จากที่ทุกคนเห็นในหัวข้อของอีพีนี้เลยนะคะว่าวันนี้เราจะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องการทำใบขับขี่ครั้งแรกที่อเมริกาค่ะ ซึ่งเรามีประสบการณ์ในสองรัฐเท่านั้น นั่นก็คือแคลิฟอร์เนียและนิวเจอร์ซีย์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆที่อยู่ในทั้งสองรัฐนี้หรือสามารถไปปรับใช้กับตัวเองในรัฐอื่นๆได้นะคะ

     เอาจริงๆเลยก็มีลืมไปบ้างแล้วว่าขั้นตอนมันเป็นยังไง เพราะผ่านมา 1 ปีแล้วค่ะที่เราได้เริ่มทำใบขับขี่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้าใครตามในทวิตมาตั้งแต่ตอนที่เราอยู่แคลิฟอร์เนียก็จะรู้ว่าเราไม่ผ่าน และเป็นอะไรที่เสียเวลามากๆ วันนี้เลยจะมาบอกขั้นตอนเท่าที่จำได้พร้อมกับทริคสำหรับการสอบข้อเขียนและการดำเนินในขั้นตอนต่างๆนะคะ จะได้ไม่ประสบสถานการณ์เดียวกับเรา 

     เดี๋ยวเรามาเรียงลำดับไทม์ไลน์ของเราให้อ่านดูนะคะ และก็จะแทรกข้อมูลในไทม์ไลน์นั้นๆเลย เพราะเราเขียนบล็อกแนวประสบการณ์เนอะ หวังว่าข้อมูลที่เรารวบรวมมาจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มเลยฮะ

    ขั้นตอนแรก เรา walk-in เข้าไป DMV ที่สาขา San Jose เลยค่ะ ไม่ได้จองอะไร เพราะจะเริ่มทำ Learner Permit ก่อนเป็นอันดับแรก ก็บอกเขาว่าวันนี้มาทำใบขับขี่ มันจะมีให้เลือกทำ Real ID ได้อีกนะ ถ้าอยากทำก็บอกเขาได้ค่ะ แต่เราจะทำแค่ใบขับขี่เลยบอกเขาไปแค่นั้น เขาก็จะบอกว่าเราต้องไปดำเนินการช่องไหน ก็ทำตามนั้นเลยค่ะ อย่าลืมว่าต้องเตรียมเอกสารไปด้วยน้า ไปมือเปล่าไม่ได้ (เรื่องเงินอีก อย่าลืมนะคะ ฮ่าๆ) ซึ่งเอกสารที่เราเตรียมไปมีดังนี้ค่ะ

     - SSN (ตัวจริงเท่านั้น)

     - เอกสารแสดงที่อยู่ปัจจุบันของเราเอง เราใช้เอกสารเปลี่ยนที่อยู่ของ USPS ค่ะ เสียค่าบริการประมาณ 1.5$ ไม่เกินนี้ค่ะ หรือที่ง่ายขึ้นมาอีกน่าจะเป็น bank statement นะคะ สามารถปริ้นท์เอกสารได้จากแอพธนาคารนั้นๆของเพื่อนๆเลยค่ะ

     - Passport 

     จริงๆเราเตรียมไปทั้ง DS-2019, เอกสารจากทางเอเจนซี่ที่รับรองว่าเราเป็นออแพร์ในสังกัดด้วย แต่เขาไม่รับ สิ่งที่เขาดูมีสามอย่างด้านบนเลยค่ะ (หรือถ้าใครอยากได้ตัวที่เขาระบุว่าใช้อะไรได้บ้าง ก็ดีเอ็มมาหาเราได้นะ เดี๋ยวเราไปคุ้ยกองเอกสารของเราให้ฮะ)

