กลับมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังเต็มไปด้วยเสียงจอแจที่โต๊ะหนึ่งด้านในร้านพ่อลูก(เกษมคิดอยู่ฝ่ายเดียว)สนุกกับการผลัดกันตักอาหารให้กันไปมา
“กินนี่ครับ อร่อยมาก” มือเล็กคีบเนื้อปลาสดๆของโปรดใส่จานคนข้างๆ แต่คนวัยทองที่โตแต่ตัวไม่คีบเอง อ้าปากเหมือนเด็กเล็กชะเอมส่ายหน้าอมยิ้มขำทำเป็นเมิน แต่ก็ต้องยอมคีบเนื้อปลาจากจานป้อนคนที่ยังอ้าปากรอก่อนที่แมลงวันจะบินเข้าไปแทน
“เอมกินบ้างเถอะ มาเดี๋ยวลุงตักให้” เกษมเคี้ยวเนื้อในปากตุ้ยๆอย่างมีความสุข อยู่กับเจ้าตัวเล็กเขามีความสุขจนต้องกระดี๊กระด๊าคีบโน่นนั่นนี่ผิดวัย(?)ใส่จานชะเอมจนพูน
“คุณลุงเยอะไปแล้วครับเอมกินไม่หมด”
“กินไปเยอะๆ นั่นแหละดีรู้ตัวบ้างไหมว่าผอมลงมาก เดี๋ยวไปเจออากฤษล่ะโดนดุหนักแน่” เกษมติงเสียงดุทำเสียงแบบนี้เจ้าตัวเล็กจะได้กลัวซะบ้าง ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวร้องเอ๋ยาว
“แต่ว่าเอมก็กินอาหารตามเวลาที่คุณลุงกับคุณหมอบอกทุกมื้อแล้วนี่นา” ชะเอมมุ่ยปาก
...ส่วนเรื่องนอนไม่ค่อยหลับพักผ่อนไม่เพียงพอกับสารพัดเรื่องที่มีให้คิดให้เครียด เก็บไว้ก่อนไม่บอกดีกว่า
“ไม่ต้องเลย รู้ทั้งรู้ว่าต้องควบคุมน้ำหนักตัวเองพออยู่คนเดียวแล้วปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวลุงจะ...”
“โอเคคร้าบ เอมกินแล้วๆกินหมดเลย” เอมโบกตะเกียบในมือขัดคำพูดทันทีเพราะรู้ว่าเกษมจะพูดอะไรต่อก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการกินเนื้อสารพัดยัดเข้าปากเคี้ยวหงุบๆคนมองก็ได้แต่หัวเราะหึหึ
“เห็นมั้ยครับ กินหมดแล้วแค่ก! แค่กๆ...”
“เอ้า เอม ค่อยๆ สิลูกกินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด เด็กคนนี้” เกษมลูบหัวลูบหลังเบาๆ ด้วยความเอ็นดูพลางหยิบแก้วน้ำส่งให้คนไอหน้าดำหน้าแดงค่อยๆจิบ สักพักหนึ่งอาการดีขึ้นแล้วมือใหญ่ละออกจากแผ่นหลังบาง มองนาฬิกาข้อมือ
“เจ้าคินมันไปไหนเนี่ยทำไมมาสายขนาดนี้”
หัวข้อคุยที่เปลี่ยนกะทันหันทำเอาเอมสำลักน้ำที่จิบอยู่อีกรอบ แต่ดีที่เก็บอาการทัน
ลืมไปซะสนิทว่าวันนี้คินก็มาด้วย...
