เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My USA DiaryJust plus
Chapter 12 : June
  • Chapter 12 : June


    Last Day of School


    วันสุดท้ายก็เหมือนทุกวันแหละ เพิ่มการพูดคุย การกอด และคำบอกลา ฉันเข้าคาบเดิมๆ และเอาสมุดเฟรนชิฟมาให้ทุกคนเซ็น จริงๆฉันพกมาทั้งสัปดาห์เลยเพราะบางคนก็ขอสมุดไปทำที่บ้าน วันนี้เพื่อนบางคนที่ซื้อ Yearbook ไปก็เอามาแลกกันเซ็น นอกจากสมุดฉันก็เตรียมจดหมายบอกลาที่ฉันเขียนมาให้เพื่อนที่รู้สึกสนิทและครูหลายคน ฉันใช้เวลาเขียนนานมากแต่มันก็คุ้มค่าเพราะฉันอยากให้เพื่อนทุกคนรู้ว่าพวกเขาได้ส่งผลกระทบกับชีวิตของฉันขนาดไหน ฉันเขียนในไดอารี่ว่าฉันอาจไม่ได้เจอหรือกระทั้งคุยกับพวกเขาอีก และมันก็จริงในส่วนนึง แต่ฉันยังพยายามจำพวกเขาอยู่ตลอด ฉันเก็บการบ้านและรายงานในแฟ้มปึกใหญ่และสมุดเฟรนชิพนั้นไว้ในกระเป๋าสีสดที่ฉันแบกกลับมาที่บ้านที่ไทย ฉันเก็บมันมาสามปีโดยแทบไม่ได้แตะมันเลย ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าควรทิ้งมันได้แล้ว แค่คิดถึงหรือลองดูสิ่งที่อยู่ในนั้น ข้อความที่เพื่อนๆเคยเขียนที่ฉันจะไม่มีวันได้เจออีกฉันก็แทบร้องไห้ ฉันก็ไม่กล้าทำอะไรกับมันทั้งสิน เหมือนกลัวว่าถ้ามันเปลี่ยนไปสักนิดความทรงจำฉันอาจจะหายไปหมดเลย แต่ตอนนี้ปีที่สี่แล้ว ฉันได้เรียนรู้เรื่อง Minimalism ฉันทำใจเอามันออกมาไล่ดูและถ่ายรูปเก็บไว้แทนที่จะเก็บมันให้รกพื้นที่ เพราะฉันยึดติดไปมันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตนั้นกลับมา ในที่สุดฉันก็ปล่อยสิ่งของเหล่านั้นไป ถึงฉันไม่รู้ตัวแต่บางครั้งแนวคิดและตัวตนของฉันก็เป็นผลกระทบจากการได้อยู่ในโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้และการได้รู้จักพวกเขาและแค่นั้นก็คงพอแล้วสำหรับฉัน


    Basically Parties


    อย่างที่รู้ ฉันเป็นคนขี้อายมากและปกติก็ไม่ชอบออกไปปาร์ตี้หรอก แต่เพราะเดือนนี้เดือนสุดท้ายและปิดเทอมแล้วมั้ง เพื่อนๆเลยลากฉันไปงานปาร์ตี้เยอะแยะไปหมด แต่ฉันก็ยอมไปกับแค่คนที่สนิทด้วย เลยพบว่ามันก็สนุกใช่ได้เลย ทุกงานจะมีอาหาร ขนมอร่อยๆ เกมให้เล่นไม่ว่าจะเป็นเกมกีฬาที่ฉันกากมากหรือบอร์ดเกมที่ฉันเริ่มหลงรักมากขึ้นทุกที แล้วทุกงานก็จะมีเพื่อนที่ฉันได้รู้จักมาจะครบปีแล้วอยู่ด้วยกัน คุยกันเหมือนมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

