ความคอนทราสต์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือเมื่อคุณเดินเข้ามาเรื่อยๆ ความขึงขัง เข้มครึม และเงียบสงบของศาลเจ้าด้วยสีที่ใช้อย่างสีดำ สีน้ำตาลของลายไม้ กลับมีสีชมพูอ่อนๆ และสีขาวของดอกซากุระบานเต็มไปหมดมีทั้งแบบดอกเดี่ยว ดอกซ้อน ระย้าย้อย จะเอาแบบไหนมีให้ดูกันเหลือเฟือ
แถมพอเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าจริงๆ เราก็ได้พบกับต้นซากุระที่กิ่งก้านเกาะเกี่ยวกันราวกับราวกับเป็นหลังคาและร่มเงาให้กับวัดพร้อมกับดอกสีชมพูอ่อนๆ ที่บานเต็มไปหมด บรรยากาศอันเงียบสงบในยามสาย ศาลเจ้าอันเข้มขรึมและศักดิ์สิทธิ์ และดอกซากุระที่เหมือนจะเป็นสีสันให้กับโลกที่จริงจังก็ทำให้เราตกหลุมรักช่วงโมงยามแห่งความไม่แน่นอนของธรรมชาติขณะนี้ขึ้นมาทันใด มันมีทั้งความสวยงามของธรรมชาติและความโศกเศร้าลึกๆ ที่ความสวยงามนั้นไม่ยืนยงถาวร
(วะบิซะบิอะไรทำนองนั้นสินะ...)
เข้าใจแล้วว่าทำไมวัฒนธรรมฮานามิ (ที่ไม่ใช่ข้าวเกรียบรวยเพื่อน) มันถึงได้แข็งแรงมากในญี่ปุ่น มันสวยแบบนี้นี่เอง
แต่ช้าก่อน! ราวกับว่าจะประทับใจกันไม่สุด (หรือพยายามจะเอาชนะใจข้าพเจ้าให้โหวตซากุระญี่ปุ่นชนะซากุระอเมริกาก็ไม่ทราบได้) ณ ช่วงเวลาแห่งการชื่นชมดอกไม้ สายลมเบาๆ ก็ค่อยๆ พัดมาที่ต้นซากุระ และขณะนั้นเอง...
กลีบดอกสีชมพูอ่อนๆ ก็ค่อยๆ ร่วงลงมาเป็นสาย...
เป็นสาย...
เป็นสาย...
ข้าพเจ้าไม่รอช้า คว้ามือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอด้วยเพราะอยากให้คนอื่นได้เห็น แต่ยังไม่ทันไร พี่สาวคนข้างๆ ที่เดินทางมาด้วยขึ้นก็พูดขึ้นมาว่า
"อย่าเพิ่งถ่าย"
ไอ้เราก็งงว่าทำไมถึงห้ามถ่าย ไม่เห็นมีใครห้าม (ฮา) แถมโอกาสแบบนี้มันหายาก อยากให้ทุกคนที่เป็น friends เราใน Facebook ได้เห็นความงามแบบเดียวกัน แต่พอเอามือถือลงเท่านั้นแหละ...ข้าพเจ้าก็เลยเข้าใจแจ่มแจ้ง
บางครั้ง...ของบางอย่าง เลนส์กล้องใดๆ อาจไม่สามารถบันทึกความสวยงามของความจริงเบื้องหน้าและความรู้สึกต่างๆ ที่ประกอบความเป็นจริงนั้นได้
สิ่งที่เราจะใช้บันทึกภาพความทรงจำก็อาจจะต้องใช้ "ตา" ของเรานี่แหละที่จะจดจำและบันทึกภาพทุกอย่าง เพราะตาของคนเรามันเชื่อมกับสมองและหัวใจ
บางครั้งความสวยงามจะสวยงามได้ไม่ได้มาจากการ "จับภาพ" หากแต่มันต้อง "จับใจ" ของเราก่อนต่างหาก...
ไม่แปลกอะไรเลยที่ไม่นานนี้เราจะได้ยินข่าวว่าอเดลจะหัวเสียและขอให้แฟนเพลงชมเธอตัวเป็นๆ แทนที่จะง่วนอยู่กับการจับภาพหรือถ่ายคลิปวิดีโอบันทึกการแสดงของเธอเพื่อเอาไปแชร์กันภายหลัง เพราะศิลปินอย่างอเดลคงจะอยากให้แฟนเพลงของเธออยู่กับห้วงนาทีที่เธอแสดงและส่งผ่านอารมณ์ความรู้สึกจากสายตาสู่หัวใจของคนทุกคน มากกว่าจะต้องผ่านเลนส์กล้องก่อนที่จะผ่านหัวใจ
ก็ live show ควรจะทำให้คุณ alive และ lively มากกว่าแค่ entertainment สินะ...
บางทีเราอาจจะอยู่ในยุคเทคโนโลยีที่สามารถจะเก็บอะไรทุกอย่างได้โดยใช้เนื้อที่เพียงน้อยนิด external hard disk ที่สามารถเก็บข้อมูลหนังหรือเพลงที่เพียรเก็บกันไว้ก็พุ่งขึ้นไปในระดับเทราไบท์ แม้ flash drive อันเล็กแสนเล็กก็เก็บข้อมูลได้ในระดับกิกาไบต์
เราจึงเพียรบันทึกทุกอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนบางครั้งเราก็ลืมไปว่าเราไม่ได้ live the moment นี่หว่า!!
Hana Yori Dango แท้จริงแล้วมาจากสำนวนที่เป็นที่รู้จักกันในญี่ปุ่นแปลว่า "ให้ชื่นชอบของที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง (กินได้จริงจากดังโงะ) มากกว่าที่จะชอบของที่สวยงามแต่กินไม่ได้ (ฮานะก็คือดอกไม้)"
แต่ชีวิตของคนเราคงจะเปล่าเปลี่ยวและแห้งแล้งแน่ๆ ถ้ามัวแต่ใช้ชีวิตโดยไม่มีสิ่งสวยงามและเพลิดเพลิน
เพราะมนุษย์ก็ต้องการอาหารให้หัวใจและความรู้สึกได้เสพเหมือนกัน...
(แต่พยายามเสพด้วยตาเนื้อก่อนนะ อย่าเพิ่งให้เลนส์กล้องมันทำงาน!!!)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in