“...รถติดมั้งครับ” เอมนึกถึงความเป็นไปได้เลยช่วยตอบแทน ส่วนมือบางหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก
“เหรอ...แต่ตอนลุงมารถก็ไม่ติดนะ” เกษมมุ่นคิ้วนึก “แล้วตอนเอมมารถติดรึเปล่า”
“เอ่อ...นิดหน่อยครับ” เอมเกาหัวเขาไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะดูเหมือนตอนนั่งแทกซี่ก็เหม่อๆ ไม่ได้ดูทางซะด้วยสิ “อีกแปปนึงละมั้งครับเอมว่าคินน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
ตรู๊ด...ตรู๊ด
ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ของเกษมดังขึ้น มือใหญ่หยิบขึ้นมาดูปรากฏชื่อที่ไม่ต้องคาดเดาก็กดรับ
“ฮัลโหลไอ้ลูกชาย...เออ...เหรอ...โอเค...อะไรนะ...โอเคๆเดี๋ยวสั่งไว้ให้...สองที่นะ...แค่นี้ เจอกัน” ชะเอมตงิดกับบทสนทนาที่เกษมพูดตอบรับกับอีกฝั่งของปลายสายแต่ไม่พูดอะไรทำเพียงมองหน้าคนตัวใหญ่ข้างๆ เมื่อเกษมวางสายก็เลิกคิ้วมองโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วก็หันมาพูดกับร่างบาง
“เจ้าคินถึงแล้วกำลังวนหาที่จอดอยู่ เอมเรียกพนักงานให้ลุงหน่อยเจ้าคินฝากสั่งออเดอร์มาถึงจะได้กินเลย”
“ครับ...” ใบหน้ามนพยักหัวยังติดใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ถาม หันไปยกมือเรียกพนักงานตามที่คุณลุงบอก “พี่ครับสั่งออเดอร์หน่อยครับ”
“สักครู่นะคะ...”พนักงานหญิงเดินหายไปพักหนึ่ง จึงกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับกระดาษจด “รับอะไรดีคะ”
“ขอซาชิมิหนึ่งที่ข้าวหน้าปลาไหลสอง กับชาเขียวร้อนสอง” เกษมศักดิ์ชี้เมนูตามที่ไอ้ลูกชายบอกชะเอมหันขวับมามองทันทีเมื่อเห็นเกษมสั่งมาเพิ่มเยอะจนแปลกใจทั้งๆที่บนโต๊ะยังกินไม่หมด
“เดี๋ยวครับคุณลุงจะกินอีกเหรอ”
“ลุงเปล่า ทั้งหมดนี่ของเจ้าคินมัน” เกษมส่ายหน้าก่อนถามเจ้าตัวเล็กว่าจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยคำตอบที่ได้รับคือส่ายหน้า จึงหันไปบอกพนักงาน “เท่านี้ล่ะครับ”
“เห็นคินมันพาเพื่อนมาด้วยนะเลยบอกลุงให้สั่งเผื่อไปด้วยเลย” เมื่อพนักงานเดินไปแล้วเกษมจึงหันมาคุยต่อเพราะใบหน้ามนสงสัยไม่หาย
อะไรนะ...
ชะเอมชะงักค้างไม่รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าซีด มือกำตะเกียบแน่น
เพื่อนของคิน?ปกติมาทานอาหารกับครอบครัวคินไม่เคยพาเพื่อนมาด้วยเลยสักครั้ง...แล้วทำไม?
ร่างบางไม่อยากคาดเดาว่าเพื่อนของคินคนนี้คือใครในใจทั้งเสียใจ น้อยใจ ไม่พอใจ ความรู้สึกทั้งหลายปนเปกันไปหมดเพราะรู้ทั้งรู้ว่ายังไงเพื่อนที่คินพามาก็น่าจะเป็นคนๆ เดียวกับที่คิด...
เกษมศักดิ์เหลือบมองชะเอมที่ตอนนี้นั่งนิ่งไปแล้วตั้งแต่ได้ยินว่าคินจะพาเพื่อนมาใบหน้าซีด เม้มปากแน่นจนขาว ในใจนึกเป็นห่วงร่างบางแค่ไหนแต่เขาที่เป็นพ่อไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของลูกๆ
ถึงจะไม่รู้สถานการณ์อะไรแต่ก็พอจะเดาได้ เกษมผ่านอะไรมามาก และอยากให้ชะเอมฝ่าฟันผ่านมันไปได้ด้วยตัวเองถ้าถึงตอนที่เจ้าตัวเล็กไม่สามารถจัดการได้คนเป็นพ่อ(บุญธรรม)อย่างเขาถึงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งก็ต้องยุ่ง
ไม่อยากเสียไปอีกแล้วไม่ว่าใคร...