    งานที่ฉันชอบที่สุดคงเป็นงานวันเกิดของแมคเคนน่า เพื่อนที่เรียนวิชาพละด้วยกัน ตอนนั้นฉันพึ่งกลับจากงานปาร์ตี้ของเพื่อนอีกคนนึงตอนเช้าแต่ฉันอยากมางานนี้ด้วยเพราะแมคเคนน่าชวนไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว มันเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆที่เหมือนนัดกันมาเล่นมากกว่าปาร์ตี้แต่มันกลับรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองกว่างานอื่นๆ ฉันคุ้นหน้าเกือบทุกคน งานจัดที่บ้านพ่อของเธอ มันเป็นงานปาร์ตี้ที่เละเทะที่สุดที่เคยเจอมา เราโยนสีและบอลลูนน้ำใส่กันแล้ววิ่งเล่นบนเนินเขาหน้าบ้าน กลิ่งตัวลงมาเละเทะกันทุกคนเลย แต่มันสนุกมาก รู้สึกเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง เล่นไปสักพักเราก็เดินไปล้างสีออกที่ลำธารใกล้ๆ ฉันเดินเข้าไปล้างแปปเดียวก็ออกมาเพราะน้ำเย็นมาก แต่ผู้ชายบางคนกระโดดลงจากสะพานทำน้ำสาดใส่ชาวบ้านไปหมด ระหว่างรอเพื่อนๆก็ชี้กั้งกับปลาตัวเล็กๆในน้ำใสให้ดู ฉันจะคิดถึงบรรยากาศที่ธรรมชาติอยู่ใกล้แค่หลังบ้านนั้นมาก

    พอเราทำความสะอาดกันพอได้แล้วผู้ใหญ่คนรู้จักก็ขับรถพาเราไปบ้านป้าของแมคเคนน่า ที่นั่นมีไก่วิ่งไปมาไม่เหมือนบ้านโฮสต์ที่ไก่อยู่ในกรงเรียบร้อย ฉันเลยได้ลองอุ้มไก่ตัวนึงด้วย จากนั้นเราเข้าไปกินเค้ก ร้องเพลง นั่งคุยกันจนดึก แล้วเราค่อยออกมานั่งล้อมกองไฟอยู่หลังบ้านและย่างมาชช์เมลโล่แล้วกินกับช็อกเกอร์แลตและแครกเกอร์ บางคนเดินออกมาไปสูบบุหรี่อยู่มุมนึง มันเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ แต่ฉันยังไม่เคยลองหรอก 

    แมคเคนน่าก็เป็นคนคูลมากๆถึงเห็นตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักอย่างนี้ เธอเป็นนักเจาะหูตัวยงเลย เคยเจาะหูเพื่อนมาเยอะและเจาะให้ตัวเองเองด้วย เธอโชว์เซตอุปกรณ์ให้ฉันดูด้วย ฉันเกือบขอให้เจาะให้แล้วแต่ฉันกลัวเจ็บเลยไม่กล้า เพื่อนๆคนอื่นนอนที่บ้านป้าแมคเคนน่าต่อแต่ฉันสัญญากับโฮสต์ว่าจะกลับบ้าน พ่อของแมคเคนน่าเลยอาสาขับรถพาฉันกลับบ้าน


    Surprise Party


    วันนั้นฉันไปนอนค้างบ้านลอร่า ก็ไม่ได้เอ่ะใจอะไรจนกระทั้งเดินมาเห็นของตกแต่งสีชมพูเต็มไปหมด และลอร่าก็เผลอพูดออกมาว่า มีเค้กอยู่นะแต่เก็บไว้ให้คนอื่นที่จะมาทีหลังด้วย ฉันเลยถามกลับว่า ใครหรอลอร่า ลอร่าทำอะไรไม่เนียนซะเลย แต่ฉันก็ขำๆและแกล้งทำเป็นไม่รู้จนทุกคนมาถึง ลอร่าชวนเพื่อนสนิทคนอื่นๆจากคอรัสมาเต็มไปหมด เราโยนลูกโป่งน้ำใส่กันเล่น ตามด้วยลงไปว่ายน้ำเล่นในลำธารตื้นๆใกล้บ้าน น้ำมันเย็นและใสมากจนเห็นหินข้างล่าง เรานั่งคุยกันบนเกาะหินกลางลำธาร ฉันเริ่มร้องเพลงที่ชอบระหว่างเดินสำรวจเกาะกับทุกคน เสร็จแล้วเราก็ต่อด้วยการเดินไปเล่นเกมที่สนามเด็กเล่นใกล้ๆโบสถ์ ถึงฉันจะเกลียดทุกเกมที่ใช้ลูกบอลแต่ก็สนุกเมื่อได้เล่นกับเพื่อนที่เล่นได้แย่พอๆกัน หลังจากนั้นเรากลับมากินพิซซ่านั่งพักกันก่อนเพื่อนๆจะเอาของขวัญมาให้ฉันทีละคน ฉันซึ้งกับวันนี้มาก ของขวัญจากแคทเทอรีนก็ทำฉันแทบร้องไห้ มันเป็นผ้าห่มที่มีรูปช่วงเวลาที่ฉันใช้ในอเมริกาอยู่เต็มผืน อีกอันคือสร้อยคอจากอะเลียซึ่งมีดินของจริงอยู่ข้างในและตกแต่งด้วยเพชรสีแดงน้ำเงินขาว เธอบอกว่า ถ้าฉันมีสร้อยนี้ ฉันจะเหมือนอยู่ที่อเมริกาไม่ว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหน

