“ข้าว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ถูก” เสียงของข้าออกแววกังวล แต่ท่านพี่ทาซารีอายังยิ้มมั่นอกมั่นใจ เสื้อผ้าของนางเหมือนกันกับของข้าราวกับแกะ “คนจะรู้แต่วินาทีแรกว่าท่านคือตัวจริง”
“ก็ให้พวกเขาเดาหน่อยจะเป็นอะไรไป” นางว่าพลางขยิบตาให้ข้า “บางทีเนื้อคู่ของเจ้าอาจเห็นว่าเจ้าเป็นตัวจริงของเขาอย่างในเรื่องรักจับใจที่ข้าได้ฟัง” ประโยคของนางทำข้ากังวลกว่าที่เคย มือไม้อยู่ไม่สุขจนต้องจับผ้ากระโปรงไว้ให้อยู่นิ่ง จากนั้นจึงนึกถึงมันเพื่อหนีความคิดเรื่องอื่น และจำได้ว่ามันทำจากผ้าเนื้อดีจากแดนใต้
เป็นอย่างที่ข้าคิด ชื่อเสียงของท่านพี่ทาซารีอาดังไปไกลถึงเมืองไหน ๆ คนมากมายถึงได้มารอดู ข้าประหม่าเมื่อต้องเหยียบขึ้นไปบนพื้นไม้ยกสูงแต่นางก็เพียงหันมามองข้า ยิ้มให้ทีหนึ่งแล้วบอกว่าข้าทำได้
“คนไหนคือทาซารีอา”
ชายคนหนึ่งที่มามุงดูตะโกนถามขึ้นมา ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนคนอื่นที่กำลังนึกสงสัย ดูเหมือนว่าอามาร์ – คนในคณะที่ทำหน้าที่เล่นดนตรีก็นึกสนุกเอากับท่านพี่ด้วย เขาตะโกน ก่อนหัวเราะเสียงดังก้อง “สิ่งใดเป็นปริศนาย่อมน่าสนุก ทาซารีอาอยากให้พวกท่านทาย” เขาเริ่มเปิดวงพนันย่อม ๆ ทำเอาบรรยากาศคึกคักขึ้นด้วยเสียงพูดคุย
ข้าตั้งท่า พยายามจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในที่ว่างเปล่า เสียงเครื่องให้จังหวะทำจากโลหะในมือของข้ากับนางดังขึ้นพร้อมกันทีหนึ่งก่อนที่ข้าจะเริ่มขยับมือและเท้า ดนตรีดังเป็นจังหวะสนุกสนาน ความประหม่าเริ่มจางเมื่อข้าได้จดจ่อกับดนตรี ข้าไม่ได้สบตาใคร เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ข้าวาดข้อมือ นึกในใจว่ากำลังเสกดวงดาว ขยับตัวไปตามเสียงเพลงด้วยปลายเท้า ชายกระโปรงพลิ้วไปมาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้า แดงเหมือนเปลวเพลิงบนเทียนไขที่กำลังลุกไหม้
ทุกอย่างเหมือนจะไปด้วยดี จนกระทั่งข้าสะบัดผ้าเตะขาไปด้านหลัง ข้อเท้าพันกับชายกระโปรงจนข้าต้องฝืนตัวไม่ให้ล้ม แต่ข้าก็อดทนจนแสดงจบ ความเจ็บเริ่มลามขึ้นมาจากข้อเท้าที่แพลง แต่ข้าก็ยังยิ้ม วาดมือจับชายกระโปรงแล้วยอบตัวลงรับเสียงปรบมือ
เสร็จจากเรื่องสนุกของท่านพี่ทาซารีอา ข้าได้แต่มานั่งนวดข้อเท้าที่แพลงบนลังไม้ที่ตั้งอยู่ในมุมที่พอจะมีที่ให้ข้าหายใจหายคอ ข้าแกะกำไลข้อเท้าออก รวมทั้งเครื่องประดับทั้งหลาย พวกเด็กน้อยที่ได้เงินจากเจ้าของคณะคนละสิบเหรียญทองแดงวิ่งกลับมาพร้อมขนมหอบใหญ่
“พวกเจ้าเตรียมเสบียงไว้สำหรับอีกสามเมืองข้างหน้าหรือ” ข้าทักพร้อมเสียงหัวเราะ ยายหนูน้อยคนหนึ่งยื่นลูกกวาดให้ข้าเหมือนสินบน บอกข้าว่าอยากฟังนิทาน สักพักเด็กสองสามคนก็เอาบ้าง จนบนตักข้ามีขนมทำด้วยน้ำตาลสักห้าหกสีเห็นจะได้