     หลังจากที่ตรวจเอกสารที่ช่องแรกว่าถูกต้องแล้ว เขาก็จะให้เราไปช่องใบขับขี่ต่อ ช่องนี้เขาจะให้เราเริ่ม process ทำใบ learner permit เสียค่าบริการ 38$ ค่ะ แล้วเขาก็จะให้เราไปถ่ายรูป รูปอันนี้จะเป็นรูปที่แสดงใน learner permit เลยนะ ใครอยากสวยหน่อยก็แต่งตัวไปได้ฮะ แต่ตอนนั้นเราไปแบบยัยหัวฟูเลย เพิ่งกลับจากส่งน้องไปโรงเรียน ฮ่าๆ และก่อนจะจ่ายเงิน มีเรื่องจะเตือนค่ะ ก็คือถ้าเขาบอกว่าเราสอบวันนี้ไม่ได้ เพราะสแกน passport ไม่ผ่าน ให้รีบหนีไปสาขาอื่นเลยนะคะ เราดันเข้าใจว่ามันคงไม่เป็นไร รอไม่นาน สรุปเราได้ใบแจ้งมาว่าให้รอ 30-45 วันเลย เราโทรไปครั้งแรกหลังจาก 30 วันก็ยังไม่ได้เอกสาร เรารอไปจริงๆคือเกือบ 70 วันเลยค่ะ ฉะนั้นอยากเตือนจุดนี้มากๆ ถ้าเสียเงินขั้นตอนนี้ไปแล้ว ไม่สามารถไปทำสาขาอื่นได้ ต้องรอเท่านั้นนะคะ นั่นก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้เราเสียเวลาไปเปล่าๆ 2 เดือนเต็มๆเลยค่ะ

     ขั้นตอนที่ 2 หลังจากที่เรารอคอยมาอย่างยาวนานจากขั้นตอนแรก (จริงๆถ้าไปสาขาอื่นที่ทำได้วันนั้นเลยก็เสร็จเร็วค่ะ แต่เราดันพลาด แง) เราก็เอาใบแจ้งว่าเอกสารผ่านแล้วที่เราได้รับจาก DMV (เขาจะส่งมาที่บ้านค่ะ) ไปแจ้งที่ทางเข้าแล้วก็บอกว่ามาทำใบขับขี่อีก อันนี้เราก็ได้ลัดคิวไปช่องสอบเลย ซึ่งการสอบข้อเขียนของแคลิฟอร์เนียจะมี 36 ข้อและสามารถผิดได้ 6 ข้อ สำหรับทริค เราแนะนำว่าอ่านคู่มือของ DMV เลยค่ะ แล้วก็หาข้อสอบทำในเน็ต ซึ่งมีดีอีกอย่างก็คือ DMV ของแคลิฟอร์เนียมีแอพลิเคชั่นของตัวเองค่ะ เราก็โหลดมาไว้แล้วก็อ่านเวลาพักทำงาน+เวลาว่างๆ ฝึกทำข้อสอบไปด้วย ซึ่งจะบอกว่าข้อเขียนเหมือนจะสอบได้ 3 รอบนะคะ แต่ว่าไม่จำกัดว่าจะสอบวันไหนบ้าง รอบแรกเราไม่ผ่านฮะ แล้วเราไม่อยากเสียเวลาแล้ว เลยขอสอบอีกรอบถัดจากรอบที่ตกไปนั่นเลย และผลออกมาว่าผ่านค่ะ ก็เลยได้ใบ learner permit มา แล้วเขาจะบอกให้เราไปจองสอบขับเองในเว็บอีกที เราก็จองได้ในเดือนถัดมา ซึ่งสามารถสอบขับได้ 3 รอบ ถ้าไม่ผ่านก็จะยึดใบ learner permit คืน ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ส่วนการสอบขับก็จะประมาณนี้ค่ะ คลิก ถ้าให้แนะนำ ส่วนตัวเราเจอ driving examiner ที่ไม่ค่อยดีด้วยแหละ เราสอบ 3 รอบก็ไม่ผ่านหมดเลย ก็เลยจะแนะนำว่าถ้าโฮสต์สามารถจ่ายค่าสอบกับโรงเรียนได้หรือว่าเพื่อนๆ afford ไหว ก็ไปสอบกับโรงเรียนดีกว่าค่ะ สบายกว่าเยอะเลย อันนี้บอกตรงๆ แง หรือถ้าใครอยู่ Bay Area เขาแนะนำให้ไป Los Gatos / Redwood city ค่ะ มีแต่คนบอกว่าเส้นทางง่ายและ examiner ใจดี ยังไงก็ลองดูได้นะคะ

     สำหรับเอกสารที่เอาไปสอบขับด้วยนะคะ มีตามลิสต์นี้เลยค่ะ

     - ใบ car registration (ถามเอากับโฮสต์นะ)

     - ใบประกันที่มีชื่อเราแอดในแพลนของโฮสต์ (โฮสต์จัดการให้)