    จากนั้นเราออกไปนั่งล้อมกองไฟ ย่างมาร์ชเมลโล่​ แล้วจู่ๆ พ่อแม่ของลอร่าก็เอาโคมลอยออกมา แล้วฉันก็ได้ปล่อยมันออกไปบนฟากฟ้ายามค่ำคืน นอกจากนั้นเพื่อนยังเตรียมผงอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนกองไฟเป็นสีเขียวเหมือนในหนัง หลังจากนั้นพ่อแม่ของลอร่าก็ปล่อยให้เราอยู่กับเพื่อนกันตามลำพัง เราร้องเพลงจากคอรัสกันอย่างเพลง Danny Boy และ Parting Glass นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ร้องเพลงอย่างนี้ด้วยกัน

    หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าไปนั่งดูหนังในบ้านอีกสักพัก อะเลียเลือกหนังเรื่อง The Boy ซึ่งถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นหนึ่งในหนังที่ฉันคิดว่าน่ากลัวที่สุดและคงไม่ดูคนเดียวเป็นอันขาด แต่พอได้นั่งรอบล้อมด้วยเพื่อนๆแล้ว ฉันกลับรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นถ้าทุกคนอยู่ด้วยเราจะไม่เป็นไรแน่ๆ คืนนั้นเราออกไปนอนในเต็นท์​นอกบ้าน ท่ามกลางอากาศเย็นสบายยามค่ำคืนที่ไร้เสียงรบกวนจากทุกอย่างนอกจากเพลงกล่อมที่สม่ำเสมอจากธรรมชาติ​รอบตัว

    มันเป็นเซอร์ไพรส์​ที่ไม่ค่อยเซอร์​ไพร​ส์ แต่มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ตราตรึงในใจฉันมากที่สุด และความทรงจำจากวันนั้นก็กลับเข้ามาในความฝันของฉันเรื่อยๆ ฉันคิดถึงทุกคนจริงๆ


    Niagara Falls


    นี่เป็นทริปที่ไปเที่ยวกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายแล้ว ฉันชอบน้ำตกไนแองการามากๆ ฉันไม่เคยไปเที่ยวน้ำตกที่ใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน เราไปพักที่โรงแรมกันสามคืน โดยมีช่วงให้เราออกไปเดินเล่นในนิวยอร์กกับเพื่อนๆเองด้วย ถึงเคยมาตั้งหลายรอบแล้วแต่ฉันก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่มาถึง มันได้ประสบการณ์และความรู้สึกใหม่ทุกครั้งที่มาเลย

    วันแรกแกรมมี่ขับรถพาฉันไปส่งที่รถบัสรอรับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆ เราไปถึงกันก่อนเวลา และระหว่างรอคนขับรถบัสมาถึงเราคุยกันหลายเรื่องด้วยความรู้สึกสบายๆเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอแกรมมี่ แต่ครั้งนี้เธอขอรับฉันเป็นหลานบุญธรรมด้วย ฉันว่าเธอน่าจะพูดเล่นแต่มันทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากๆเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาแกรมมี่ใจดีกับฉันมากทุกครั้งที่เจอกัน ฉันไม่เคยสนิทกับญาติผู้ใหญ่เท่านี้มาก่อน

