หลายครั้งที่เห็นภาพตัวตลกแล้วสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดคือ "น่ากลัว" ทั้งที่ตัวเราเองแทบไม่ได้มีโอกาสเจอตัวตลกตัวเป็น ๆ และไม่ได้มีความหลังฝังใจอะไรกับพวกเขาเลย เมื่อลองไปถามเพื่อนและคนรอบข้างดู ก็เห็นได้ว่าหลายต่อหลายคนก็มีความรู้สึกในแง่ลบกับตัวตลกเหมือนกัน ทำไมกัน ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "ตัวตลก" แต่ทำไมตัวตลกถึงไม่ตลกอีกต่อไป มันเกิดขึ้นเพราะอะไรและมันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร
นานแสนนานมาแล้ว เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล ในอียิปต์โบราณมีตัวตลกปิ๊กมี่เป็นผู้ให้ความบันเทิงแด่ฟาโรห์ ประเทศจีนสมัยก่อนก็เช่นกัน ในราชวงศ์โจว มีตัวตลกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "Yu Sze" เขาเป็นตัวตลกชื่อเสียงโด่งดังที่คอยให้ความเพลิดเพลินแด่ฉินซีฮ่องเต้ผู้สร้างกำแพงเมืองจีน หรือกระทั่งในสมัยโรมันเองก็ไม่น้อยหน้า มีตัวตลกมากมายหลากหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Sannio, Moriones (ที่มาจาก moron) หรือ Stupidus (ที่มาจาก stupid)
ตัวตลกมีประวัติที่ยาวนานจนสามารถเขียนหนังสือออกมาได้เป็นเล่ม ๆ แต่ตัวตลกยุคใหม่ที่เรารู้จักกันนั้น หลายคนเชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากตัวตลกที่โด่งดังของอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เขามีชื่อว่า "โจเซฟ กริมัลดิ" (Joseph Grimaldi)
Andrew McConnell Stott ผู้เขียนหนังสือ "The Pantomime Life of Joseph Grimaldi" เล่าว่า กริมัลดิเหมือนเป็นรากฐานของตัวตลกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภายหลัง เขาเปรียบเสมือน Homo erectus ในวิวัฒนาการของตัวตลก ตัวตลกของโจเซฟ กริมัลดิเองนี่แหละที่เป็นสาเหตุว่าทำไมในบางครั้งตัวตลกจึงยังถูกเรียกว่า "โจอี้"
กริมัลดิโด่งดังมากในยุคนั้น เขาทำให้ตัวตลกเป็นนักแสดงหลักของละครใบ้และเปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอกโดยอาศัยเครื่องแต่งกายและเมคอัพ สมัยก่อนตัวตลกเพียงแค่ทาแก้มให้มีสีแดงเรื่อ ๆ เหมือนกำลังเมาเท่านั้น แต่กริมัลดิได้ปรับชุดแต่งกายเสียใหม่ เพิ่มความแปลกตาและสีสันที่สดใสเข้าไป เขาระบายหน้าด้วยสีขาวและแต่งแต้มสีแดงบนแก้มทั้งสองข้าง ตบท้ายด้วยผมทรงโมฮอร์คสีฟ้าโดดเด่น
กริมัลดิใช้ร่างกายในการแสดงได้เก่งกาจ ไม่ว่าจะกระโดดสูงหรือกลับหัวยืน เขาก็ทำได้หมดและเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี ทว่าชีวิตจริงของกริมัลดิกลับไม่ได้ตลกเหมือนตัวตนที่เขาสร้างขึ้นมา เขามีพ่อที่มีภรรยาหลายคน เมื่อกริมัลดิแต่งงาน ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตระหว่างคลอดลูก ต่อมาลูกชายติดเหล้าจนเสียชีวิตตามไปในวัย 31 ปี ซ้ำร้ายร่างกายที่บอบช้ำด้วยร่องรอยการตีระหว่างการแสดงตลกแบบเจ็บตัว (slapstick comedy) ยังทำให้เขาต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดและทุพพลภาพก่อนวัยอันควร
เขาเผชิญเรื่องราวสะเทือนใจมามากแต่กลับพูดอย่างติดตลกว่า "ฉันโศกเศร้าตลอดเวลาตอนกลางวัน แต่ฉันทำให้คุณหัวเราะได้ตอนกลางคืน"