     - ใบ learner permit 

     - driver ของเราก็คือต้องเอาโฮสต์ไปด้วยทุกรอบค่ะ (สำคัญเลย ฮ่าๆ)

     เอาล่ะ สำหรับขั้นตอนการขอใบขับขี่ในรัฐแคลิฟอร์เนียของเราก็จบลงแค่นี้ค่ะ เพราะเราไม่ผ่านนั่นเอง พร้อมกับที่ยอมแพ้ไปนั้น เราใกล้จะจบโครงการ+ย้ายรัฐตามโฮสต์และวางแผนจะกลับไทยด้วย ก็เลยไม่ได้ลองทำอีกรอบ แต่ก็หวังว่าทุกคนจะผ่านกันนะคะ สู้ๆครับ

     การทำใบขับขี่ที่นี่ก็ไม่ได้ง่ายแถมใช้เวลานานกว่าแคลิฟอร์เนียมากๆ ไม่ใช่อะไรนะคะ ที่นานเพราะต้องนัดหมายนี่แหละ ซึ่งการ book appointment คือนานมากๆ เราสันนิษฐานว่าเพราะรัฐมันเล็กด้วยแล้วหนึ่ง ทำให้มีสาขาน้อยกว่าแคลิฟอร์เนีย มีประมาณ 20 สาขาได้มั้งคะ ทั้งรัฐไม่น่าเยอะเกิน range นี้นะ ฮ่าๆ แต่เราไม่อยากไปไกลเลยเลือกจองทำทุกอย่างที่สาขาใกล้บ้านหมดเลยค่ะ เราทำที่ Eatontown นะคะ เพื่อนเราทำที่อีกสาขาก็ได้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราจะขอพูดถึงที่สาขาที่เราเลือกไปทำเท่านั้นนะคะ เราเล่าจากประสบการณ์เหมือนเดิมนะฮะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ

     ขั้นตอนแรก การทำใบขับขี่ของรัฐนิวเจอร์ซีย์ไม่สามารถ Walk-in ได้นะคะ จะต้องนัดหมายเอาเท่านั้น และด้วยความที่บ้านเราอยู่ไกลชาวบ้านชาวช่องที่สุด เรามีสาขาที่ใกล้ที่สุดคือ Eatontown เราเลยเลือกไปที่สาขานี้นะคะ บอกก่อนเลยว่า DMV ที่นี่ไม่ได้เรียกเหมือนรัฐอื่น เขาเรียกกันว่า MVC ค่ะ เราก็งงว่าจะเรียกต่างจากชาวบ้านทำไม ฮ่าๆ แต่ก็นั่นแหละค่ะ มาเอาขั้นตอนแรกจริงจังกันดีกว่า ก่อนอื่นเลยนะคะ เข้าไปที่เว็บไซต์ของ MVC คลิก เลือกไปที่ make an appointment แล้วเลือก out of state ค่ะ ก่อนไปตามนัดก็เตรียมเอกสารให้พร้อมนะคะ ซึ่งรอบนี้จะเยอะหน่อยคือเขาจะมีตัวบอกให้เลยว่าเราต้องมีเอกสาร 6+1 ตามที่เขาต้องการ แต่เราได้ข้อสรุปมาง่ายๆให้ตัวเองเข้าใจว่าให้เตรียมไปตามลิสต์ด้านล่างนี้ค่ะ 

     - Driver’s license (Thailand)

     - I-94

     - Passport 

     - Bank account statement (1 month)

     - SSN (ตัวจริง)