“สวัสดีครับพ่อโทษทีครับวันนี้คินตื่นสายไปหน่อยแถมรถก็ติดอีก” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายดังขึ้นทำให้แผ่นหลังบางที่นั่งนิ่งสะดุ้งเฮือกเนื่องจากพวกเขาสองคนที่มาถึงก่อนนั่งหันหลังให้กับคนที่เดินเข้ามาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าร่างสูงเข้ามาตอนไหนแต่ชะเอมยังคงนั่งหลังตรงไม่ได้หันไปมอง
“อ้าว มาถึงแล้วเหรอ มาๆนั่งก่อน” เกษมกวักมือถึงจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอาการของร่างบางที่นั่งตัวเกร็ง แต่พยายามกลบอาการแต่ก็ไม่รอดสายตาคมของพ่อ(บุญธรรม)หรอก
มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้
“พ่อคินสวัสดีครับ...คินเข้าไปนั่งข้างในเดี๋ยวเรย์นั่งข้างนอก” เสียงใสดังระรื่นที่แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่า ‘เพื่อน’ ของคินคือใคร
“ชะเอม หวัดดี”
ใบหน้าน่ารักของเรย์ขยับมาอยู่ในระดับสายตาพอดีกันอาจจะเตี้ยกว่าหน่อยเพราะเรย์ตัวเล็กกว่า เมื่อทั้งคู่หย่อนตัวลงนั่งก็พอดีกับที่พนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารที่เพิ่งสั่งอย่างตรงเวลาเอมรู้สึกดีใจนิดหน่อยที่เขาไม่ต้องทักใครอีกคนกลับไปซึ่งอีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ถือสาว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่
“โอ้ มาถึงก็ได้กินเลยคงจะหิวกันแล้ว กินเลยนะ พอดีพ่อกับชะเอมกินกันเรียบร้อยแล้วล่ะ” เกษมพูดเสียงสดใสขึ้นระหว่างที่พนักงานเสิร์ฟอาหารเพราะดูออกว่ามีคนหนึ่งที่เริ่มอารมณ์ดิ่งลงตั้งแต่สองคนใหม่เดินเข้ามา ไม่สิตั้งแต่รู้ว่าคินจะพาใครมามากกว่า
“พ่อ นี่เรย์เพื่อนผมเองเรย์นี่พ่อของคิน” คินผายมือและพูดแนะนำพ่อกับเพื่อนของตนให้รู้จักกันซึ่งเรย์ก็ยิ้มกว้างสว่างไสวดีใจจนออกนอกหน้า
“สวัสดีฮะคุณอา” ร่างเล็กพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อมใครเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดู ซึ่งเกษมก็ยิ้มรับ เอมนั่งมองอย่างนิ่งเฉย แต่มือบางบนตักจิกกันแน่น
ตั้งแต่มาถึง คินยังไม่ทักทายไม่สบตาเขาสักนิด
ทำไม...โกรธเขาถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“สวัสดีเรย์ หนูเรียนคณะเดียวกับเจ้าคินเหรอ” เสียงทุ้มถามคำถามเบสิกเมื่อต้องเจอกับเพื่อนของลูกชายตัวเอง
“ใช่ฮะ เจอกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็อยู่กลุ่มเดียวกันตลอดฮะ” คำสรรพนามที่ส่อถึงความเอ็นดูยิ่งทำให้เรย์รู้สึกเข้าใกล้พ่อของ ‘เพื่อน’ ได้มากกว่าเดิมเรย์มองหน้าพ่อของคินตาใส คินได้เค้าหน้าของพ่อมาเต็มๆ ทั้งหล่อเหลาทั้งดูน่าเกรงขาม
“เหรอ” เกษมมองหน้าเรย์เพื่อนของคินคนนี้น่ารักจริงๆ พูดก็เพราะ อ่อนน้อมถ่อมตนผู้ใหญ่เห็นก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา “วันนี้มาด้วยกันใช่ไหมคนนี้เหรอเจ้าคินที่เอมบอกว่าลูกออกไปค้างหอพื่อนแล้วทำงานกลุ่มด้วยกัน” เกษมหันไปถามลูกชายที่นั่งกินข้าวหน้าปลาไหลอยู่เจ้าตัวชะงักไม่ทันได้ตอบอะไร กลับทำให้ชะเอมซะอีกที่นั่งเหม่อมองหน้าคินได้ยินคำถามก็ร้อนรนรีบตอบกลับมาแทน
“ครับคุณลุง...เพื่อนคนนี้แหละครับ”