“ท่านพี่เต้นรำสวย หากไม่ตัวเล็กกว่าข้าก็ว่าเหมือนท่านพี่ทาซารีอา” ข้าดูจะโตช้า ใช้เวลาสักสองสามปีถึงจะสูงขึ้นสักหน่อยหนึ่ง ท่านเจ้าของคณะว่าเป็นเพราะเลือดครึ่งหนึ่งของข้ามาจากผู้ใช้เวท
“ที่มายอข้านี่อยากได้อะไร” ข้าส่ายหัวกับความช่างพูด ตอนข้าแสดงไม่ทันเห็นว่าเจ้าพวกเด็กน้อยอยู่ด้วยหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าคงแค่ยกยอปอปั้น ข้ารวบตัวคนที่ช่างพูดที่สุดอย่างเพตราขึ้นมาไว้บนตัก นางว่านางอยากฟังนิทาน และคงจะดีหากเด็กในเมืองนี้ได้ฟังเรื่องสนุกที่ข้าเล่า -- ข้ายอมตกปากรับคำ เพราะข้อเท้าข้าเจ็บอย่างนี้คงให้ลุกไปทำอะไรไม่ไหว ตอนเข้าเมืองข้าเห็นคนเปิดวงเล่าเรื่องประหลาดจากต่างแดนเพื่อแลกกับเงินอยู่บ้าง มันคงดีกว่าที่ข้าจะนั่งอยู่เฉย
เหรียญทองแดงถูกโปรยใส่ผ้าที่ข้าปูไว้เบื้องหน้า พวกเด็กชาวบ้านในเมืองบ้างนั่งบ้างยืน ตั้งอกตั้งใจฟัง ข้าเห็นพวกเขาสนุกข้าเองก็สนุกไปด้วย มือของข้าขยับสร้างภาพมายา เป็นสัตว์วิเศษทั้งหลาย มังกรไฟ หงส์ฟ้า และสิ่งอื่นที่ข้าพอจะนึกออก
ทันใดนั้นเสียงจ้อกแจ้กของพวกเด็กที่ล้อมวงเล่านิทานของข้าก็เงียบลง ข้าเงยหน้าจากภาพมายาที่กำลังสร้าง เห็นเหรียญทองถูกโปรยลงบนผ้า ข้านับได้สักสิบเห็นจะได้ จากนั้นจึงเห็นเจ้าของเงินจำนวนมากเท่าเงินที่ใช้ซื้อชีวิตข้า เด็กคนหนึ่งแต่งกายเหมือนลูกผู้ดียืนกอดอกอยู่ตรงหน้า ข้างตัวมีชายหนุ่มผมน้ำตาลยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ
ยายเด็กน้อยเพตราเริ่มสะกิดข้า ปากก็เถียงไปด้วย “อย่ามาว่าท่านพี่ข้านะ ท่านพี่มีเรื่องเล่าร้อยพันที่เด็กอย่างเจ้ายังไม่เคยฟัง...” ข้าทำเสียงปรามเบา ๆ ที่พอได้ยินกันสองคน ขณะนึกหาทางเจรจา
“นายท่านน้อย...เงินจำนวนนั้นมากไปสำหรับเรื่องเล่าของข้า” ข้าว่า มองท่าทีหยิ่งยโสเกินวัยแล้วก็นึกสงสัย เขาคงถูกเลี้ยงดูเข้มงวดนักหนา “ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง เก็บเหรียญทองของท่านไปเถิด” ดวงตาสีน้ำเงินยังจ้องข้าอย่างดื้อรั้น บอกข้าว่าไม่รับคืน ข้าส่งสายตาให้ชายที่มากับเขาซึ่งคงเป็นพี่ชายหรือญาติ ตั้งใจจะบอกให้เขาเก็บคืน แต่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็ยังเฉย
“เจ้าเล่ามา ไม่เอาเจ้าหญิงรักเจ้าชายท่าทางไม่ได้เรื่อง น่าเบื่อ” เด็กน้อยผู้ดีเบะปากเริ่มทำท่าหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ ข้ากลัวเหลือเกินว่าเขาจะร้องไห้ มือของข้าจึงเริ่มสร้างปราสาท ขณะในใจนึกว่าจะเล่าอย่างไรดี
“ครั้งหนึ่งพ่อมดทรงอำนาจทำข้อต่อรองแลกตัวเจ้าหญิงมาเลี้ยงไว้ เจตนาแรกเป็นเจตนาร้าย เขาคิดจะใช้ชีวิตเจ้าหญิงต่อรองแลกอำนาจกับกษัตริย์ ชาวบ้านต่างรู้ว่าเขารักเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์มากกว่าสิ่งใด...”
