ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 บุคคลที่มีอาการป่วยทางจิตจะถูกมองว่ามีความวิปลาส
จากธรรมชาติที่แท้จริงของตน ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องพวกเขาจึงมีชื่อเรียกว่า
“นักจิตวิปลาส”
The Alienist เป็น
คนที่ชอบแนว Mindhunter, Hannibal หรือ Sherlock อาจจะสนใจซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากฆาตกรรมและการสืบสวนแล้ว The Alienist ยังเป็นซีรีส์พีเรียดนำเสนอภาพสังคมอเมริกาในศตวรรษที่ 19 ออกมาได้ถี่ถ้วน อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดที่สวยงามและภาพสะท้อนอันน่าหดหู่
เชื่อกันว่าคำว่า alienist เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1864 ทางการแพทย์ใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือบุคคลที่ดูแลผู้ป่วยทางจิต
alienist มาจากภาษาละติน alienus ซึ่งแปลว่า ผู้อื่น/สิ่งอื่น (other)
สำหรับภาษาอังกฤษแล้ว alienist คำนี้ฟังดูเหมือนการศึกษา "เอเลี่ยน" ที่เรามักใช้เรียกมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์ไซไฟ เอเลี่ยนที่ว่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกหน้าหรือมาจากสถานที่อื่น ต่อเนื่องไปถึง alienation ที่อธิบายความแปลกแยกทางสภาวะทางจิตในผู้ป่วยที่ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นตัวเองและไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ alienation ยังถูกนำไปใช้ในบริบทอื่น ๆ ด้วย เช่น “ความแปลกแยก” ที่คาร์ล มาร์กซ์นำมาอธิบายสังคมทุนนิยมที่มีการแบ่งชนชั้น หรือ “ความแปลกแยก” ในความหมายของผู้อพยพที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย (a stranger in a strange land)
คำว่า alienist
ซีรีส์เรื่อง
Beauvoir (1949)
การเคลื่อนไหวสิทธิสตรีในช่วงแรกเกิดขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 จากสิ่งแวดล้อมของสังคมอุตสาหกรรมและการเมืองแบบสังคมนิยม เชื่อกันว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจเกิดจากอิทธิพลของสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อผู้ชายต้องออกไปรบเพื่อประเทศชาติ ผู้หญิงจึงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงตนเอง (แม้จะถูกจำกัดอาชีพอยู่ก็ตาม)
จุดประสงค์ของการเคลื่อนไหวนี้ก็เพื่อต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมทางเพศและนำมาซึ่งสิทธิเสรีภาพทางสังคม เช่น การรณรงค์ให้สตรีมีสิทธิในการเลือกตั้ง ได้รับโอกาสทางการศึกษา และสามารถประกอบอาชีพในสถานที่ราชการต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่ที่ต่อมากลายเป็น "Torches of Freedom" สัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม
The Alienist
ผู้อพยพจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามายังสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 ไม่ว่าจะเป็นจากยุโรป แอฟริกา แคนาดา หรือจีน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของผู้อพยพ
ชาวไอริชเป็นกลุ่มผู้อพยพจำนวนมากในยุคนั้น พวกเขาย้ายมาหลังทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ (potato famine) โดยคนไอริชส่วนใหญ่นับถือคริสตศาสนานิกายคาทอลิก ทางอเมริกามีความคิดว่าคนเหล่านี้รับใช้วาติกันและสันตะปาปา เมื่อถึงคราวต้องต่อสู้ ชาวไอริชคงจะตอบรับต่อคำสั่งของสันตะปาปาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเชื่อว่าชาวไอริชอาจเป็นภัยต่อประชาธิปไตยและโปรเตสแตนต์ได้ ใน The Alienist "คอนเนอร์" เป็นตำรวจนิวยอร์กซึ่งเป็นชาวไอริช เขาทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการและพยายามอย่างมากเพื่อเอาใจผู้มีอิทธิพล จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อดิ้นรนในสังคม เมื่อเขาถูกไล่ออกจากกรมตำรวจ คอนเนอร์ก็ยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อใจอีกครั้ง