ในขณะนั้น ประเทศฝรั่งเศสก็มีตัวตลกชื่อดังเช่นกัน ทุกคนต่างเรียกกันว่า "ปิเอโร่ (Pierrot)" เบื้องหลังใบหน้านั้นมีนามว่า Jean-Gaspard Deburau เขาระบายหน้าด้วยสีขาว ทาปากสีแดง และมีคิ้วสีดำสนิท ขณะที่กริมัลดิมีชีวิตที่น่าเศร้าแต่ Deburau นั้นมีพฤติกรรมที่ชั่วร้าย เมื่อปี 1836 เขาฆ่าเด็กชายคนหนึ่งที่ส่งเสียงด่าเขาริมถนนโดยการใช้ไม้ค้ำยันทุบตีจนเสียชีวิต ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าตัวตลกในยุคแรกนั้นต่างเป็นคนที่มีปัญหาซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าภายนอกที่ยิ้มแย้ม
ทูตตัวตลก
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/1348e3dc.gif)
ช่วงกลางยุค 1960s ในอเมริกามีรายการโทรทัศน์ที่กำลังโด่งดัง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของตัวตลก "คลาร่าเบลล์" และ "โบโซ่" ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ จนเมื่อปี 1963 แมคโดนัลล์ก็ได้สร้าง "โรนัลด์ แมคโดนัลด์" ออกมาเป็นทูตการค้าให้กับแฮมเบอร์เกอร์ของบริษัท ซึ่งได้คนแสดงโบโซ่มาแสดงให้ ตัวตลกจึงกลายเป็นทูตการค้าให้กับแบรนด์
ฆาตกรตัวตลก
ความน่ากลัวเริ่มต้นเมื่อ จอห์น เวย์น เกซี่ (John Wayne Gacy) ใช้ตัวตลกเป็นเครื่องมือในการฆาตกรรมต่อเนื่องจนได้รับฉายาว่า "ฆาตกรตัวตลก (The Killer Clown)"
เกซี่มาในคราบตัวตลกที่ใช้ชื่อในวงการว่า "โพโก้ (Pogo)" เบื้องหน้าเขาคือชายหนุ่มอาชีพรับเหมาก่อสร้างที่ชอบช่วยเหลือสังคมโดยการแต่งตัวเป็นตัวตลกเพื่อไปเยี่ยมเยียนเด็กตามโรงพยาบาล ทว่าเบื้องหลังเขามีจิตใจที่ผิดปกติ เกซี่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กหนุ่มจำนวนมากและได้พรากชีวิตเด็กหนุ่มไปกว่า 33 คนภายในระยะเวลา 6 ปี (ระหว่างปี 1972-1978) โดยเขาเคยสารภาพว่า "คุณก็รู้...ตัวตลกมักรอดพ้นจากฆาตกรรม"
เกซี่ถูกประหารชีวิตในปี 1994
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ภาพลักษณ์ตัวตลกก็เปลี่ยนแปลงไป คนเริ่มไปดูละครสัตว์น้อยลง ระมัดระวังคนแปลกหน้ามากขึ้น และภาพยนตร์หลายเรื่องก็นำตัวตลกมาใช้ในทางลบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวตลกเป็นสิ่งที่น่ากลัวและซ่อนความลับเลวร้ายเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ความหวาดกลัวนั้นยังส่งผลต่อสุขภาพ ถึงขั้นมีการบัญญัติโรค Coulrophobia หรือโรคกลัวตัวตลกในแนวทางการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชเลยด้วยซ้ำ
เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา หลายคนคงจำปรากฏการณ์ Clown Sightings ที่แพร่กระจายไปหลายประเทศผ่านโซเชียลมีเดียได้ คนจำนวนหนึ่งออกมาแต่งตัวเป็นตัวตลกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแกล้งประชาชน โดยมีจุดประสงค์ตั้งแต่ทำเพื่อความสนุกจนกระทั่งจงใจทำร้ายร่างกาย เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนเป็นจำนวนมาก
ทำไมเราถึงกลัวตัวตลก
ความรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากการพบเห็นตัวตลกไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง มันมีที่มาที่ไป
Uncanny valley effect
Uncanny valley effect เป็นทฤษฎีที่กล่าวว่า "เมื่อสิ่งมีชีวิตมีความคล้ายมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าด้วยหน้าตาหรือท่าทาง จะสามารถกระตุ้นให้มนุษย์รู้สึกกลัวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลได้" การตอบสนองนี้เกิดจากส่วนลึกด้านอารมณ์ของมนุษย์
มาซาฮิโระ โมริ นักออกแบบหุ่นยนต์ได้อธิบายไว้ว่า เมื่อหุ่นยนต์มีความเหมือนมนุษย์มากขึ้น เราจะมีความรู้สึกด้านบวกและเห็นอกเห็นใจ แต่เมื่อความเหมือนเข้าใกล้ถึงจุดหนึ่ง มนุษย์จะเกิดความรู้สึกตรงกันข้ามขึ้น ต่อมาเมื่อหุ่นยนต์เหมือนมนุษย์มากจนแทบแยกไม่ออก มนุษย์ก็จะกลับมาเกิดความรู้สึกทางบวกขึ้นอีกครั้ง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/9d4de648.png)