ข้ากลืนน้ำลาย กลัวเขาร้องไห้จ้าขึ้นมาจริง ๆ เจ้าของเงินสิบเหรียญทองยังคงนิ่วหน้า ในขณะที่ชายผมน้ำตาลทำท่ากลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิง เด็กคนนี้ชอบให้พ่อมดนั้นดี มีอำนาจ และที่สำคัญต้องรูปงาม”
“แต่กระนั้นเขาก็มีความรักต่อสิ่งอื่น เขาเลี้ยงเจ้าหญิงขึ้นมาอย่างดี ไม่เคยกักขังหรือทำร้าย” พ่อมดท่าทางสง่ายืนท่ามกลางปราสาทของเขา ข้าตั้งใจใส่รายละเอียดให้เขาพอใจ “แต่วันหนึ่งเจ้าหญิงคิดหนีกลับไปอย่างที่ที่ตนจากมาตั้งแต่เป็นทารก เพราะได้แอบฟังความจริง พ่อมดรู้...อาจด้วยความผูกพัน หรือเจตนาที่เจ้าหญิงไม่อาจรู้ได้ เขาจับนางขังไว้บนหอคอย ไม่ปล่อยให้หนี ในทีแรกเจ้าหญิงโกรธและเสียใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่ได้เข้าใจเนื้อในของกันและกัน เจ้าหญิงรู้ว่าพ่อมดไม่ได้ร้ายและตกหลุมรัก...” ข้าเล่าถึงตรงนี้แล้วก็หยุดพัก เหลือบสายตามองเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าข้า ใบหน้าของเขานิ่งสงบอย่างประหลาด
“แต่เจ้าหญิงก็ยังหนีเพราะคิดถึงบ้านเกิดของตน โชคร้ายที่นางโดนจับเพราะถูกคิดว่าเป็นแม่มด ในยามนั้นในใจนางคิดว่าคงต้องตาย แต่พ่อมดช่วยนางไว้ เขาสวมมงกุฎคืนให้นาง เจ้าหญิงรักเขาและไม่เคยแต่งงานกับเจ้าชายเมืองใด เลือกอยู่กับเขาจนตราบสิ้นอายุขัย และเป็นพ่อมดที่ฝังนางกลับสู่ดิน...”
ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงอยากร้องไห้ บางทีอาจเพราะใจนึกได้ว่าพ่อมดมีอายุยาวนาน และอดรู้สึกขมขื่นแทนไม่ได้ พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล ทั้งที่เป็นเรื่องที่ข้าปั้นแต่งขึ้นมาเอง แต่มันไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขอย่างที่ข้ามักเล่า
ข้ามองหน้าเด็กน้อยผู้เอ่ยคำขอ ปากบอกว่านี่คือเรื่องเล่าสุดท้าย จากนั้นเก็บข้าวของของตน คืนเหรียญทองใส่มือของเขา รีบปลีกด้วยมาไม่ให้อีกฝ่ายทันคัดค้าน
ดวงตาของข้าเกลื่อนน้ำตาอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เด็กน้อยเพตราเพียงแต่จับมือของข้า ช่วยพยุงให้ข้าเดิน ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นดูกังวล จากนั้นจึงถามข้า “ท่านพี่ทำไมร้องไห้...”
