เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Films speak for mepuroii
วิเคราะห์ Dark ซีซั่น 2 : ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน

  • ซีซั่นนี้เพิ่มดีกรีความไซไฟเข้าไปอีกขั้น เนื้อหาสนุกเข้มข้นแต่ดูง่ายกว่าเดิม ตัวบทยังคงเล่นกับทฤษฎีต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด ช่วยยกระดับซีรีส์ให้ดีเกินความคาดหวังไปอีก ซีซั่นนี้ได้มาคลายปมแก้ข้อสงสัยหลายประการและเพิ่มเงื่อนงำให้ติดตามต่อไปในซีซั่น 3 

    ครั้งนี้เราก็กลับมาวิเคราะห์คำใบ้ในซีซั่น 2 กันต่อ ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านวิเคราะห์ซีซั่นแรก แนะนำให้อ่านก่อนเพราะมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันและอธิบายสิ่งที่ซีซั่น 2 ตอบคำถามไว้บ้างแล้ว → อะไรซ่อนอยู่ในความมืด : สำรวจซีรีส์ "Dark" กับศาสนา ตำนาน และกาลเวลา

    ทั้งนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาที่เขียนเป็นเพียงการวิเคราะห์และความคิดเห็นส่วนบุคคลที่อาจถูกหรือผิดก็ได้ 





    ------- มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ -------






    สำรวจห้องอดัม

    1. รูปครอบครัว


    บางคนอาจจะจำได้จากซีซั่นที่แล้วว่า Dark อาศัย Hermeticism หรือปรัชญาเฮอร์เมติกที่ใช้ชื่อตามเฮอร์เมส ทริสเมกิสตุส (Hermes Trismegistus) ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอวตารของเทพธอร์และเฮอร์เมส ซึ่งเฮอร์เมติกเองก็เชื่อในภูมิปัญญา 3 แขนงแห่งจักรวาล นั่นก็คือ Alchemy (การเล่นแร่แปรธาตุ) Astrology (โหราศาสตร์) และ Theurgy (พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์) รายละเอียดของภูมิปัญญาเหล่านี้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความก่อน

    ความเชื่อมโยงระหว่างเฮอร์เมติกและ alchemy นั้นเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในซีซั่นที่ 2 จากแผนผังตระกูลบนผนังด้านหนึ่งของห้องอดัม เมื่อลองซูมเข้าไปดู เราจะเห็นสมาชิกของแต่ละครอบครัวถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ Terra, Aqua, Aer, Ignis ซึ่งก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามธาตุหลักในธรรมชาตินั่นเอง



    ดิน คือ กายของเรา ดินเป็นสัญลักษณ์แห่งการ 'เริ่มต้น' ในการให้กำเนิดทุกสิ่ง อาหาร ที่อยู่ สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ รวมถึงโลกของเรา

    น้ำ คือ จิตวิญญาณ น้ำเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ ความรู้สึก จิตใจ น้ำเป็นของเหลวที่เปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลาขึ้นอยู่กับภาชนะบรรจุ คอยหล่อเลี้ยงชีวิตและไหลไปตามกระแสธารแห่งชีวิต สิ่งมีชีวิตจึงไม่สามารถขาดน้ำได้

    ลม คือ ความคิด ลมเป็นสัญลักษณ์ของการคิด ตัวเลือก การตัดสินใจ และสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับความรู้ ลมมีสถานะเป็นก๊าซที่มองไม่เห็น แต่มนุษย์ต้องพึ่งอากาศในการหายใจจึงจะมีชีวิตรอด

    ไฟ คือ วิญญาณ ไฟเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ความปรารถนา แรงขับเคลื่อน และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ไฟให้แสงสว่างและเป็นที่พึ่งยามเหน็บหนาว แต่ก็สามารถเผาผลาญสิ่งต่างๆ ได้เช่นกัน ไฟจึงเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย

    ศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุสมัยก่อนเชื่อว่าธาตุหลักทั้งสี่นี้มาจากสิ่งที่เรียกว่า First Matter หรือ Prima Materia แม้ว่าการบัญญัติความหมายของคำนี้จะมีมากมายจนสรุปไม่ได้ แต่เชื่อกันว่า prima materia คือสสารตั้งต้นที่จักรวาลสร้างขึ้นและเป็นต้นกำเนิดของสสารต่างๆ ในโลก อาจกล่าวได้ว่ามันคือต้นกล้าของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนั่นเอง 