บริเวณที่เกิดจุดผันกลับถูกเรียกว่า "Uncanny valley" ซึ่งเป็นบริเวณระหว่างลักษณะและท่าทาง "ไม่เหมือนมนุษย์" และ "เหมือนมนุษย์" จากการทดลองพบว่าซอมบี้และซากศพก็ทำให้เกิด uncanny valley เช่นกัน
กลับมาที่ตัวตลกกันบ้าง ที่จริงแล้วตัวตลกก็คือมนุษย์ แต่ทำไมเราถึงกลัว? สาเหตุก็เกิดมาจาก uncanny valley effect นี้เอง เมื่อตัวตลกแต่งหน้า ใส่หน้ากาก ยิ้มแย้มตลอดเวลาและสวมใส่ชุดแปลกประหลาด สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดใบหน้าที่ผิดเพี๊ยนไปจากใบหน้าปกติที่ควรจะเป็นของมนุษย์ นอกจากนี้ตัวตลกยังแสดงท่าทางไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปอีกด้วย
Steven Schlozman จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดบอกกับ Vulture ว่า
"เมื่อคุณเห็นรอยยิ้ม สมองก็จะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณจะยิ้มตลอดเวลาไม่ได้ เพราะถ้าคุณยิ้มตลอดเวลา ต้องมีบางอย่างไม่ปกติแล้ว ผมว่ามันก็เหมือนตัวตลกนั่นแหละ ลองคิดถึงหน้าของ Javier Bardem ใน No Country for Old Men สิ นั่นแหละที่ทำให้มันน่ากลัว"
ดังนั้นถึงแม้ว่าภายในของตัวตลกเหล่านั้นจะเป็นมนุษย์ แต่ลักษณะภายนอกและท่าทางที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้นทำให้พวกเขามีความแตกต่างจากคนทั่วไปและส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้
ความไม่แน่นอนของตัวตลก
เวลาไปดูโชว์ตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะโชว์สัตว์ กายกรรม หรือบัลเล่ต์ เราต่างรู้อยู่แล้วว่าเราจะได้ดูอะไร โลมากระโดดน้ำ สิงโตลอดห่วง นักกายกรรมปีนป่ายบนเส้นเชือก หรือการเต้นบัลเล่ต์ประกอบเพลง ทว่าการไปดูตัวตลกกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ตัวตลกจะเป็นนักแสดงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แต่กลับพบว่าเราแทบคาดเดาการกระทำของเขาเหล่านั้นไม่ได้เลย และอะไรที่คาดเดาไม่ได้ล้วนตื่นเต้นและน่ากลัวเสมอ
นำไปสู่การศึกษาหนึ่งที่พบว่า พฤติกรรมที่ไม่แน่นอนทำให้สมองส่วนอะมิกดาลา (สมองที่กระตุ้นความรู้สึกกลัว) ทำงานมากขึ้น ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงคนเมาหรือคนจรจัดเพราะพวกเขามีพฤติกรรมแตกต่างจากคนทั่วไปบนท้องถนน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง
ความหวาดกลัวในวัยเด็ก
ภาพ : https://www.flickr.com/photos/loufi/31692794/
ความกลัวก่อกำเนิดมาตั้งแต่เรายังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการกลัวความมืด กลัวคนแปลกหน้า กลัวสัตว์หรือกลัวการอยู่คนเดียว ความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาติญาณในการป้องกันตัวของมนุษย์และเป็นธรรมชาติของพัฒนาการที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เกิด
ความกลัวในวัยเด็กนั้นแตกต่างกันในแง่ปริมาณ ความถี่และระยะเวลา ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เป็นแค่ชั่วคราวและตามช่วงอายุ สาเหตุของความกลัวเหล่านี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางครั้งเกิดจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมากระตุ้น บางครั้งเกิดจากการเลี้ยงดู หรือบางทีก็เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