“ข้าไม่รู้หรอกเพตรา บางทีเรื่องทุกเรื่องไม่จบด้วยความสุข และมันทำให้ข้าเศร้าเท่านั้นเอง”
5
ข้าไม่รู้ว่าจะได้เจอกับเด็กน้อยคนนั้นอีก
ท่านหัวหน้าคณะว่าเด็กผู้ดีคนนั้นต่อรองด้วยเงินยี่สิบเหรียญทองแลกกับอิสระที่จะจากบ้านอันร่ำรวยแต่ไร้ซึ่งความสุข ข้านึกไม่ออกว่าเด็กที่เคยชินกับความสุขสบายจะมาอยู่กับพวกข้าได้อย่างไร แต่เขาก็ยอมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอย่างธรรมดาเหมือนเด็กคนอื่น
เขาเข้ากับคนวัยเดียวกันไม่ได้เพราะเพตราฝังใจว่าเด็กร่ำรวยทำให้ท่านพี่ของนางร้องไห้ จึงบอกเพื่อนไม่ให้ไปเล่นด้วย ข้าปรามยายเด็กตัวน้อยที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของข้าช้าไป พวกเด็กในคณะจึงพากันเมินเฉยกับสมาชิกใหม่ ไม่แม้แต่จะยอมแบ่งขนมให้กิน
วันหนึ่งเขาวิ่งมาหาข้า บนหน้าผากมีรอยบวมช้ำเท่าลูกมะนาว ฟ้องข้าว่าถูกกลั่นแกล้งรังแก ข้าเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ เรียกเด็กทั้งหลายให้มาหาข้า หาคนที่เป็นต้นเหตุ
“แล้วเจ้าต้องปาหินใส่เขาหรือ” ข้าว่า ลูบเส้นผมสีทองของเด็กน้อยที่นั่งบนอยู่บนตักข้า เขาไม่ได้สะอึกสะอื้นเพียงแต่นั่งเงียบ ๆ ให้ข้าปลอบโยน ข้ารู้สึกว่าเขานั่งหลังตรงกว่าปกติแถมยังคิ้วขมวดมุ่น “ถ้ามีคนทำอย่างนั้นกับเจ้าบ้าง เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
“ข้าก็เจ็บน่ะสิท่านพี่” ข้าแสร้งตีหน้าดุ ทำเสียงขึงขัง บอกเขาว่าเช่นนั้นก็อย่าได้ทำ พวกเด็กพากันเงียบ มีเพียงเพตราที่ยังส่งเสียง
“แต่เขาท้า ท้าว่าถ้าทำให้เขาเจ็บได้จะยอมเป็นลูกน้องข้า”
“นั่นมันไม่ดีนะเพตรา ข้าว่าข้าไม่เคยสอนให้เจ้าทำให้ใครด้อยกว่าด้วยกำลัง” ข้าถอนหายใจ งัดไม้ตายสุดท้ายที่มีออกมาใช้และหวังว่ามันจะได้ผล “ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมเป็นเพื่อนเขา ยังขยันแกล้งรังแกอยู่อย่างนี้ ข้าจะไม่เล่าอะไรให้ฟังอีกเลย”
เด็กหญิงตัวน้อยทำท่าไม่พอใจ ข้าทันได้ยินเสียงแผ่ว ๆ บอกว่าโดนยิ้มเยาะเย้ย แต่ก็คิดว่านางคงคิดไปเองเพราะอคติ ข้าได้แต่หวังว่าสักวันเด็กพวกนี้จะเป็นเพื่อนกันได้
กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ข้าหวังไม่เป็นจริง เด็กที่จ่ายเงินเพื่อแลกอิสระของตัวเองยังคงตามข้าแจ ท่านพี่ทาซารีอาหัวเราะเสียงดัง บอกว่าต่อไปจะไม่ดูไพ่ทำนายใด ๆ อีกก็เพราะข้า เอ่ยว่าดูเหมือนข้าจะได้ลูกชายมาไว้ดูแล ไม่ใช่คนรักอย่างที่นางเคยว่าไว้
ข้าคอยดูแลตอนที่เขาบอกว่านอนไม่ค่อยหลับ ข้าว่าเขาคงคิดถึงความสบายและความอบอุ่นจากพ่อแม่ของตน
โดยเฉพาะเรื่องของเจ้าหญิงกับพ่อมดที่เขาดูจะปักใจชอบนัก
ข้าไปขอยืมหมึกปากกากับกระดาษจากท่านหัวหน้าคณะมาให้ แต่เก้าอี้กับโต๊ะนั้นสูงเกินเด็กจะปีนขึ้นไหว ข้ากลั้นยิ้มขณะที่มองเขาพยายาม แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องละทิฐิมานะที่เกินเด็กแล้วให้ข้าอุ้มขึ้น ข้าแตะริมฝีปากกับแก้มเขาหนหนึ่งอย่างเอ็นดู เขาชะงักไป ก่อนก้มหน้าก้มตาคัดหนังสือ ปากบอกเสียงแข็ง
“ข้าโตแล้ว”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in