    นอกจากนี้ Paracelsus ยังได้กล่าวไว้ใน Philosophia ad Atheninses ว่า prima materia เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดธาตุและสสารต่างๆ บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาและจะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนมันอีก มันถูกทำลายจนสูญสภาพจนไม่อาจกอบกู้ได้ คาดว่าเกิดหลังจาก Fall of Adam (หลังอดัมละเมิดบัญญัติของพระเจ้าในสวนเอเดน)

    prima materia ถูกนำเสนอใน Dark ผ่านรูปแบบของสสารมืด (dark matter) อนุภาคฮิกส์ โบซอน (Higgs Boson) หรืออนุภาคพระเจ้า (God Particle) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างไทม์แมชชีนต่อไป


    นอกจากนี้เรายังเห็นได้ว่าในแต่ละครอบครัวหรือแต่ละธาตุล้วนมีสมาชิกที่ก่อตั้ง Sic Mundus อยู่อย่างละ 1 คน นั่นก็คือ อดัม (ดิน) ฟรานซิสกา (น้ำ) มักนุส (ลม) และบาร์โทส (ไฟ) 


    และในตอนสุดท้ายของซีซั่น เราอาจได้เห็นจุดกำเนิดของ Sic Mundus ในขั้นแรก ก่อนที่โยนาสจะเปลี่ยนความเจ็บปวดที่มีให้กลายเป็นอดัมในที่สุด


    อีกปริศนาที่ยังค้างคาเห็นจะเป็นกรอบรูปรอบนอกกับบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องบางคนที่ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงชัดเจน เราคงต้องรอคำอธิบายต่อไปในซีซั่นที่ 3 



    2. ภาพแขวนผนัง


    ภาพใหญ่กลางห้องที่อดัมยืนมองอยู่คือ The Fall of the Damned โดย Peter Paul Rubens ในภาพคือรูปของร่างผู้ตกต่ำที่ถูกดึงลงไปในเหวโดยอัครทูตสวรรค์มิคาเอล บุคคลที่เชื่อกันว่าเป็นผู้บัญชาการกองทัพของพระเจ้าต่อสู้กับซาตาน

    The Fall of the Damned โดย Peter Paul Rubens


    3. Armillary Sphere 


    Armillary sphere คืออุปกรณ์เก่าแก่ที่เป็นตัวแทนของ 'สรวงสวรรค์' เป็นต้นแบบที่นักวิทยาศาสตร์คาดคิดกันว่าหน้าตาของสวรรค์จะเป็นอย่างไรและจะเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบใด armillary sphere ถือเป็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์อันเก่าแก่ชิ้นแรกๆ ของโลก 


    อุปกรณ์นี้มีไว้เพื่อเป็นโมเดลสำหรับบอกความแตกต่างระหว่างทฤษฎีระบบสุริยะแบบปโตเลมีที่เชื่อว่า "โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ" และของโคเปอร์นิคัสที่เชื่อว่า "ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ" armillary sphere ยังมีความเกี่ยวข้องกับ astrolabe ที่เป็นเครื่องมือนำทางบ่งบอกทิศของดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักเดินเรือด้วย



    4. Harmonia Macrocosmica


    ภาพนี้คล้ายภาพจากแผนที่ดวงดาวในหนังสือ Harmonia Macrocosmica ที่วาดโดย Andreas Cellarius ในยุคทองของดัตช์ แผนที่นี้ใช้แนวคิดของ Claudius Ptolemy, Nicolaus Copernicus และ Tycho Brahe วาดโครงสร้างจักรวาลมาทั้งหมด 29 ภาพด้วยกัน

    SCENOGRAPHIA SYSTEMATIS COPERNICANI – Scenography of the Copernican world system. 

    เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างภาพจริงและภาพในซีรีส์ ภาพในห้องอดัมนั้นมีชายและหญิงเป่าลมมาจากสองข้าง มีโลกมาทดแทนดวงอาทิตย์ที่ศูนย์กลาง และดาวเคราะห์โคจรโดยรอบเพียง 2 ใบ อาจจะสื่อความหมายถึงโลกของอดัมและโลกของเอวา เมื่อใดที่โลกทั้งสองมาบรรจบกันจึงจะเกิดโลกอันสมบูรณ์ที่ศูนย์กลางของจักรวาล



    เช่นเดียวกันกับหนังสือที่อลิซาเบธพบ ภาพที่เห็นก็มาจากหนังสือ Harmonia Macrocosmica ด้วยเหมือนกัน