ยกตัวอย่างอาการหวาดกลัวที่พบบ่อยตามช่วงอายุ ซึ่งความกลัวเหล่านี้จะล้อไปกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย (หมายเหตุ : อายุอาจเหลื่อมกันได้บ้าง)
วัย 2-4 ปี : กลัวเสียงดัง คนแปลกหน้า การถูกทิ้ง
วัย 4-6 ปี : กลัวความมืด สิ่งที่จินตนาการขึ้น เช่น ผี สัตว์ประหลาด
7 ปีขึ้นไป : ความกลัวเริ่มลดลงและใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริงมากขึ้น เช่น กลัวเลือด กลัวโรงเรียน การเจ็บป่วย ความตาย
นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าเด็กกลัวตัวตลกเป็นอันดับที่ 12 จากทั้งหมด 40 อันดับ (โดยมีแมงมุมอยู่อันดับแรกและความมืดอยู่อันดับที่ 2)
ส่วนใหญ่ความกลัวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่มันมากเสียจนรบกวนการใช้ชีวิตหรือทำให้พัฒนาการของเด็กผิดปกติไป เมื่อนั้นจึงควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางรักษาต่อไป
ตัวตลกในภาพยนตร์
จากการค้นคว้าของ
สตีเฟ่นในปี 2016 โดยการรวบรวมภาพยนตร์จาก IMDb และ wikipedia พบว่ามีภาพยนตร์ทั้งหมด 298 เรื่องที่มีตัวตลกเป็นตัวละครหลัก ภาพยนตร์ที่เก่าที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 1916 เป็นภาพยนตร์ใบ้ชื่อ
The New Clown จุดพีคของภาพยนตร์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1928 แต่เทรนด์นี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก จนกระทั่งช่วงปี 2000 เป็นต้นไป แนวโน้มภาพยนตร์ที่มีตัวตลกก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่า 54 เปอร์เซ็นต์
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/0852f4ed.png)
กราฟแสดงจำนวนภาพยนตร์ที่มีตัวตลกในช่วงปี 1916-2016
แล้วตัวตลกเริ่มไปปรากฏตัวในภาพยนตร์แนวสยองขวัญตั้งแต่เมื่อไร?
สตีเฟ่นพบว่าตัวตลกเริ่มเป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวในแวดวงภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา โดยเกือบครึ่งหนึ่งของภาพยนตร์ตัวตลกในช่วงนั้นเป็นแนวสยองขวัญและเขาคาดว่ามันจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/aa7f48ac.png)
กราฟแสดงเปอร์เซ็นต์ภาพยนตร์สยองขวัญที่มีตัวตลกในช่วงเวลาต่างๆ
ตัวอย่างภาพยนตร์
He Who Gets Slapped (1924)
ภาพยนตร์ใบ้จากอเมริกาของ Victor Sjöström ที่สร้างจากละครเวทีรัสเซียชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ถูกขโมยผลงานวิจัยไป เขาโดนตบหน้าท่ามกลางฝูงชนจากคนที่ขโมยผลงานและสูญเสียภรรยาให้แก่ชายคนนั้นไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตพลิกผันทำให้เขาต้องมาทำงานเป็นตัวตลกในละครสัตว์และนำเรื่องขายหน้าของตัวเองมาเล่นเป็นเรื่องขำขันในทุก ๆ วัน ต่อมาเขาวางกลอุบายเพื่อแก้แค้นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครล่วงรู้
He Who Gets Slapped เป็นภาพยนตร์ที่เปิดเผยเบื้องหลังอันดำมืดของใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มของตัวตลก
The Man Who Laughs (1928)
The Man Who Laughs ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มี "ตัวตลก" อย่างที่เราเข้าใจกัน มันเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงชายคนหนึ่งซึ่งบังเอิญโชคร้ายเป็นลูกชายของลอร์ดที่มีปัญหาการเมืองกับกษัตริย์ในขณะนั้น พ่อของเขาถูกฆ่าตายแต่เรื่องราวกลับไม่จบเพียงเท่านั้น เขายังถูกกรีดมุมปากทั้งสองข้างเป็นทางยาวจนเกิดเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีวันหุบเพื่อที่จะได้ "หัวเราะให้กับความโง่เขลาของพ่อตลอดไป"