    พอรถบัสมาถึงฉันเลือกนั่งข้างคนขับรถเพราะไมค์ก้าไม่ได้มาด้วย คนขับเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่เคยเป็นโฮสต์มาก่อน เขาอาสาพาพวกเรามาเที่ยว ระหว่างทางเราก็คุยกันหลายเรื่องแต่มีตอนนึงที่เขาบ่นว่าเคยรับนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยมีมารยาทมาอยู่ ฉันจึงนึกสงสัยว่าโฮสต์มองฉันเป็นคนยังไง โฮสต์แด๊ดเคยบอกว่าฉันเหมือนยังขาดประสบการณ์การใช้ชีวิต น่าจะดูจากสกิลการทำพลาสติกไหม้บนเตาไฟฟ้ากับทำท่อตัน แต่นอกจากนั้นโฮสต์ก็ไม่เคยว่าอะไรฉันเลย นึกกลับไปตอนนั้นฉันก็เด็กมากๆจริงแหละ ตลอดทางหลังจากนั้นฉันนั่งใส่หูฟังฟังเพลงมองออกไปนอกรถผ่านเมืองที่ฉันอาจจะไม่มีวันเห็นอีก ฉันชอบเหม่อมองทางระหว่างเดินทางมาก อาจจะมากกว่าการได้เที่ยวจริงๆอีก ฉันไม่มีทางรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในโลกที่ฉันได้แค่ผ่านมา มันทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มันใหญ่พอให้ฉันตามหาเรื่องราวของฉันต่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ช่วงเวลาที่นิวยอร์กผ่านไปอย่างรวดเร็วตามเคย แต่ภาพที่ติดตาคือน้ำตกไนแองการา ฉันตั้งตารอคอยการมาที่นี่มาก ขนาดตอนฟังบรรยายในโรงก่อนทัวร์ฉันยังตั้งใจฟังตลอดในขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มหลับกัน จริงๆคืนแรกที่มาถึงเราเดินมาดูรอบนึงแล้ว ตอนกลางคืนก็สวยอีกแบบเพราะเขาจะสาดแสงไฟสีต่างๆเหนือน้ำ แต่ฉันชอบตอนกลางวันมากกว่าเพราะได้เห็นน้ำสีฟ้าใสและสายรุ้งซ้อนเต็มไปหมด เราใส่เสื้อคลุมกันน้ำฝนก่อนนั่งเรือใหญ่เข้าไปดูน้ำตกใกล้ๆ มันสุดยอดมากๆ จากมุมตรงน้ำเห็นน้ำตกที่ทั้งสูงและกว้างตกลงมาด้วยแรงมหาศาล พื้นที่รอบตรงนั้นเต็มไปด้วยสายรุ้งที่มาจากแสงแดดกระทบละอองน้ำพวกนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง มันสวยมากถึงละอองน้ำจะทำแว่นตาฉันเป็นฝ่าหมด ฉันกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นพยายามถ่ายรูปกันแต่มันยากมากเพราะน้ำโปรยเข้ามาตลอด แต่เราก็ได้ถ่ายอีกครั้งเมื่อเราเดินไปขึ้นสะพานทางเดินจากบนบก ฉันไม่อยากเชื่อว่าโลกมันสวยได้ขนาดนี้ ระหว่างที่ฉันเดินขึ้นไปกับเพื่อนคนอื่นๆ ฉันคิดไว้ว่าถ้าฉันมีแฟนในชาตินี้จะต้องพามาที่นี่ให้ได้เลย

