เมื่อไม่นานมานี้หอภาพยนตร์ร่วมกับ film virus นำภาพยนตร์ของผู้กำกับจากประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านของเราเองมาจัดฉายโดยเป็นผลงานของผู้กำกับอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล Lav Diaz จัดฉายต่อเนื่องเริ่มที่ิ the women who left, lullaby to the sorrowful mystery, season of the devil 3วัน 3เรื่องตามลำดับและวันสุดท้ายมีการเสวนากับLav Diaz ที่เดินทางมาตอบคำถามกับผู้ชมในวันนั้นเองเลย
ตัวผู้เขียนมีโอกาสได้รับชมในวันที่3ซึ่งเป็นวันสุดท้ายพอดีโดยที่ไม่ทราบเลยว่าผู้กำกับคนนี้เป็นใครหรือว่ามีผลงานอะไรบ้างอีกอย่างนั่นคือไม่รู้เรื่องความเคลื่อนไหวในทางภาพยนตร์ของประเทศฟิลิปปินส์ด้วยซ้ำเมื่อมาถึงก็ยิ่งตกตะลึงกับความยาวของภาพยนตร์ที่นานถึง4ชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่มีความยาวน้อยที่สุดแล้วของผู้กำกับคนนี้เนื่องจากวันก่อนหน้าที่ผู้เขียนพลาดไปนั้นได้จัดฉายหนังที่มีความยาวถึง8ชั่วโมง โดยที่ความเห็นของผู้กำกับได้กล่าวขณะเสวนานั่นคือภาพยนตร์นั้นถือว่าเป็นศิลปะแล้วเราไม่ควรเอากรอบของหนังฮอลลีวูดมาเป็นกรอบที่จำกัดความยาวของภาพยนตร์นั้นเสียว่าควรจะอยู่ในเวลาชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงเท่านั้น
season of the devil เป็นภาพยนตร์เพลงเรื่องราวและบทพูดของตัวละครทั้งหมดในเรื่องนั้นคือการร้องเพลงและบทกวีทั้งหมดโดยที่ไม่มีดนตรีประกอบทั้งสิ้นถ่ายเป็นภาพขาวดำโดยอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวสี่ชั่วโมง
เล่าเรื่องของกวีหนุ่มที่คนรักของเขาได้อาสาเดินทางไปเป็นแพทย์ในหมู่บ้านอันห่างไกลในช่วงที่การเมืองณ เวลานั้นระส่ำระสายเป็นเหมือนภาพสะท้อนถึงการเมืองในปัจจุบันของฟิลิปปินส์เอง
หญิงชราที่สามีและลูกชายถูกสังหารในช่วงกฎอัยการศึกและกลุ่มทหารที่เข้าไปรุกรากคนในหมู่บ้านต่างๆพร้อมการปลูกฝังความคิดทางการเมืองให้กับเหล่าชาวบ้านที่ถูกข่มเหงรุกราน
การเป็นหนังที่ร้องเพลงตลอดทั้งเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่นั่นแน่นอนอยู่แล้วเพราะประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เพลงนั้นมีมาอย่างยาวนาน แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยเห็นหนังเพลงที่เล่าเรื่องอันแสนมืดหม่นแบบนี้เท่าใดนัก นั่นจึงเกิดปัญหาในขณะที่ดูเพราะจากภาพที่เราเห็นมันคือการกระทำที่โหดร้ายที่มนุษย์คนหนึ่งทำต่อกัน
ความโหดร้ายที่เราเห็นขัดแย้งกับเสียงที่เราได้ยินอย่างเห็นได้ชัดขณะภาพที่เห็นดำเนินไปพร้อมบทเพลงที่เปล่งออกจากปากเหล่าตัวละครมันดูแปลกตาขัดแย้ง และเฉพาะตัวอย่างถึงที่สุดเป็นการสร้างโลกจำลองที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงขึ้นมา จึงไม่แปลกใจอะไรที่ขณะรับชมจะได้ยินเสียงหัวเราะในโรงภาพยนตร์เป็นระยะๆขัดแย้งกับเรื่องราวที่หม่นหมองเศร้าสร้อย แต่นั่นหมายถึงว่าผู้กำกับได้สร้างโลกเฉพาะขึ้นมาได้อย่างประสบผลสำเร็จแม้มันจะเป็นโลกที่เราไม่อาจวางตัวได้ถูกก็ตาม
โลเคชั่นของเรื่องส่วนใหญ่จะเกิดในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลซึ่งตัวผู้กำกับได้สะท้อนภาพของหมู่บ้านนั้นเปรียบเสมือนกับประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงระหว่างปีที่เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เป็นประธานาธิบดี ภาพของหมู่บ้านที่โดนเหล่าทหารเข้ารุกรานหรืออาจจะเรียกว่าปรับทัศนะคติ ให้มีความคิดในทางการเมืองไปในทางเดียวกัน โดยท่านผู้นำ มาร์กอส Lav Diaz ได้ออกแบบคนที่เป็นผู้นำประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงเวลานั้นให้มีสองใบหน้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังโดยส่วนหน้าคือมาร์กอสและส่วนหลังคือประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน โรดรีโก ดูแตร์เต เมื่อใดก็ตามที่ท่านผู้นำได้กล่าววาจาออกมาผู้กำกับตั้งใจที่จะไม่ใส่ซับไตเติ้ล ที่ให้เห็นภาพของบุคคลที่มีสองใบหน้าออกมากล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนโดยที่พูดไม่รู้เรื่องอะไรเลยเสียงที่นำมาใส่แทนบทพูดเหล่านั้นคือการผสมกันของเสียง มาร์กอส ดูแตร์เต ฮิตเลอร์และ โดนัล ทรัมป์ ที่พูดย้อนกลับหลังโดยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าท่านผู้นำในภาพยนตร์นั้นกำลังพูดอะไรในความคิดเห็นของผู้กำกับเองเขากล่าวว่าเราไม่มีทางเข้าใจคำพูดของคนบ้าเหล่านั้นได้ เป็นลูกเล่นที่แสบๆคันๆเล็กน้อยที่เขาใส่ไว้
เป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่แปลกหูสะดุดตา ทั้งในความงามและความกระอักกระอ่วนในการรับชมอยู่ในเวลาเดียวกัน หากมีโอกาสได้รับชมหนังเรื่องนี้ก็ขอให้เตรียมใจรับของหนักสายแข็งได้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in