เมื่อโตขึ้น เขามีความคิดที่จะแก้แค้นกษัตริย์องค์นั้น ต่อมาเขาได้เข้าไปทำงานกับคณะละครสัตว์ ตกหลุมรักสาวตาบอดคนหนึ่งและวางแผนแก้แค้นไปพร้อม ๆ กัน แต่เนื่องจากเขามีใบหน้าที่ฉีกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ใครจะคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันล่ะ
The Man Who Laughs สร้างภาพตัวตลกที่ไม่ได้ใส่หน้ากากหรือแต่งหน้าแต่งตัวแบบที่พบเห็นกัน แต่ใช้รอยยิ้มผิดธรรมชาติเพื่อบ่งบอกถึงการเป็นตัวตลก
Poltergeist (1982)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/f61a74ed.jpg)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สตีเวน สปีลเบิร์กเป็นผู้เขียน แต่กำกับโดยโทบี ฮูเปอร์ ตัวตลกในเรื่องนี้ไม่ได้มาในรูปแบบมนุษย์ แต่เป็นตุ๊กตาตัวตลกที่จะมาเขย่าขวัญทุกคน
เหตุการณ์เริ่มต้นในคืนหนึ่งเมื่อโทรทัศน์เปิดขึ้นมาเองตอนกลางดึกและลูกสาวของครอบครัวที่อาศัยอยู่ไปได้ยินเข้า หลังจากนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายจึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงตึงตังที่ดังขึ้นเอง หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมา วิญญาณอาฆาตที่ตามหลอกหลอนครอบครัวนี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพรากชีวิตไปจากพวกเขา
ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังจนมีภาคต่อถึง 2 ภาคและถูกนำกลับมาสร้างซ้ำอีกครั้งในปี 2015 นอกจากนี้ Poltergeist ยังมีเรื่องราวล่ำลือเกี่ยวกับอาถรรพ์ที่คร่าชีวิตนักแสดงไปหลายคนอีกด้วย
Killer Klowns from Outer Space (1988)
ผลงานแนวไซไฟ/ตลก/สยองขวัญเรื่องนี้ (หรือพูดง่าย ๆ ว่าหนังสยองขวัญตลกร้าย) เป็นผลงานชื่อดังของพี่น้องตระกูล Chiodo
ตัวตลกในภาพยนตร์ปรากฏกายในรูปแบบของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือ 'เอเลี่ยน' นั่นเอง เอเลี่ยนที่หน้าตาเหมือนตัวตลกเหล่านี้มายังโลกโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยวิธีการแปลกประหลาดหลากวิธี และจับตัวมนุษย์ไปทำเป็นขนมสายไหมเพื่อเก็บไว้ยังชีพ
หลังเข้าฉาย Killer Klowns from Outer Space ได้รับคำชมไปไม่น้อยและนักวิจารณ์หลายคนยกให้เป็นหนังคัลท์สุดคลาสสิกที่ควรรับชมดูสักครั้ง
Stephen King’s It (1990)
มาถึงจุดพีคที่สร้างปรากฏการณ์กลัวตัวตลกไปทั่วทุกมุมโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นมินิซีรีส์เรื่อง IT ที่สร้างจากนิยายของสตีเฟ่น คิงอย่างแน่นอน แม้ซีรีส์นี้จะมีเพียง 2 ตอนแต่ก็กวาดไปได้เกือบ 30 ล้านวิวเลยทีเดียว
ทิม เคอร์รี่รับบทตัวตลกที่ชื่อ "เพนนีไวซ์" เขามักปรากฏกายพร้อมกับลูกโป่งที่จะพาคุณล่องลอยไปด้วยกันและนำไปสู่ฆาตกรรมอันแสนโหดเหี้ยม จนกระทั่งเด็กกลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่า "The Losers Club" ได้เจอกับตัวตลกเพนนีไวซ์เข้าและตัดสินใจที่จะทำลายมัน
IT ได้ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ในปี 2017 นี้ ผู้รับบทเพนนีไวซ์คนใหม่คือบิล สการ์สการ์ด สามารถสัมผัสความหลอนได้ 7 กันยายนนี้ทุกโรงภาพยนตร์
American Horror Story: Freak Show - Monsters Among Us (2014)
มาถึงตัวตลกในยุคใหม่กันบ้าง ซีรีส์ชื่อดังอย่าง American Horror Story ก็หยิบเอาตัวตลกมาใช้เช่นเดียวกัน ตัวตลกนี้คือ Twisty the Clown และเขาก็ชอบฆ่าคนไม่แพ้กัน