    พูดถึงความรัก ฉันได้นอนห้องพักเดียวกับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนผู้หญิงหมดแต่ตอนว่างๆผู้ชายก็เข้ามานั่งคุยเล่นบ้าง และมีช่วงหนึ่งที่เราเปลี่ยนไปคุยเรื่องรสนิยมทางเพศ เพื่อนคนนึงบอกว่าเธอเป็นไบเซ็กชวลหรือชอบทั้งผู้หญิงผู้ชาย ฉันไม่ค่อยคิดเรื่องนี้มาก่อนแต่มันดูเป็นท็อปปิกที่น่าสนใจดี แต่ที่ฉันไม่อยากรู้อย่างยิ่งคือนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเยอรมันคนนึงที่ฉันแอบชอบมาจะครบปีแล้วบอกว่าเขาเป็นเกย์ และเหมือนฉันจะแสดงอาการมากไปเพื่อนเลยหันมาถามว่า เธอชอบเขาหรอ ฉันก็รีบโกหกว่าไม่สิ จะให้ตอบอะไรได้อีก ตอนนี้กลับมาอ่านเรื่องนี้แล้วขำมากนะแต่ตอนนั้นคงเสียใจไม่น้อย เพราะไม่ใช่แค่นั้น ฉันนั่งเล่นโทรศัพท์แปปเดียวหันมาอีกทีเขากำลังจู๋จี๋กับเพื่อนผู้ชายอีกคนโดยไม่อายสายตาประชาชี ทำไมคนที่ฉันชอบต้องเป็นเกย์ทุกครั้งเลยนะ


    Carnival with Meike


    ไมค์ก้าชวนฉันไปงานคาร์นิวัล​ใกล้บ้านเธอ โดยที่โฮสต์เธอมารับฉันถึงบ้าน ตอนนี้เราสนิทกันมากเเละแทบจะหยุดคุยกันไม่ได้เลย ฉันรู้สึกสนิทสุดๆกับหลายๆคนก็เดือนท้ายๆแล้วน่าเสียดายจัง วันนี้เราคุยกันเรื่องศาสนาความเชื่อหลายๆอย่าง เราเดินเล่นรอบเมืองระหว่างรอเพราะงานจะเริ่มตอนเย็น ฉันเข้าร้านของเก่าแล้วเจอตุ๊กตาแอนนาเบลด้วย หลังจากนั้นเราเดินดูพาเรทกลางถนน ฉันหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บภาพเรื่อยๆ พองานเริ่มเราก็ซื้อตั๋วเข้าไปเล่นเครื่องเล่น ฉันเล่นเกมยิงน้ำใส่กระป๋องกับไมค์ก้าได้ตุ๊กตาเยติมาคนละตัว เรานั่งเครื่องเล่นที่เสียวน้อยๆหน่อยเพราะไมค์ก้าคงเกรงใจฉัน ฉันเล่นกรี๊ดได้กับทุกอย่าง ระหว่างเดินจู่ๆก็มีคนเข้ามากอดฉันจนฉันแทบสำลักมิลค์เชคตาย ปรากฏว่าเฮลลี่จากคอรัสมาเดินเล่นกับญาติด้วย เราคุยกับพักนึงก่อนฉันกับไมค์ก้าจะไปเดินเล่นกันต่อ ไมค์ก้าชวนฉันไปเที่ยวบ้านที่เยอรมันนีด้วย ปกตินักเรียนแลกเปลี่ยนจะชวนกันไปเที่ยวประเทศตัวเองบ่อยๆ แต่ไมค์ก้ารับปากเลยว่าจะดูแลฉันอย่างดีถ้าฉันได้มา พอเดินเล่นและหาที่ถ่ายรูปจนพอแล้วเราก็กลับไปบ้านของไมค์ก้า ตอนนี้มืดแล้ว ตรงสวนข้างนอกมีหิ่งห้อยมากมายส่องแสงเล็กๆชวนมอง โฮสต์​แด๊ดของไมค์ก้าเลยไปหยิบที่จับหิ่งห้อยมาให้เราเล่นกัน มันทำให้ฉันนึกถึงวันแรกที่ไปถึงบ้านโฮสต์และแอดเดลเล่ชวนไปดูหิ่งห้อย ไมค์ก้าจับหิ่งห้อยที่เยอะมาก และพอถึงเวลาที่เราต้องกลับบ้านเราก็ปล่อยเหล่าหิ่งห้อยพวกนั้นกลับไปสร้างแสงสว่างในความมืดที่พวกมันจากมาดังเดิม


    "To ten million fireflies ถึงหิ่งห้อยล้านตัว

    I'm weird 'cause I hate goodbyes ฉันทำตัวแปลกๆเพราะฉันเกลียดการจากลา

    I got misty eyes as they said farewell ฉันน้ำตาคลอขณะที่พวกมันบอกลาฉัน" 