“อ๋อ...เหรอ” เกษมรับคำแบบไม่คิดจะถามอะไรต่อแต่ใจสงสัยหนัก
คินที่เข้าใจอะไรบางอย่างหันไปมองหน้าร่างบางที่นั่งเซื่องซึมตอนแรกคินก็สงสัยอยู่ว่าตั้งแต่เขาย้ายของออกมาอยู่กับเรย์ได้เกือบเดือนไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าจากพ่อสักสายที่จะโทรมาด่าหรือต่อว่าที่เขาออกมาโดยทิ้งชะเอมไว้คนเดียวพ่อเขาน่ะหวงชะเอมจะตายไป
ตอนนี้คินรู้แล้วว่าเอมโกหกเกษมว่าเขาไปค้างหอเรย์เพื่อทำงาน
ว่าแต่ทำไมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ...ถ้าเอมไม่ชอบเรย์นักก็โทรรายงานพ่อเขาให้ตามตัวเขากลับก็สิ้นเรื่อง
เรย์ได้ยินเรื่องราวต่างๆก็มองหน้าชะเอมที่นั่งอยู่ตรงข้าม ถึงใบหน้าน่ารักจะแย้มรอยยิ้มแต่แววตาหมั่นไส้อย่างปิดไม่มิด โดยไม่มีใครสังเกตเห็นส้นเท้าหุ้มด้วยรองเท้าหนากระแทกบดขยี้ลงบนเท้าของชะเอมอย่างแรงจนร่างบางสะดุ้งร้องอย่างเจ็บปวด เรียกความสนใจจากคินและเกษมได้อย่างดี
“เอมเป็นอะไรรึเปล่า” เรย์ตัดหน้าถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง
“มะ ไม่เป็นไร” เห็นสายตาจากคนทั้งสามมองมาก็รีบปฏิเสธเสียงเบานั่งตัวลีบติดกับพนักพิงให้ห่างจากคนตรงหน้าที่คิดว่าไกลที่สุด
“เหรอ” เรย์มองอย่างสมเพชก่อนก้มหน้าทานอาหารหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หึ...ทำเป็นทำตัวน่าสงสารเรียกร้องความสนใจ
“แล้วจะทำงานเสร็จเมื่อไหร่หืม รู้ไหมว่าคินไม่อยู่เอมยิ่งซุ่มซ่าม เนี่ยเมื่อเช้าเพิ่งล้มกระแทกไปที”
“คุณลุงครับ” เอมรีบเอ่ยขัดเกษมที่คิดจะพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง
แค่นี้เรย์ก็หมั่นไส้เขามากพอแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจออะไรอีกด้วย
“ไม่ได้เอมต้องบอกให้คินรู้ไว้หน่อย จะได้กลับมาดูแลกันบ้าง ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“คิน...เค้าทำงานครับคุณลุงเอมอยู่คนเดียวได้ เราคุยกันแล้วไงครับ” เอมพูดเสียงเบาพยายามอธิบาย
เรย์มองท่าทางละล่ำละลักนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้มากกว่าเดิมหลายเท่าทำเป็นสะดีดสะดิ้ง แต่ใจจริงอยากเอาคินกลับไปกกจนตัวสั่นล่ะสิไม่ว่า!
“ลุงรู้ แต่ลุงเป็นห่วงแล้วที่เราตกลงกันคือลุงบอกว่าเอมต้องมีคินอยู่ด้วย...”
ตรู๊ด...ตรู๊ด...
เสียงเรียกเข้าดังขัดขึ้นมาทำให้เกษมศักดิ์ต้องรับสาย คุยสักพักก็วาง
“เอม ลุงต้องรีบไปก่อนมีธุระด่วนเข้ามา” มือใหญ่ลูบศีรษะพอดีมือก่อนหันไปคุยกับลูกชาย“คินพ่อฝากพาเอมไปโรงพยาบาลดูแผลหน่อย ถ้าไม่บังคับชะเอมคงไม่ไป”
“ครับ” คินพยักหน้า แม้ในใจจะติดสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรเพราะคิดว่าน่าจะเป็นตรวจสุขภาพ...ตามปกติ
"อ้าว ชะเอมเป็นอะไร? เจ็บตรงไหนเหรอ"เรย์ทำหน้างุนงงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่เจ้าตัวเม้มปากไม่ตอบ เกษมที่ยืนมองอยู่เลยตอบแทน
"พอดีเอมลื่นล้มเมื่อเช้าก็เลยมีแผลฟกช้ำน่ะ...ซุ่มซ่ามจริงๆเจ้าเด็กคนนี้ ไม่มีวันไหนที่ไม่ทำให้ลุงเป็นห่วง" มือใหญ่ลูบหัวชะเอมหนักๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ซึ่งพอคินได้ยินก็หันขวับไปมองร่างบางที่นั่งก้มหน้าทันที
"อ๋อฮะ" เรย์รับคำแต่ส่งสายตาจิกกัด
สำออย...