    ภาพนี้เป็นระบบสุริยะตามสมมติฐานของ Tycho Brahe ที่รวมเอาแนวคิดของโคเปอร์นิคัสและปโตเลมีเข้าด้วยกัน ประกอบไปด้วยโลกซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเอกภพ ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก และดาวเคราะห์ทั้งหมดโคจรรอบดวงอาทิตย์อีกทีหนึ่ง 

    PLANISPHÆRIVM BRAHEVM, Sive Structura MVNDI TOTIVS, EX HYPOTHESI TYCHONIS BRAHEI IN PLANO DELINEATA – The planisphere of Brahe, or the structure of the universe following the hypothesis of Tycho Brahe drawn in a planar view. Engraved in 1656. 


    ไคบาเลียน: ปรัชญาเฮอร์เมติก


    ในตอนแรกของซีซั่น 2 อลิซาเบธค้นพบหนังสือชื่อว่า The Kybalion: Hermetic Philosophy และในนั้นมีรูปภาพของกลุ่มซิก มันดัสแทรกไว้อยู่ ความสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ มันอธิบายถึงหลักการแนวคิดแบบเฮอร์เมติกที่ซ่อนอยู่

    หนังสือ The Kybalion ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1908 โดยผู้เขียนใช้นามแฝงว่า "the Three Initiates" หรือ "สามผู้ก่อตั้ง" เป็นหนังสือที่ใช้สอนแนวคิดของเฮอร์เมติก โดยมีหลักทั้งหมด 7 ประการด้วยกัน



    1. The Principle of Mentalism

    “The All is Mind; The Universe is Mental.”

    หลักการข้อแรกบอกว่า "ทุกอย่างคือความคิด" ซึ่งหมายความว่า "จักรวาลนั้นคือสมอง" ทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต สสาร และพลังงานต่างๆ ในจักรวาลล้วนเป็นความคิดที่ล่องลอยและมีชีวิตด้วยตัวของมันเอง มันสามารถแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงถึงกันในทุกสิ่ง (the all) 

    หลักการนี้อธิบายธรรมชาติของพลังงาน อำนาจ สสารว่าอยู่ใต้ความนึกคิด เพราะมันก่อกำเนิดขึ้นภายในตัวเราและแผ่กระจายในทุกอย่าง เมื่อเข้าใจว่าทุกสิ่งที่คิดและกระทำเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างความคิด นั่นคือคุณเข้าใจหลักการนี้แล้ว


    2. The Principle of Correspondence

    "As above, so below; as below, so above. 
    As within, so without; as without, so within."

    แต่ละหลักการเกิดขึ้นในแต่ละขั้นของการมีชีวิตอยู่ ให้ระลึกไว้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เกิดขึ้นอยู่ในมิติที่สูงขึ้นไปที่เราไม่สามารถจินตนาการออก เพราะบนโลกใบนี้เรารับรู้เพียงแค่แสงที่ตามองเห็นและคลื่นเสียงที่มนุษย์ได้ยิน แต่การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในมิตินี้ทำให้เราสามารถอนุมานสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในโลกมิติที่สูงขึ้นไปหรือที่อยู่ล่างกว่าเราได้

    หลักการนี้ช่วยให้เราค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่โดยการศึกษาโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ ช่วยแก้ไขปัญหาด้วยการมองสิ่งที่อยู่เหนือปัญหาและใต้ปัญหาเพื่อหาแพทเทิร์นของสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้น


    3. The Principle of Vibration

    "Nothing rests; Everything moves; Everything vibrates."

    "ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ทุกอย่างเคลื่อนที่ ทุกสิ่งสั่นสะเทือน" อธิบายว่าสสาร พลังงาน หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณกำลังสั่นด้วยคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น คลื่นความถี่ของเสียงกับแสงก็ต่างกัน มันแค่เปลี่ยนรูปร่าง การวัด ความถี่ในสเปคตรัม แต่การสั่นของมันยังสอดคล้องกัน 

    ในขณะที่เมื่อการสั่นนั้นเร็วและแรงถึงจุดหนึ่ง มันจะดูเหมือนสิ่งนั้นหยุดนิ่ง เหมือนวงล้อที่หมุนเร็วๆ กลับดูเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันนั้น สิ่งที่เคลื่อนที่ช้ามากๆ เองก็มองเห็นเหมือนมันไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ระหว่างทั้งสองขั้วนี้มีการสั่นไหวเกิดขึ้นอย่างหลากหลายด้วยปรากฎการณ์ของตัวมันเอง

