืนที่เพิ่งสำนึกตัว
“พี่ขอโทษ—“
“ไม่ ผมขอโทษ”
ผมดึงมือพี่เขามากุม
คนขอโทษก่อนยืนนิ่ง ไม่ปล่อยมือ
หัวใจกระตุกซ้ำพอรู้ว่ามือนุ่มแอบชุ่มเหงื่อ
“ผมไปก่อนดีกว่า”
เจ็บก็ต้องทำ เกาะกุมก็ต้องยอมปล่อยไป
ผมทนมองแววตาของพี่แฮซต่อไปไม่ได้นี่นา
“พี่—ผม—จะคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้ เราไม่... ผมได้หนังสือคืนแล้ว”
พี่แฮซพยักหน้า ค่อยๆคลายมือออกจากมือผม
“เรานัดกันแค่เท่านี้”
ไปได้แล้ว
เดินออกจากร้านนี่ยากนักหรือไง
“....ขอบคุณนะฮะ.”
//
black swan เป็นคอนเซ็ปท์จากทฤษฎีของนาซิม ธาเล็บ โดยเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้น คำทำนายก่อนหน้าจากประสบการณ์ที่เคยมีกลับไร้ค่า
black swans คือเหตุการณ์ ข้อมูล เหนือความคาดเดาของเรา
//เรื่องนี้เป็น side story ของฟิคจอย trivial necessities ติชมทางทวิตโดย #heymrstranger ได้เลยค่ะ
ว่าจะเขียน side story ของแจ็คทอมด้วย ขอเสียงหน่อยถ้าสนใจนะคะ
ขอบคุณเสมอ
X
ข้าวเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in