08.
จีมินคิดว่ามันคือความสุขในทีแรก
เขามาเรียนชดเชยที่มหาลัยแทนวันที่อาจารย์แคนเซิลคลาสไป การมาแต่เช้าและตรงเวลาแลกมาด้วยการได้ขึ้นลิฟท์สองต่อสองกับมินยุนกิ
สองต่อสอง
และมินยุนกิ
แค่สองคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวจีมินก็แทบจะเป็นบ้าตายด้วยความขวยเขินอยู่แล้ว
ผมมองยุนกิจากด้านหลังเงียบๆ เขากลับมาทำผมสีดำอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ มันดูดีชะมัด
อีกฝ่ายมีนิสัยประหลาดที่ชื่นชอบการย้อมสีผมแปลกๆแบบที่คนปกติไม่กล้าย้อมกัน
แต่เชื่อเถอะ เพราะใบหน้าและผิวขาวๆนั่น ไม่ว่าจะสีผมที่น่าเกลียดแค่ไหน เขาก็เอาอยู่ทุกสี เขาดูดีจนผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วย
หลังจากแอบแทะโลมอีกฝ่ายทางสายตาด้วยความอารมณ์ดีแล้ว
ลิฟท์มันก็ค้าง
โอ...พระเจ้า นี่คือบทลงโทษจากการเชยชมผลงานชิ้นเอกของท่านหรือ
ผมตระหนกเล็กๆ นี่เป็นเหตุการณ์ลิฟท์ค้างครั้งแรกในชีวิตเลย
และมันก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เปิดปากคุยกับยุนกิ--- ความรักของผม
เราพูดคุยกันเล็กๆ ก่อนจะจบด้วยการนั่งลงกับมุมลิฟท์อย่างจนไร้ซึ่งหนทาง
อืม--- มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่หากเราพบกันอีกทีบนสวรรค์เลย โดยไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ (หมายถึงเขาไม่รู้จักผม)
"ผมปาร์คจีมิน ปีหนึ่งครับ" ผมกลั้นใจ พูดแนะนำตัวเองด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนิดหน่อย แต่เพราะด้วยความสามารถทางการแสดงส่วนตัว มันทำให้ออกพิรุธมาไม่มากนัก
ผมเห็นเขาเลิกคิ้วแปลกใจในทีแรก ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ผมว่าเขาหน้าตาน่ารักมาตลอดเลยนะ (แต่แน่นอนที่สุด เขาก็หล่อมากในขณะเดียวกัน) ใช่ และที่เขาทำเมื่อกี๊มันก็น่ารักมาก
ถ้าผมยังไม่ได้รักเขา คงพูดได้เต็มปากว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตกหลุมรัก
แต่เพราะผมอยู่ในนั้นอยู่แล้ว คงพูดได้แค่ว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมตกลงไปลึกขึ้น--- ขอบคุณพระเจ้า ผมจะรักใครได้มากเท่านี้อีกไหม
เสียงทุ้มห้าวที่ผมไม่เคยได้ยินกับหูตัวเองชัดๆตอบกลับมา
"มินยุนกิ ปีสาม"
เขาตอบมาแค่นั้น แต่เชื่อเถอะ ทั้งสัปดาห์นี้มันต้องวนเวียนก้องอยู่ในหัวผมแน่ๆ
พวกเรานั่งลงกันคนละมุมของลิฟท์ ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
หนึ่ง เพราะผมกำลังเขินมาก ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
และสอง เขาที่กำลังหลับตาพิงไปกับผนังลิฟท์ที่ฝั่งตรงข้ามกับผมมันช่างโซแดมฮอต
ทั้งเรียวปากที่เผยอน้อยๆ สันกรามคมๆรวมกับต้นคอขาวๆ
ผมว่าผมอาจจะเป็นบ้าตายภายในสักวัน
เขาลืมตาในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา เหมือนที่หลับตาเมื่อครู่เป็นแค่การพักสายตาใช้ความคิดเท่านั้น
"ผมนัดเพื่อนไว้ นี่ก็เกินห้านาทีแล้ว...เราคุยกันครั้งสุดท้ายก่อนผมเข้าลิฟท์มา เขาน่าจะรู้สึกตัวได้แล้วมั้ง"
มินยุนกิหันมาพูดกับผม กระแสเสียงทุ้มนั้นนุ่มอ่อนโยนจนไม่อยากจะทนฟังเลย เหมือนผมจะละลายลงไปเป็นของเหลวให้เขาเหยียบย่ำได้
"งั้นเหรอครั...." แต่กว่าที่ผมจะตอบอะไรไป เจ้ากล่องเหล็กเคลื่อนย้ายโดยสารนี่ก็สั่นกึงกังเบาๆ
แต่ทำเอาผมตกใจกลัวได้เลยล่ะ
เราอยู่ในลิฟท์เก่าๆของทางมหาลัยที่ไม่ยอมซ่อมแซม เวลาผ่านไปห้านาทีกว่าแล้ว และผมคิดว่าสายเคเบิ้ลที่ช่วยพยุงและดึงลิฟท์นี่อาจจะแข็งแรงไม่พอ แล้วพาเราทัวร์ดิ่งพสุธาแบบไม่มีตัวกลั๋บ
ผมเป็นคนขี้กังวลกว่าที่เห็นนะ เรียกว่าคิดมากและขี้กลัวก็ยังได้
แต่มินยุนกิไม่ใช่แบบนั้นไง
เขาสุขุมจนผมไม่รู้ว่าตกลงเขาแค่ใจเย็น หรือว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรกันแน่
แต่ผมลืมความรู้สึกกลัวพวกนั้นไปหมดแล้วล่ะ
เพราะมือของเขาเอื้อมมาจับมือผมไว้
จากนั้นผมก็ตกลงไปในวังวนสีชมพู
===============TALK===============
อะไรน่ะยุงเกะ! แอบลวนลามน้องเหรอ /ไม่ใช่
เรื่องนี้พระนางเขาก็ค่อนข้างจะขี้มโนไปเองหน่อยๆนะคะ *ฮา* คือคู่นี้เขามีพร้อมทุกอย่างเลยนะสำหรับการเป็นคนรัก ขาดแต่ความกล้าและความมั่นใจในตัวเองนี่แหละค่ะ
แต่จะว่าก็ไม่ได้นะคะ เขาแอบมองกันมาหลายปี โมเมนท์เวลาแอบชอบใครมันก็เป็นช่วงเวลาที่สวยงามทั้งนั้นแหละค่ะ ยิ่งคนที่เราแอบมองไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใครแบบนี้ ทั้งสองคนก็เคยชินที่จะอยู่ในคอมฟอร์ตโซน แค่ได้มองก็พอใจ มีความสุข ยิ้มหน้าบานไปทั้งวันแล้วล่ะ
หลังจากนี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆแล้วค่ะ มาดูกับว่ารัหว่างลูกแมวจีมินกับพี่เสือยุนกิ ใครจะเป็นฝ่ายออกจากคอมฟอร์ตโซนก่อนกัน:)
ด้วยรักและเคารพ
ป.ล. สุดท้ายก็น่าจะเกินห้าตอนจริงๆด้วยค่ะ แต่จะพยายามให้ไม่เกินสิบห้าตอนนะคะ *ร้องไห้* นี่มันเกินคำว่า SF มากเกินไปแล้ว!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in