     - Health insurance 

     อ้างอิงจากสาขาที่เราไปนะคะ เอาจริงๆแล้วเขาก็ใช้แค่ 3 ตัวค่ะ ก็คือ Passport, Statement, SSN แต่ว่าเตรียมไปให้เกินดีกว่าขาดนะ ตอนแรกไปถึงก็บอกเวลานัดกับเจ้าหน้าที่หน้าทางเข้า แล้วก็ไปช่อง ID check นะคะ ถ้ามีครบตามที่เราบอกไปก็ไม่ต้องห่วงแล้วฮะ ไปต่อที่ช่องถัดไปเลย เราก็คุยๆอีกนิดนึงกับเขาแล้วบอกเขาว่ามาทำใบขับขี่ไม่เอา Real ID แต่แนะนำว่าใครที่มาใหม่ เอา Real ID ด้วยเลยค่ะ เพราะต่อไปถ้าบินในประเทศจะไม่สามารถใช้ใบขับขี่ได้เฉยๆแล้ว (สำหรับใครที่ไม่อยากพกพาสปอร์ตนะคะ) ต้องเป็นแบบ Real ID เท่านั้นถึงจะใช้แสดงตัวตนได้นะคะ เอาล่ะพอถึงช่องที่ 2 ถัดจาก ID check แล้ว เขาก็จะให้เราเริ่มทำ learner permit ใหม่เลย ราคา 10$ ซึ่งตัวนี้ยังไม่ใช่ตัวที่สามารถเอาไปขับรถได้เลยนะคะ ต้องนัดมาสอบอีก เราเริ่ม process นี้ตั้งแต่สิงหาคม 2021 ได้วันนัดแรกวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งได้ทำแค่ learner permit เลยต้องนัดอีกเพื่อไปสอบวันที่ 28 ธันวาคม และใช่ค่ะ เราไม่ผ่านรอบแรก ฮ่าๆ แต่สอบถามทางเจ้าหน้าที่มา เขาบอกว่าสอบกี่รอบก็ได้ แค่ไม่สามารถสอบต่อกันเลยแบบแคลิฟอร์เนียได้ เราเลยต้องเสียเวลาอีกรอบมาจองสอบรอบถัดไปได้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2022 ค่ะ เป็นลำดับขั้นตอนที่ยาวนานเพราะเราเลือกจะทำที่สาขานี้สาขาเดียว ไม่อยากไปไกลบ้านค่ะ เหนื่อยขับรถ

     ส่วนเรื่องทริคการทำข้อสอบ อยากจะบอกว่าตาลายมากค่ะ เพราะนิวเจอร์ซีย์ให้ทำข้อสอบ 50 ข้อและผิดได้ 10 ข้อเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าเราต้องทำให้ได้ห้ามต่ำกว่า 40 ข้อ ถึงจะผ่าน ส่วนตัวเราชวดไปที่ 36 ข้อฮะ เสียใจมาก แง ที่แนะนำให้อ่านเลยคือคู่มือหนาเตอะของทาง MVC ค่ะ แล้วก็ฝึกๆทำข้อสอบในเว็บไปพลางๆด้วย (เว็บตัวอย่างข้อสอบ คลิก) สำหรับรอบแรกนั้น ตัวเราอ่านแบบวันเดียวก่อนสอบ เลยไม่แปลกใจว่าทำไมไม่ผ่าน ฮ่าๆ และเราไปสอบรอบสองเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็คือเราผ่านนะฮะ แล้วเรามีใบขับขี่ 5 ปีมาจากที่ไทยแล้ว เราเลยไม่ต้องสอบขับค่ะ ตอนนี้ก็คือรอใบขับขี่มาส่งที่บ้าน พร้อมออกซิ่งฮะ เย่!!! แต่สำหรับใบขับขี่ 2 ปี (ที่เป็นใบขับขี่ชั่วคราว) เราคิดว่าอาจจะได้สอบขับนะคะ เราไม่รู้ในขั้นตอนของการสอบขับที่นิวเจอร์ซีย์นะคะว่าจะเป็นยังไง แนะนำว่าให้ค้นหาวิดีโอในยูทูปเพื่อศึกษาซะก่อนแล้วลองฝึกดูค่ะ เราคิดว่าที่จะมีแน่ๆทุกรัฐคือการทดสอบ hand sign และเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆในรถพวกปัดน้ำฝน, ไฟหน้า, ไฟหลัง, ไฟเลี้ยว, defroster, เบรกมือ อะไรประมาณนี้ค่ะ เพราะแคลิฟอร์เนียก็ได้ทำ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คนที่ต้องสอบขับนะคะ เราไม่แน่ใจว่าจะมีเหมือนแคลิฟอร์เนียมั้ยที่สามารถสอบกับโรงเรียนแล้วเอาไปยื่นกับ DMV แทน ถ้าทำได้ก็แนะนำค่ะ หัวจะปวดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ยากมาก ร้องไห้

     สุดท้ายนี้อยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกมากๆเลยค่ะ ข้อมูลเรามัน out-of-date ไปเยอะ แถมหลังๆนี้ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรด้วย หมดไฟมากๆ ฮ่าๆ แต่จะพยายามมาทักทายเรื่อยๆนะคะ ส่วนใครที่อยากถามอะไร สอบถามได้ในทวิตเตอร์เสมอนะคะ have a nice day and stay safe na ka :)