“เอาล่ะคินพ่อฝากด้วยนะ...แล้วลุงจะโทรมา”เกษมพูดกับเจ้าลูกชายก่อนหันมากำชับเสียงดุกับเอมไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธรับไหว้จากเรย์ ก่อนเดินออกจากร้านไป
คราวนี้เหลือกันอยู่แค่สามคนตามลำพังแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีแต่ชะเอมกับคินเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด
"คิน กินนี่สิ อร่อยมากเลย" เรย์คีบเนื้อปลาสดๆ จ่อตรงปากร่างสูงคินชะงักมองหน้าเรย์สลับกับชะเอมที่มองมาอย่างเจ็บปวด
"ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ" แต่ก่อนจะอึดอัดไปมากกว่านี้ ร่างเล็กก็หัวเราะขึ้นมาเหมือนตลกอะไรนักหนาวางสิ่งที่คีบลงบนจานแทน
สะใจชะมัด
ชะเอมเบือนหน้ามองออกไปข้างนอกกระจกใสราวกับมีอะไรน่าสนใจมากกว่าข้างในแต่หูก็ยังได้ยินบทสนทนาที่ไม่อยากได้ยิน
“เสียดายจังเพิ่งมาถึงแปปเดียวพ่อคินก็ไปซะแล้ว อยากคุยมากกว่านี้แท้ๆ น้า คุณอามาดเข้มมากเลย”
“เอาน่า พ่อยุ่งๆ น่ะ”
“นั่นสิเนอะงั้นไว้ครั้งหน้าถ้าคินกเรย์ขอมาอีกนะ”
“...อืม”
"แล้วหลังจากพาเอมไปโรงพยาบาล เราจะไปไหนกันต่อมั้ยคิน"
"เรย์อยากไปไหนล่ะ"
"อืม..." ร่างเล็กทำท่านึก "อันที่จริงเรย์อยากกินไอติมที่นี่ต่อแต่สงสัยต้องเปลี่ยนโปรแกรมแล้วล่ะเพราะคินมี 'ธุระ' ต่อนี่นา"
"เมื่อวานเพิ่งกินไป นี่จะกินอีกแล้วเหรอ?"เสียงทุ้มหัวเราะขำปนเอ็นดูยิ่งทำให้ชะเอมจิกแขนแน่นจนเป็นรอยเล็บ
อย่าร้องไห้นะ ชะเอม...อดทนไว้
ภาพคนที่เดินผ่านไปมาข้างนอกจู่ๆก็เบลอพร่าไปหมด ร่างบางกระพริบตาหนักๆ หลายทีเพื่อไล่น้ำตา
“โธ่ คินก็รู้ว่าเรย์ชอบกินไอติมมากกกขนาดไหน”
เสียงหัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุขของสองคนที่ยิ่งทำให้คนที่สามนั่งฟังก็ยิ่งห้ามน้ำตาได้ยากมากขึ้นทุกทีนานจนทนไม่ไหว ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านทันที
"เอม เดี๋ยว! จะไปไหน" ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มไล่ตามหลังมายิ่งทำให้ชะเอมเร่งฝีเท้าเดินหนีเช็ดน้ำตาที่เอ่อออกมาด้วยแขนเสื้อ
"โอ๊ย!!" มือใหญ่คว้าเข้าเต็มๆ ที่ต้นแขนเล็กโดนเข้าที่แผลจังๆ
"เป็นอะไรเอม" คินถามขมวดคิ้ว แต่มือไม่ได้ปล่อย กลับจับแน่นกว่าเดิมเพราะกลัวร่างบางจะเดินหนีไปอีก
"เจ็บ คิน...ปล่อย ฮึก" ชะเอมไม่ได้ฟัง มืออีกข้างพยายามแกะมือใหญ่ที่จับแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งเรื่องเมื่อครู่แล้วยังความเจ็บที่ได้รับทำให้น้ำตายิ่งไหลอาบหน้า