    เฮอร์เมติกเชื่อว่าแม้แต่ความคิดของเราก็มีอัตราการสั่นและเราสามารถควบคุมมันได้เหมือนการควบคุมเครื่องดนตรี หากเราควบคุมความคิดได้ เราจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสของความคิด เราก็จะสามารถควบคุมตัวเราและสิ่งแวดล้อมต่อไปได้


    4. The Principle of Polarity

    "Everything is dual; Everything has poles; 
    Everything has its pair of opposites; 
    Like and unlike are the same; 
    Opposites are identical in nature, but different in degree; 
    Extremes meet; All truths, are but half-truths; 
    All paradoxes may be reconciled."

    หลักการนี้อธิบายว่าทุกอย่างมี 2 ขั้วเสมอ แต่สิ่งตรงกันข้ามนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่อยู่สุดด้านของแต่ละขั้ว มันแตกต่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น เช่น ความรักกับความเกลียด ไม่มีจุดตัดที่ชัดเจนว่าตรงไหนคือจุดเริ่มต้นที่รักจะแปรผันไปเป็นเกลียด หรือแม้แต่เมื่อไรที่มันเปลี่ยนจากชอบไปเป็นไม่ชอบ ทุกอย่างเป็นเพียงการรับรู้ของเรา

    การเข้าใจว่าคู่ตรงข้ามจะคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีกันและกันช่วยเปิดโอกาสให้เข้าใจว่าความกล้าก่อกำเนิดขึ้นจากความกลัว ความรักก็เกิดจากความเกลียดชัง เพราะทั้งสองคืออย่างเดียวกัน มันแค่อยู่ในระดับที่แตกต่าง เราสามารถควบคุมความรู้สึกโดยคิดว่ามันคือสิ่งเดียวกันและเลือกระดับที่ถูกต้องเหมาะสมกับความรู้สึกนั้นได้


    5. The Principle of Rhythm

    "Everything flows, out and in; Everything has its tides; All things rise and fall; 
    The pendulum swing manifests in everything; 
    The measure of the swing to the right is the measure of the swing to the left; 
    Rhythm compensates."

    ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านการเคลื่อนที่ที่คำนวณมาแล้ว จากที่นี่ไปที่นั่น เคลื่อนเข้าและเคลื่อนออก แกว่งไปด้านหน้าและด้านหลัง น้ำขึ้นและน้ำลง ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเสมอ หลักการนี้ควบคุมวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด การกำเนิดและการทำลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในความคิดของเราด้วยเช่นกัน 

    หากเราเข้าใจว่าความคิดมีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็จะสามารถควบคุมระดับของมันได้ตามต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เพนดูลัมพาคุณไปยังระดับที่สุดกู่ เช่น หากคุณกำลังเศร้าเสียใจก็ให้เวลาตัวเองกลับสู่สภาวะปกติเสียก่อนที่จะมุ่งไปสู่จุดที่สูงสุดอีกครั้ง การรับรู้ว่าเมื่อไรเราจะถอยและเมื่อไรเราจะกลับไปคือประเด็นสำคัญ


    6. The Principle of Cause & Effect

    "Every cause has its effect; Every effect has its cause; 
    Everything happens according to law’ 
    Chance is but a name for law not recognized’ 
    There are many planes of causation, but nothing escapes the law."

    "ทุกเหตุมีผล" และ "ทุกผลมีเหตุ" หมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ ตามหลักการข้อ 2 The Principle of Correspondence นั้น สามารถบอกได้ว่ามีมิติที่สูงขึ้นไปมาควบคุมเบื้องล่างและไม่มีอะไรหลุดรอดเงื้อมมือจากกฎแห่งเหตุและผลไปได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไร้คำอธิบาย 

    หลักการนี้ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยการเลือกเป็น "เหตุ" ให้ตัวคุณเอง ไม่ใช่เป็น "ผล" จากคนอื่นหรือสถานการณ์ที่กำลังประสบอยู่ ทำให้คุณเป็นคนเริ่มการกระทำนั้นแทนที่จะรอตอบสนองต่อผลที่เกิดขึ้น


    7. The Principle of Gender

    "Gender is in everything; Everything has its masculine and feminine principles; 
    Gender manifests on all planes."