ทวิสตี้มีส่วนผสมของเพนนีไวซ์จาก IT และ Leatherface จาก The Texas Chainsaw Massacre แถมยังมีคนคาดเดาว่าตัวละครนี้น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของจอห์น เวย์น เกซี่ ฆาตกรตัวตลกสุดอำมหิตนั่นเอง
The Dark Knight (2008) : Joker
แม้หลายคนจะเรียกโจ๊กเกอร์และตัวตลกในความหมายเดียวกัน ทว่า
โจ๊กเกอร์ไม่ใช่ตัวตลก เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องเสียทีเดียว แต่จะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาบอกกล่าวกัน
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงแรงบันดาลใจของตัวละคร "โจ๊กเกอร์" คู่อริสุดเหี้ยมของแบทแมนนั้น กลับพบว่านักวาดการ์ตูนได้แรงบันดาลใจในการวาดตัวละครนี้มาจาก The Man Who Laughs หนึ่งในภาพยนตร์เรื่องแรก ๆ ที่มีการอ้างอิงถึงตัวตลก
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/20/20701/pagegallery/1502975145/67756d6f.jpg)
"แกรู้ไหมว่าฉันได้รอยแผลเป็นนี้มาจากไหน?"
โจ๊กเกอร์พูดประโยคข้างต้นไว้ในภาพยนตร์ ถึงแม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้ข้อสรุปว่าตกลงเขาได้รอยแผลเป็นนี้มาจากไหน แต่รอยดังกล่าวที่เห็นก็คือบาดแผลที่หลงเหลือไว้เป็นรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวเหมือนกับตัวละครใน The Man Who Laughs ไม่มีผิด
ด้วยรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงรูหู ภาพลักษณ์ของตัวละคร พฤติกรรมอันแสนโหดเหี้ยมและฝีมือการแสดงที่เหนือชั้นของฮีธ เลดเจอร์ เราจึงได้ภาพวายร้ายที่ทุกคนไม่มีวันลืมมาจนถึงทุกวันนี้
สุดท้ายแล้วการที่ตัวตลกถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายอาจเกิดมาจากตัวอย่างที่เราเห็นกันมาตั้งแต่อดีต ผสมกับสื่อต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันที่ให้ข้อมูลในเชิงลบมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตัวตลกทุกคนไม่ใช่ฆาตกรและพวกเขายังสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อีกมาก ยกตัวอย่างเช่น Hospital clowning หรือการใช้ตัวตลกในการบรรเทาทุกข์ผู้ป่วย โรงพยาบาลในนิวเดลี มีกลุ่มคนที่เรียกว่า
Clownsellor (มาจาก Clown + counsellor = ตัวตลกผู้ให้คำปรึกษา) มาช่วยผ่อนคลายบรรยากาศในโรงพยาบาลและช่วยให้เด็กที่เจ็บป่วยมีรอยยิ้ม นอกจากนี้เมื่อปี 2016 ในขณะที่มีเหตุการณ์ Clown Sightings ยังมีคนออกมารณรงค์ "Clown Lives Matter" เพื่อให้คนเลิกมองภาพตัวตลกเป็นฆาตกร พวกเขาตั้งใจจะเดินขบวนรณรงค์เมื่อปลายปีที่แล้วแต่น่าเสียดายที่ต้องเลิกล้มไปเพราะมีการขู่ทำร้าย
ความโหดร้ายกลายเป็น stigmata ที่ติดแน่นกับคำว่า "ตัวตลก" และคงไม่หายไปง่าย ๆ เชื่อว่าหลายคนอาจทำใจลำบากที่จะเห็นตัวตลกแล้วเกิดความเชื่อใจ 100% แต่อย่าลืมว่าตัวเราเองก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ทุกอย่างมีสองด้าน(หรือมากกว่า)เสมอ เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินด้วยอคติหรือยึดติดกับด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมากๆๆๆเลยนะคะ
หวังว่าจะได้ประโยชน์และตอบคำถามได้บ้างนะ
ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมหรือสงสัยก็ทักมาได้เลยค่ะ
___________________________________
อ้างอิง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in