“เอม...อย่าดิ้น”
คินพูดแต่ดูเหมือนร่างเล็กจะไม่ยอมฟังทั้งดิ้นพล่าน ทั้งตะกุยแกะมือของคินที่จับตัวเองเหมือนรังเกียจกันก็ไม่ปานความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นทำให้คินยิ่งบีบแขนเล็กแน่นไม่รู้ตัว ขายาวเดินลากคนผอมให้ตามกลับไปทางเดิมซึ่งร่างบางขัดขืนไม่ได้เพราะความเจ็บ
“ฮึกกก...เจ็บปล่อยแขนเอมนะ”
“ถ้าคินปล่อยก็ห้ามวิ่งหนี” คินหยุดเดินหันมาต่อรอง ชะเอมพยักหน้ามุ่ยรัว
“หยุดร้องไห้ด้วย” คำตอบที่ได้รับคือพยักหน้าอีกทีร่างสูงวางใจเลยค่อยๆ คลายมือออก ชะเอมกอบกุมต้นแขนตัวเองทันทีแต่ก็ไม่กล้าแตะแรง แถมยังรู้สึกเหมือนแผลเต้นตุบๆอย่างกับมีชีพจรอยู่ในนั้น คินมองใบหน้ามนที่เบะปากเบ้หน้าอย่างรู้สึกประหลาดใจ
“ร้องไห้ทำไม” คินถาม รีบคว้ามืออีกคนจับเพราะเห็นทำท่าจะเดินถอยหนีอีกแต่คราวนี้ไม่มีท่าทีขัดขืนเหมือนตอนแรก
“เจ็บแผล” กับเพราะเรื่องที่คนตรงหน้าคุยกระหนุงกระหนิงกันในร้านอาหารเหมือนเห็นเขาเป็นอากาศธาตุนั่นแหละร่างสูงถอนหายใจกับคำตอบสั้นห้วนของคนตัวสูงแค่จมูก
และเขาก็เพิ่งสังเกตสัมผัสใต้ฝ่ามือว่าชะเอมผอมลงขนาดนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"ทำไมไม่บอกว่าคินจับโดนแผล" คินขมวดคิ้ว ร้องไห้โวยวายจะไปรู้ได้ยังไง
แล้วคินสนใจด้วยเหรอ...ชะเอมคิดแต่ไม่พูด
“จู่ๆ เดินออกมาทำไม” คินถอนใจ ถามดีๆ ก็ไม่ตอบ
“...คินยุ่งอะไรด้วย” เอมเบือนหน้าหนีหูยังคงได้ยินเสียงของทั้งสองดังก้อง จำบทสนทนาได้เป็นอย่างดีเรียกความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาในอก “เอมจะไปไหนก็เรื่องของเอม”
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“...”
“เฮ้อ ทำไมทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้”
“ใช่! เอมไม่มีเหตุผลแล้วไง” ร่างบางตวาด “คินจะมายุ่งทำไม”
“ชะเอมที่คินรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้” คินยิ่งคุยยิ่งรู้สึกเหมือนกับคุยกันคนละเรื่องตอนแรกหวังว่าจะได้เคลียร์และทำความเข้าใจเรื่องที่ทะเลาะกันก่อนหน้าวันนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง
“เอมก็เป็นแบบนี้แหละก็เอมไม่ใช่เรย์นี่” น้ำเสียงเอือมระอาของคินยิ่งทำให้ชะเอมเอ่ยประชด ทั้งๆ ที่สิ่งที่อยากจะคุยด้วยมันไม่ใช่แบบนี้เขาไม่ได้ต้องการพูดแบบนี้
เพราะน้อยใจ...