ชาวเยอรมันและชาวยิวเป็นอีกกลุ่มที่อพยพเข้ามาในอเมริกาเป็นจำนวนมากเพื่อโอกาสในการประกอบอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในยุโรป โดยส่วนใหญ่ชาวยิวที่อพยพมาจะมาเป็นครอบครัวและมักตั้งชุมชนเล็ก ๆ อยู่รวมกัน เราจึงเห็นครอบครัวของมาร์คัสและลูเซียสอยู่กันพร้อมหน้า
ศตวรรษที่ 19 จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ แม้ทุกอย่างจะไม่ได้ราบรื่นแต่สังคมก็เริ่มเปิดโอกาสให้ผู้อพยพได้ทำงานในระดับที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเมือง The Alienist ใส่ตัวละครเหล่านี้เข้ามาและให้บทบาทในการดำเนินเรื่องแก่พวกเขาเพื่อที่คนดูจะได้ตระหนักถึงประเด็นของเชื้อชาติที่มีรากฐานมาตั้งแต่อดีตกาล
ธีโอดอร์ โรสเซเวลท์เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตอยู่จริง เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งในปี 1901-1909 ผู้คนเรียกเขาว่า “เท็ดดี้” และเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์
โรสเซเวลท์ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรนิวยอร์กตอนอายุ 23 ปี แต่หลังจากที่ภรรยาและมารดาของเขาเสียชีวิตลงพร้อมกัน โรสเซเวลท์จึงย้ายไปดาโกต้าและใช้ชีวิตแบบคาวบอยตะวันตกเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นเขาแต่งงานใหม่และย้ายกลับมายังนิวยอร์ก
ใน
เขาออกจากตำแหน่งหลังจากทำงานอยู่ปีกว่าและย้ายไปวอร์ชิงตันเพื่อสานต่ออาชีพทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงกรมตำรวจภายใต้การนำของโรสเซเวลท์นั้นน่าเสียดายที่ไม่ยั่งยืนนัก เมื่อเขาจากไป สภาพสังคมนิวยอร์กก็กลับมาเป็นดังเดิม
หลายคนคงคุ้นเคยชื่อ "โทมัส เอดิสัน" จากการคิดค้นหลอดไฟ แต่เอดิสันไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวงการอีกด้วย
เมื่อปี 1891 วิลเลียม เคนเนดี้ ลอรีย์ ดิกสันร่วมกับโทมัส เอดิสันสร้างเครื่อง
ต่อมาฟรานซิส เจนกินส์และโทมัน อาร์แมตสร้าง phantoscope ขึ้นมาแต่หลังจากพวกเขาแยกทางกัน เจ้าของบริษัท kinetoscope เห็นหนทางในการทำธุรกิจจึงติดต่ออาร์แมตเพื่อซื้อ phantoscope มาสร้างเอง โดยทางบริษัท kinetoscope หันมาหาเอดิสันเพื่อขอการสนับสนุน บริษัทของเอดิสันตกลงภายใต้เงื่อนไขที่ว่ามันจะต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ภายใต้การคิดค้นของเอดิสันและตั้งชื่อว่า vitascope
vitascope เริ่มฉายครั้งแรกในปี 1896 ซึ่งส่งผลสั่นคลอนต่อพี่น้องเมลิเยร์ในการตีตลาดอเมริกามากแม้ว่าพวกเขาจะเป็นที่นิยมในอังกฤษตั้งแต่ 1895 แล้วก็ตาม
ภาพยนตร์ในช่วงแรกนั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตประจำวันสั้น ๆ เช่น คนเดินไปมา ภาพคลื่นทะเล รถไฟวิ่งเข้าหา ในขณะนั้นยังบันทึกได้แค่ภาพ ไม่มีเสียง ดังนั้นจึงมีวงดนตรีเล่นให้ฟังสด ๆ ขณะฉายภาพเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม
ผู้ชมล้วนตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นภาพเคลื่อนไหวบนจอใหญ่ตระการตา ภาพเหล่านั้นสร้างความตื่นตกใจให้ผู้ชม จนบางคนก็กลัวว่ารถไฟจะพุ่งเข้าชนตัวเองจริง ๆ
________________________________________________________
ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ใน facebook หรือ ทวิตเตอร์ได้นะคะ
Facebook: เพจนี้มีสปอยล์
Twitter: @spoilerpage
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in