    ทุกสิ่งล้วนมีทั้งความเป็นชายและความเป็นหญิง ไม่เพียงแต่เพศเท่านั้น แต่ในธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ในทุกมิติด้วย นั่นหมายความว่าความเป็นชายและความเป็นหญิงไม่ได้คงอยู่เพียงแค่ภายนอก แต่ยังคงอยู่ในความคิดและจิตวิญญาณด้วย หลักการนี้มีส่วนสำคัญในการให้กำเนิด หากไม่มีความเป็นชายของพระเจ้าและความเป็นแม่ของธรรมชาติ โลกใบนี้จะดำรงอยู่ไม่ได้ เมื่อตระหนักได้ว่าความเป็นชายและหญิงเท่าเทียมกัน ก็จะส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างตัวเรากับจักรวาลได้


    ดูเหมือนว่าหลักการทั้ง 7 นี้บ่งบอกว่าเฮอร์เมติกมุ่งเน้นหา "สมดุล" ของตัวเราและจักรวาล ทุกอย่างเกิดขึ้นในทุกมิติ มีความนึกคิดของตัวเอง มีเหตุมีผล มีขั้วตรงข้าม แต่ทั้งหมดก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน การหาสมดุลนี้ก็เพื่อให้ผู้ยึดถือสามารถควบคุมตัวเองได้ทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ



    สิ่งที่อาจพบในซีซั่น 3

    ซีซั่น 2 เพิ่งฉายไปหมาดๆ ก็เร่งเครื่องถ่ายทำซีซั่น 3 กันต่อแล้ว ผู้กำกับ Baran bo Odar ก็ขยันลงรูปมายั่วน้ำลายแฟนซีรีส์น่าดู รูปบางส่วนที่ปล่อยมาให้ชมใน instagram ของเขาก็มีคำใบ้บางอย่างที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว


    นอกจากทรงผมที่ยาวขึ้นของทุกคนแล้ว สมาชิกในภาพก็แปลกไปจากเดิม ฟรานซิสกาหายไปไหน? แล้วชายไม่คุ้นหน้าด้านซ้ายภาพคือใคร?

    คำถามนี้คงต้องย้อนกลับไปยังซีซั่น 1 ตอน 6 บนละครเวทีอารีแอดเน่


    นักแสดงคนนี้คือ Sammy Scheuritzel เขามีชื่ออยู่ในรายชื่อนักแสดง Dark ซีซั่น 1 ใน imdb เพราะฉะนั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นคนเดียวกันแน่นอน


    สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือบทพูดของเขา

    "บัดนี้เจ้าได้ยินนางแล้ว ธิดาของไมนอส เจ้าคิดว่าเจ้ารู้จักนาง คิดว่านางสวยและแสนดีเสียจริง เจ้าปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มโดยคำพูดของนาง โดยแววตาแสนสวยของนาง แต่เชื่อข้าสิ ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นธิดาของพระราชาหรือไม่ เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในเงามืดและอีกข้างหนึ่งอยู่ในแสงสว่าง"

    ธิดาของไมนอสที่ว่าก็คือ 'อารีแอดเน่' หรือสามารถเปรียบได้ว่าคือ 'มาร์ธา' นั่นเอง และเธอเองคงจะมีบทบาทที่สำคัญในอีกโลกหนึ่ง

    ส่วนบทบาทของนักแสดงชายคนนี้จะสลักสำคัญเพียงใดคงต้องรอลุ้นกันต่อไป


    อีกความน่าสนใจหนึ่งคือรอยสักที่เพิ่มขึ้นมาบนแผงอกของมักนุส เจ้าสิ่งนี้คือ Caduceus หรือ 'คทางูไขว้' อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้ในเฮอร์เมติก



    Caduceus 
    Caduceus เป็นคทาของเทพเจ้าเฮอร์เมส ผู้ส่งสารจากพระเจ้า เทพแห่งการเดินทางและการพาณิชย์ เขายังเป็นที่บูชาของพวกหัวขโมยและมีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตายไปสู่ยมโลกด้วย Caduceus ใช้แทนสัญลักษณ์แห่งการค้า การสื่อสาร และการเจรจาผลประโยชน์ 

    หลายคนสับสน Caduceus (งูสองตัว) กับ Rod of Asclepius (งูตัวเดียว) ซึ่งอันหลังนี้เป็นคทาของอัสเคลปิอุส ใช้แทนสัญลักษณ์ของการเยียวยาและรักษาทางการแพทย์

    Rod of Asclepius




    ใครมีข้อสงสัยหรืออยากคุยประเด็นไหน มาแลกเปลี่ยนกันในเพจได้นะคะ







    อ้างอิง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in