“เอม! อย่าประชด...เรย์เขาเกี่ยวอะไรด้วย”
อ๋อ...พูดถึงไม่ได้เลยงั้นสิ แค่พูดชื่อมันขึ้นมาไม่ได้เลย
“ปกป้องกันนักก็กลับไปหามันสิจะออกมาตามเอมทำไม!” ร่างบางสะบัดมือหวังให้การเกาะกุมหลุดออกแต่ไม่เป็นผล
"คิน! เป็นอะไรรึเปล่า" เรย์ที่เพิ่งเดินมาจากร้านเดิมไม่ไกลก็เจอคนที่ตามหาสายตาจับจ้องมองมือที่จับกุมกันแน่น "ออกมาตั้งนานแล้วเรย์เลยมาตาม มายืนยุดยื้อเถียงอะไรกันเสียงดังตรงนี้คนเขามองกันหมดแล้ว"
พอเห็นใครเดินมามือบางยิ่งสะบัดแรงขึ้น แกะก็แกะไม่ออก และดูเหมือนร่างสูงก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย
"มัวทำอะไรอยู่ ของบนโต๊ะยังเหลืออีกเพียบเลย กลับไปกินข้าวกันเถอะ"ร่างบางคว้าแขนคิน ก่อนเอ่ยตำหนิอีกคน "แล้วเอม จู่ๆ เดินออกมาทำไม รู้มั้ยทำแบบนี้เดือดร้อนคนอื่นคินยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย"
"ไม่เป็นไรเรย์ คินกินไปนิดหน่อยแล้ว" ชะเอมมองสายตากับคำพูดที่เหมือนเป็นห่วงกันของคนสองคนก็เม้มปากแน่น ลำคอส่งเสียงหึเหมือนไม่สน แต่ใจก็รู้สึกเป็นห่วง
"คินไปสิ มีคนมาตามแล้วนี่"
"เอมก็ต้องไปกับคิน” คินจับมือบางแน่นกลายเป็นว่าทั้งสามคนเกาะเกี่ยวกันเหมือนกับว่าร่างสูงกำลังควงหนุ่มน่ารักสองคนไปเดทยังไงยังงั้น
“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง!”
“ไม่ยุ่งไม่ได้พ่อบอกให้พาเอมไปโรงพยาบาล เดี๋ยวคินพาไป"
อ้อ...แสดงว่าที่ตามมาตั้งแต่แรกไม่ใช่เพราะเป็นห่วง
'รับผิดชอบ'
"เอมไปเองได้ คินปล่อย" คำๆ หนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ชะเอมน้ำตารื้นใบหน้าของคนที่ชอบบัดนี้พร่ามัว
ทำไมวันนี้ถึงบ่อน้ำตาตื้นนักนะ
คิน...เพราะคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้...
“ไม่ได้ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวคินพาไป” คินกระชับมือดึงให้ร่างบางเดินตาม
“ถ้าชะเอมเค้าว่าอย่างนั้นก็ให้เค้าไปเองเถอะคิน ไม่ใช่เด็กอนุบาลซักหน่อย” เรย์ที่ได้แต่มองก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้กับความเล่นตัวของชะเอมแถมหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีกที่คินจับมืออีกคนไม่ปล่อยยื้ดยุดกันกลางห้างอย่างกับเหมือนแฟนที่ทะเลาะกัน
ร่างบางมองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาเหมือนเข้าใจเรื่องต่ำๆที่อีกคนคิด ก่อนหันไปย้ำกับคิน
“ตามนั้นแหละ ไม่ต้องห่วงถ้าคุณลุงถามอะไรเอมจะบอกให้นะ เอมจะไลน์ไปบอกคินด้วย จะได้ตอบตรงกันคุณลุงจะได้ไม่สงสัย”
“...” คินเพียงปรายตามองคนที่พูดละล่ำละลักไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไร
ชะเอมรู้ว่าที่คินทำแบบนี้เพราะเกษมศักดิ์ฝากให้ดูแล
ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าตลอดมาที่คินคบเขาเพราะต้องการจะทำตามคำพูดที่คุณลุงบอกเอาไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก...ไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นอย่างที่เรย์พูดไม่มีผิด