    -​ fireflies, owl city


    Last Time at Youth Group


    วันหนึ่งโฮสต์มัมชวนฉันไปกิจกรรม youth group ที่โบสถ์ไหม โฮสต์​มัมบอกว่าฉันดูไม่ค่อยสบายเลยจะพักก็ได้นะ ช่วงนั้นฉันนอนดึกนั่งคิดมากไปเรื่อย แต่ฉันอยากไปเพราะนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฉันเดินเข้าไปคุยเล่นและทักเพื่อนที่รู้จักที่นั่นและช่วยทำกิจกรรมต่างๆ วันนี้มีเกมแข่งเนื้อหาไบเบิ้ล ฉันเลยช่วยกรรมการแทน หลังจากจบกิจกรรมก่อนกลับบ้านกันหัวหน้านำทีมขอให้ทุกคนภาวนาให้ฉันเพราะฉันจะกลับไทยแล้ว พวกเขาเอามือมาแตะฉันพร้อมพูดคำภาวนา "Thank you for letting her be with us and let her have a safe flight ขอบคุณที่ให้เธอมาใช้เวลากับพวกเรา ขอให้เดินทางปลอดภัย"

    สุดท้ายแล้วฉันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนศาสนาหรอก ฉันชอบอิสระที่จะศึกษาที่ศาสนาและการมีทางเลือกในความเชื่อของตนเอง ฉันยังคงรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เห็นโบสถ์หรือได้ยินบทเพลงคุ้นๆที่พวกเขาร้องกัน ฉันคิดว่าลึกๆฉันเชื่อว่าพระเจ้ากำลังดูแลฉันอยู่ สักวันฉันอาจจะเปลี่ยนศาสนาอย่างเป็นทางการแต่ยังไม่ใช่วันนี้ แต่ยังไงไม่ว่าศาสนาอะไรสุดท้ายถ้าทุกคนเคารพความแตกต่างและความเชื่อของกันและกันโลกก็คงเป็นที่ที่สวยงาม


    Hiding 45 Pictures Around the House

    หลายคนหาอะไรมาทำให้ครอบครัวโฮสต์ก่อนจะจากไปเช่นทิ้งของขวัญไว้ หรือทำ Album รูปให้ ส่วนฉันเลือกจะทิ้งรูปภาพจากที่นี้ไว้ 45 ภาพและซ่อนมันตามมุมต่างๆ มันอาจทำให้พวกเขาได้นึกถึงฉันบ้างตอนเจอพวกมันระหว่างทำกิจกรรมในบ้าน ฉันวางมันไว้บนเตียงพวกเขาคนละใบ ซ่อนบนโต๊ะกินข้าว ในห้องครัว ข้างหน้าต่างที่มีต้นกระบองเพชร​เล็กๆตั้งอยู่ ถ้าจำไม่ผิดพวกเขาเจอรูป 44 รูปแรกภายในเดือนแรกที่ฉันจากมาและส่งข้อความมาบอกฉันตอนที่เจอ

    ฉันส่ง Garlic เจ้าตุ๊กตาแมวที่หวงแหนให้แอดเดลเล่และขอให้เธอดูแลมันให้ดีและฉันกลับมารับมันในอีกสามสี่ปีข้างหน้า เธอรับมันไปด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนนี้ฉันยังรอวันที่จะไปรับมันกลับมาอยู่


    Saying Goodbye


    ในวันสุดท้าย ทุกคนในครอบครัวมายืนส่งฉันอยู่หน้าบ้าน ดูเหมือนแอดเดลเล่จะเจอรูปนึงที่ฉันซ่อนไว้เรียบร้อยแล้วแต่โฮสต์​แด๊ดให้เอาไปไว้ที่เดิมอย่างแนบเนียน โฮสต์มัมขอให้เราถ่ายรูปสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน มันยังเป็นเหมือนครั้งแรกแทบทุกอย่างแต่ในวันนั้นฉันรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัยกับบ้านหลังนั้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ฉันมองบ้านที่ฉันอยู่มาเกือบปีครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถและออกตัวไปและมันหลบหายไปผ่านหน้าต่างรถ

