Note: เปลี่ยนเนื้อเรื่องจากต้นฤดูหนาวเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงนะคะ เนื่องจากผู้เขียนนับเดือนผิด
TW massacre, war, islamophobic, white supremacy, panic attack
วันนี้เป็นวันแอนแซค (Anzac Day) ตรงกับวันที่ 25 เมษายน 2019 ครอบครัวลาคแลนชวนเธอไปโบสถ์เพื่อร่วมรำลึกถึงความสูญเสียของนิวซีแลนด์และออสเตรเลียที่กัลลิโพลีในสงครามโลกครั้งที่ 1 พริมเคยรู้เรื่องของสงครามนี้มาบ้างเมื่อตอนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่เวลลิงตันเมื่อ 4 ปีก่อน บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ชวนอึดอัด มีการจำลองเสียงระเบิดและบอกเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด ส่วนที่ชวนให้พริมสะเทือนใจที่สุดคือจดหมายที่ทหารเหล่านั้นเขียนถึงครอบครัว เหตุการณ์ที่กัลลิโพลีนับว่าเป็นความเสียหายจากสงครามที่ร้ายแรงที่สุดของนิวซีแลนด์กับออสเตรเลียก็ว่าได้ นิทรรศการที่จัดขึ้นก็สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก ตลอดเส้นทางเดินในพิพิธภัณฑ์พริมเห็นคนร้องไห้เงียบๆ อยู่เป็นระยะ สุดท้ายพริมก็ไม่อาจดูนิทรรศการจนจบเพราะบรรยากาศชวนหดหู่จนทำให้พริมเกิดอาการแพนิกแอทแทคและต้องไปนั่งทำใจเงียบๆ ในห้องน้ำ ก่อนจะย้ายไปดูนิทรรศการสัตว์ในขั้วโลกใต้ที่จัดขึ้นอีกฝั่งของพิพิธภัณฑ์แทน
เมื่อตอนที่แมรี่บอกกับพริมว่าวันนี้พวกเขาจะไปร่วมรำลึกเหตุการณ์นี้กัน พริมคิดว่าคงเป็นเพียงแค่การฟังบทสวดและพิธีการน่าเบื่อเล็กๆ น้อยๆ และพริมก็อยากเจอมนุษย์คนอื่นๆ บ้างหลังจากต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวนี้มาเป็นเวลาสองวัน นอกจากนั้นยังเจอวิญญาณมาป้วนเปี้ยนจนเหนื่อยใจ หุบเขาแห่งนี้ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวจนคนแบบพริมที่ไม่ได้สนุกกับการเจอผู้คนยังยินดีไปร่วมงาน แมรี่บอกกับเธอว่าอาจจะมีการยิงปืนขึ้นฟ้านิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเจ้าแคชไม่กลัวเสียงปืนสักนิด กลับกันถ้าเสียงปืนดังขึ้นเจ้าแคชซึ่งเป็นหมาล่าเนื้อกลับจะตื่นเต้นเพราะจะได้วิ่งไปคาบซากสัตว์มาให้แมรี่เสียอีก
ระหว่างที่พริมกำลังยืนรอขึ้นรถอยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน ในใจนึกภาพแมรี่ถือปืนและมีแคชยืนอยู่ข้างๆ เจคและลาคแลนกำลังจัดการกับเจ้าแคช เนื่องจากพวกเขาพามันไปที่โบสถ์ไม่ได้ (ถึงแม้มันจะไม่กลัวเสียงปืนก็ตาม) และแมรี่กำลังจัดการกับปัญหาบางอย่างในครัว แอนนาแวะมาทักทายเธอสั้นๆ
“แน่ใจหรือว่าจะไปงานแอนแซค” แอนนาถามเสียงสูง
“ทำไมล่ะ มันก็เป็นแค่งานพิธีการน่าเบื่อๆ ไม่ใช่หรอ” พริมถาม ในหัวมีการอ้างอิงถึงงานวันแต่งตั้งราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นแบบอย่างภาพงานที่น่าจะเกิดขึ้น
“คอยดูเอาเองก็แล้วกัน” แอนนาขำคิกคักแล้วหายตัวไป
พวกเขามาถึงโบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ถึงแม้ตัวโบสถ์จะดูตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเหมือนกันทุกๆ ที่ในภูมิภาคนี้ แต่กลับมีผู้คนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทุกคนล้วนแต่งกายสุภาพ ยืนพูดคุยทักทายกันเบาๆ บริเวณสนามหญ้าที่หน้าโบสถ์ พริมและครอบครัวของลาคแลนมาถึงไม่นานมากนักก่อนงานเริ่ม เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปที่บริเวณสนามหญ้า เจคและแมรี่ทักทายคนมากมาย แต่พริมก็จำใครไม่ได้เลย เธอเพียงแค่ยืนเงียบๆ ข้างลาคแลนที่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าเธอมากนัก น่าสงสัยว่าท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้มีคนมากมายขนาดนี้เชียวหรือ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าช่วยให้พริมรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น พริมเริ่มสังเกตเห็นว่ามีผู้มาร่วมงานหลายคนแต่งตัวด้วยชุดทหารด้วยจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงเป็นคนมีตำแหน่งมาเปิดพิธีการอะไรแบบนั้น เวลาผ่านไปไม่นาน อยู่ดีๆ พริมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา เนื่องจากเธออาศัยอยู่ที่โอ๊คแลนด์มาเป็นเวลา 5 ปี จึงคุ้นเคยกับเมืองที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม (multicultural) พริมไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ล้อมรอบไปด้วยคนขาวมากมายขนาดนี้มาก่อน และภูมิภาคที่รังกิตาตาตั้่งอยู่นั้นอยู่ใกล้กับเมืองไครสต์เชิร์ชซึ่งมีประชากรเป็นคนขาวเป็นหลัก ไม่ได้มีเอเชียนกว่าครึ่งเหมือนโอ๊คแลนด์ ที่สำคัญคือเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2019 หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เกิดเหตุการณ์กราดยิงมุสลิมขึ้นที่มัสยิดแห่งหนึ่งในไครสต์เชิร์ช การเป็นคนเอเชียคนเดียวในที่แห่งนี้ ในวันที่มีความรักชาติมากเป็นพิเศษก็ทำให้พริมรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา
ไม่รู้ว่าชาติสำหรับคนนิวซีแลนด์คืออะไร มีความยึดโยงกับชาติพันธุ์คนขาวหรือไม่ พวกเขาบ้าคลั่งกับการเป็นคนดีไหม แต่อย่างน้อยทหารนิวซีแลนด์ก็ไม่ได้พยายามจะเป็นผู้นำประเทศ อย่างไรก็ตามพริมรู้สึกตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางเป็นอย่างมากอยู่ดี เธอจำได้ว่าในนิทรรศการที่เคยได้ไปมีการเล่าถึงเกร็ดประวัติศาสตร์ของคนเมารีซึ่งเป็นคนพื้นถิ่นของนิวซีแลนด์ได้ไปร่วมรบด้วย แต่ก็ไม่ได้รับเกียรติและการดูแลที่ดีเท่าที่ควร เมื่อภาพในหัวของเธอเต็มไปด้วยคนขาวถือปืน พริมจึงเกิดอาการแพนิกขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวเร็ว มือไม้สั่น พริมอยากหนีออกไปจากที่นี่
แต่พิธีการได้เริ่มขึ้นแล้ว พริมจำไม่ได้ว่าตัวเองเข้ามาภายในโบสถ์เมื่อไหร่ ลาคแลนยืนอยู่ข้างๆ ส่วนเจคและแมรี่ยืนอยู่ด้านหน้าของเธอ ประตูโบสถ์ปิดลง ผู้คนแออัด ถ้าพริมจะเป็นลมไปตอนนี้จะใช้ข้ออ้างว่าไม่มีอากาศหายใจก็ย่อมได้ แต่ทันใดนั้นเสียงออแกนก็ดังขึ้น นักร้องประสานเสียงร้องเพลงที่พริมจับคำพูดไม่ได้เป็นเสียงแหลมสูง ระหว่างนั้นผู้คนโดยรอบดูหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ จนแออัดกว่าเดิม
เสียงออแกนและนักร้องประสานเสียงยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนมากมายในชุดทหารเพิ่มขึ้นไม่หยุด บางคนมีรอยเลือดเป็นวงกว้าง บางคนหัวขาด บางคนไม่มีขา หรือที่มีขาก็ขาไม่ติดพื้น ในตอนนั้นเองที่พริมคิดได้ว่าครึ่งหนึ่งของคนที่มาร่วมงานไม่ใช่แค่ประชาชนกีวี่อย่างที่เธอคิด แต่เป็นวิญญาณของเหล่าทหารในศึกครั้งนั้นมาร่วมด้วย
จากที่แพนิกแอทแทคอยู่แล้ว ขณะนี้พริมรู้สึกจะเป็นลม พริมจึงถอยมาพิงผนังโบสถ์ชั่วครู่ หวังว่าเหล่าวิญญาณทหารจะไม่สังเกตเห็นเธอ หรือสังเกตเห็นว่าเธอเห็นพวกเขา เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นที่ขมับและฝ่ามือ พริมพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ตามที่นักบำบัดเคยสอนเธอ แต่ก็ไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามในสายตาของลาคแลนที่หันมามองเธอเมื่อครู่ดูเหมือนจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติและเข้าใจว่าเธอเพียงแค่เหนื่อยและเบื่อเท่านั้น
เสียงของวงประสานเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ พริมแยกไม่ออกแล้วว่าทุกเสียงที่เธอได้ยินมาจากนักร้องที่มีชีวิตอยู่หรือไม่ นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือทั้งทริปนี้ที่เธอเดินทางมารังกิตาตาคือความผิดพลาด พริมพลันนึกถึงแอนนาที่แวะมาคุยกับเธอเมื่อเช้า ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเธอจะเจอผีทหารมากมายขนาดนี้ แต่แอนนาคงไม่ได้นึกเผื่อว่าเธอจะกลัวโดนลากคอไปยิงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์กราดยิงไม่กี่เดือนก่อนอีกด้วย
พิธีการรำลึกในโบสถ์ยาวนานเหลือเกิน พริมบอกไม่ได้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่ประหลาดใจที่ตนเองยังคงทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ บางทีเธออาจจะแค่ขอไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น แต่ผีทหารที่ยืนอยู่รอบๆ ทำให้เธอไม่กล้าขยับตัวไปไหน
ในที่สุดเสียงก็เงียบลง เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด คาดว่าจะเป็นการยิงปืนปิดงานตามทีแมรี่เคยบอก พริมไม่ได้ฟังพิธีกรกล่าวปิดงานเลยจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่ว่าเหตุการณ์ดูตึงเครียดน้อยลง ผู้คนเบาบาง เหมือนกับว่าเหล่าวิญญาณทหารผ่านศึกจะหายไปแล้ว พริมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงท้องร้องของลาคแลนดังขึ้น ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว แต่พริมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทานอะไรลงได้แค่ไหน หรือจะอาเจียนออกมาเสียก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in