ถึงจะรักคินมากแค่ไหน แต่เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากคนที่ถูกบังคับให้ทำถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจ
"แล้วอีกอย่างคินก็ต้องพาเรย์ไปต่อ เอมไม่อยากรบกวนหรอก" ร่างบางก้มหน้าพูดสัมผัสจากมือใหญ่ละออก ทำให้ใจน้อยๆ ยิ่งวูบโหวง
“พูดพอรึยัง”
แต่แล้วมือบางถูกคว้าเอาไว้อีกครั้งก่อนถูกลากให้ก้าวตามไป
“เรย์ไปจัดการเรื่องค่าอาหารให้หน่อยเดี๋ยวคินคืน” คินบอกนิ่งเรย์พยักหน้าอย่างจำใจ คนตัวเล็กรู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไรและตอนนี้คินก็กำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง
“คินอยากคุย...เรื่องครั้งก่อนนะเอมไม่อยากคุยเหรอ” เมื่ออยู่กันสองคนอีกครั้งจู่ๆ คินก็พูดขึ้นมา ชะเอมแค่นเสียง
“คนที่ไม่อยากคุยคือคินมากกว่ามั้ง”
“หมายความว่าไง”
“ก็ใครล่ะบอกว่าจะกลับมาคุยกัน แล้วตอนนั้นคินหายไปไหนตั้งสามวัน กลับมาก็เก็บข้าวของไปแล้วอย่างนี้จะต้องคุยอะไรอีกเหรอ! มีอะไรอีกที่เราต้องเคลียร์กัน...ทั้งที่มันชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ” ชะเอมตัดพ้อทำไมต้องทำให้เขานึกถึงมันขึ้นมาอีก แค่อยากจะลืมยังทำไม่ได้เลย
ทุกๆการกระทำมันชัดเจนว่าคิน...เลือกเรย์
“นั่นน่ะ...”
“ดูเหมือนพ่อของคินจะจัดการให้แล้วล่ะ” เรย์วิ่งกลับมาบอกคินเพียงพยักหน้าให้ก่อนหันไปมองหน้าร่างบางสื่อความหมายว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันซึ่งชะเอมไม่เข้าใจเดินก้าวขายาวนำทาง จนทำให้คนขาสั้นทั้งสองต้องก้าวเร็วกว่าเดิม
“คิน...จะไปไหนเอมบอกแล้วไงว่าไปโรงพยาบาลเองได้”
“อย่าดื้อ!” คินบอกสั้นๆ คำเดียว จากนั้นไม่ว่าชะเอมจะพูดจะโวยอะไรจนคนมอง คินก็ไม่สนใจ
อีกอย่างชะเอมก็รู้สึกเหนื่อยๆเพลียๆ สักพักก็ไม่พูดอะไรอีกจึงเดินตามมาสงบเสงี่ยม
ทั้งสามเดินจนมาถึงลานจอดรถคินก็ดันชะเอมขึ้นที่นั่งข้างคนขับ เรย์รู้หน้าที่ก็นั่งข้างหลัง ร่างสูงอ้อมขึ้นรถปิดประตูและบึ่งออกมาทันที ท่ามกลางจราจรอันติดขัดและท้องฟ้ามืดครึ้ม
จุดหมายคือโรงพยาบาล
************************Whosefault? ************************
ทั้งสามมาถึงโรงพยาบาลโดยไม่มีบทสนทนาใดๆจนน่าอึดอัด คินติดต่อแพทย์กฤษณะที่จะเข้าพบก่อนเดินนำร่างเล็กทั้งสองที่เรย์ได้แต่เดินตามมาหน้าห้องตรวจ
“เรื่องที่คุยกันค้างไว้...ไว้ให้อาหมอดูแผลเอมเสร็จแล้วค่อยคุย” คินถอนใจที่ชะเอมทำเหมือนคำพูดของเขาเข้าหูแล้วก็ทะลุออกไปโดยไม่ผ่านสมอง
“เรย์รออยู่ด้านนอกนะ”
“ไม่ต้อง! นั่งรอข้างนอกทั้งคู่แหละ หรือไม่ก็ไปทำ‘ธุระ’ที่พวกคินคุยกัน เอมกลับเองได้ โอเคนะ” ชะเอมยกมือขึ้นท่าปรางห้ามญาติเบรคร่างสูงที่คิดจะเข้าไปพบอาหมอกับเขา
ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด
ชะเอมเลื่อนประตูแล้วแง้มปิดทันทีไม่ทันให้คินถามหรือพูดอะไร
************************Whosefault? ************************
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in