    มาถึงจุดที่นักเรียนแลกเปลี่ยนต้องบอกลาโฮสต์ก่อนขึ้นรถบัส วันนั้นฉันไม่ได้ร้องไห้ ทั้งที่ได้ร้องไห้กับตัวเองในห้องนอนมาทั้งสัปดาห์ บางทีฉันอาจแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แน่นอนว่าฉันเสียใจแต่มันมีความรู้สึกปนๆอีกอย่างอยู่ข้างในด้วยที่กันไม่ให้ฉันร้องไห้ออกมา อาจจะเป็นความกลัวที่ต้องเสียพวกเขาไปตลอดกาลถ้าฉันยอมรับว่านี่คือการบอกลา ลึกๆฉันยังไม่อยากเชื่อว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งปีนี้กำลังจะถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีก นักเรียนแลกเปลี่ยน​หลายคนพากันร้องไห้ และโฮสต์​มัมเข้ามากอดฉันก่อนจะไปด้วยเสียงสั่นๆ ฉันกอดโฮสต์ทั้งสองแน่นและพยายามสงบสติตัวเองเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

    คืนนั้นฉันพักที่โรงแรมหนึ่งใกล้สนามบิน ฉันกับเพื่อนบางคนนอนไม่หลับ ในหัวฉันมีเรื่องให้คิดเยอะเกิน วันต่อมาเราขึ้นรถบัสเพื่อไปสนามบินจริงๆ คาร่ายังคงร้องไห้เป็นระยะ ไมค์ก้ายังสงบนิ่งแต่ฉันรู้ว่าเธอก็คงเศร้าไม่แพ้กัน ฉันบอกลาเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะคนที่สนิทๆฉันเขียนจดหมายให้ แต่เมื่อไปเจอกันที่สนามบินบรรยากาศ​คุ้นๆที่มีคนหลายเชื้อชาติมาอยู่รวมกัน บางทีฉันก็เผลอคิดว่าเราจะได้รู้จักกันอยู่ด้วยกันอีกนานเหมือนครั้งแรกที่เจอบรรยากาศนี้ แม้ว่าอีกไม่นานฉันจะไม่ได้เจอพวกเขาอีก ฉันกอดเพื่อนๆก่อนพวกเขาจะแยกย้ายกันเพื่อกลับประเทศของตนเองและหัวใจฉันก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

    บนเครื่องที่กำลังจะกลับประเทศไทยฉันขอแลกที่นั่งกับนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกคนเพื่อที่จะได้อยู่ข้างหน้าต่าง ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขายอมให้อย่างง่ายดาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งข้างหน้าต่าง วิวทุกอย่างสวยมากและดูไม่เหมือนจริง แต่ฉันกลับรู้เศร้ามากเกินกว่าจะยินดีกับภาพตรงหน้าได้ เพราะจริงๆแล้วฉันยังไม่พร้อมและฉันจะไม่พร้อมตลอดไป ฉันเคยไปคุยกับที่ปรึกษาที่โรงเรียนว่าทำยังไงถึงจะได้เรียนต่อ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมรับว่าฉันต้องกลับไป ฉันมีเส้นทางที่ต้องเดินต่อ มีแผนอยู่ที่นั่น ต้องเรียนที่โรงเรียนม.ปลาย เข้ามหาวิทยาลัย ได้รู้จักเพื่อนใหม่ดีๆ ได้สร้างชมรม และทำตามความฝันของฉันไปเรื่อยๆ ฉันรู้ดีว่ายังไงการกลับบ้านเป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่สุด แต่มันก็ยังทำให้ฉันร้องไห้ในบางคืนและฝันที่เรื่องที่เคยเจอมาเรื่อยๆ มีใครเคยบอกฉันว่าการมาเป็นนักเรียนเป็นสิ่งที่ทรมานมากเพราะไม่ว่าเธออยู่ที่ไหนเธอจะต้องคิดถึงบ้านอีกหลังนึงของเธอ ฉันการันตีได้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริง


    “You will never be completely at home again, because part of your heart will always be elsewhere. That is the price you pay for the richness of loving and knowing people in more than one place.

    เธอจะไม่ได้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านอย่างเต็มที่อีก เพราะส่วนนึงของใจเธอจะอยู่อีกที่นึง นั่นคือราคาของการรักและรู้จักคนที่มาจากหลายที่”


    ― Miriam Adeney









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in