1
ข้าเกิดมาอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ
มนุษย์ข้าก็ไม่ใช่ มีอำนาจวิเศษก็เพียงน้อยนิด พ่อข้าทิ้งข้าไปตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก แม่ข้าบอกว่าเรื่องที่เขากลัวโดนจับเผากลางที่ชุมนุมชนเป็นข้ออ้าง และนางก็ดูจะชังลูกสาวอย่างข้านัก เพราะมันเป็นประจักษ์หลักฐานถึงความผิดในอดีตที่เลือกให้ความรักบังตาจนมืดบอด มองไม่เห็นไส้ในของพ่อข้าที่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทั้งลูกสาวที่เกิดมาไม่อาจเสกเงินและทองมากมายให้แม่มีกินเหลือใช้
ในเมืองเล็ก ๆ ข้าไม่อาจทำสิ่งใดอันเป็นประโยชน์นอกจากเป็นนักฝัน
ตอนอายุสิบปีแม่จึงขายข้าให้กับคณะละครเร่ที่ผ่านมา เพื่อแลกกับเงินสิบเหรียญทองที่ข้าเสกให้นางไม่ได้ แลกกับการที่ตัวประหลาดอย่างข้าจะได้พ้นไปจากชีวิตนาง ข้าเสียใจ แต่นั่นก็ไม่เลวร้ายเท่าเรื่องที่ข้าเกือบตายตอนเพิ่งแรกคลอด แม่เฒ่าว่าข้าเกิดมาอ่อนแอต้องรักษา ทว่าผลข้างเคียงของยาก็ทิ้งรอยคล้ายแผลเป็นใหญ่ไว้ที่หลัง บางครั้งเมื่อข้ามองมันในกระจก ข้าคิดว่ามันคล้ายปีกและสักวันมันจะพาข้าไปสู่ที่ที่ดี
ข้าโชคดีได้ที่เกิดมา ทว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกเลวร้ายกับข้านัก ข้าจึงได้แต่จินตนาการถึงสิ่งดีเป็นเครื่องปลอบประโลมใจว่าวันหนึ่งแล้วจะมีคนรักข้าเสียที
ในทีแรกข้าหวาดกลัวว่าผู้คนที่จะต้องไปอยู่ด้วยนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกเขาซื้อขายชีวิตง่ายดายด้วยเงินตรา ทว่าเหตุการณ์กลับดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก เหล่าคนในเสื้อผ้าหลากสีสดประดับตนด้วยเครื่องประดับแวววาวเรียกขานตัวเองว่ายิปซี พวกเขาไปหลากที่หลายถิ่นพร้อมกับระบำและเสียงเพลงที่เป็นเมล็ดพันธุ์เพาะความสุขให้งอกงาม
ท่านเจ้าของคณะบอกว่าคนส่วนใหญ่ในอาณัติล้วนคล้ายกับข้า เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ แต่เขามีดวงตาที่มองเห็นว่าคนทุกคนย่อมไม่ไร้ความสามารถจนไร้ค่า จึงแลกตัวเอามาด้วยเงินตราด้วยเจตนาอันดี ท่านเรียกขานเวทมนตร์ที่ตนมีว่ามายากล ทั้งที่เป็นสิ่งเดียวกัน...แต่มนุษย์จะไม่มองมันว่าน่ากลัวเมื่อมันให้ความบันเทิงแก่พวกของตน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนถามข้าว่าอยากได้อะไรและอยากทำสิ่งใด ข้าเพียงแต่ตอบไปว่าอยากใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้คุ้มค่า ไปให้ครบทุกดินแดน เจอเรื่องเล่าแปลกใหม่ที่มีคนเล่าขาน
พวกพี่สาวคนสวยพยายามสอนข้าให้เต้นรำ หากำไลข้อเท้าที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเมื่อยามย่างเหยียบมาสวมให้ข้า ในทีแรกข้าไม่รู้จะวางแขนและขาของตนไว้ในท่าใดให้สวยงามอย่างพวกเขา ใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าที่มือและเท้าอันเงอะงะของข้าจะพอทำอะไรได้ถูก แต่ข้าก็ยังไม่มีพรสวรรค์เท่าท่านพี่ทาซารีอา -- นางเป็นคนใจดีที่สุดที่ข้าเคยพบ และเป็นนักเต้นรำที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น พวกคนในเมืองหากได้ชมล้วนประทับใจฝีไม้ลายมือนางเวลาเคาะเครื่องดนตรี หากนางเป็นดาวบนฟ้า ก็คงสว่างกว่าดวงจันทร์ยามราตรี
ในเวลาว่างข้าชอบเล่านิทานให้พวกเด็กอายุน้อยกว่าข้าฟัง ใช้เวทมนตร์เล็กน้อยที่ตนพอมีสร้างภาพมายาเล็ก ๆ ให้ขยับเคลื่อนไหวดังใจข้านึก เก็บเอาเรื่องเล่าที่เคยได้ฟังมาผสมปนกันใหม่ และข้าก็ชอบรอยยิ้มที่ประดับใบหน้าพวกเขา หรือเสียงถกเถียงว่าอยากฟังเรื่องอะไรต่อเวลาที่เรื่องเล่าของข้าจบลง
คนแปลกหน้ากลายเป็นครอบครัวของข้า มีคนรักข้าอย่างที่ข้าเคยนึกฝัน
2
ระหว่างที่ขบวนแวะพักก่อนถึงเมืองข้างหน้า ท่านพี่ทาซารีอาบอกข้าว่าอยากลองวิชาที่ไปตื้อขอเรียนมาจากท่านเจ้าของคณะ เพราะนางเบื่อการเต้นรำเต็มที ข้ายิ้มขันกับถ้อยความในประโยคหลังเพราะไม่เชื่อเรื่องที่นางจะละจากสิ่งที่เหมือนพลังชีวิตของนาง พลางมองมืออันคล่องแคล่วจัดแจงปูผ้าลงบนผืนหญ้า จากนั้นเรียงไพ่จากสำรับเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ แล้วบอกให้ข้าเลือกมาเสียสิบใบ และมันจะทำนายอนาคตของข้า
ข้ามองไล่อย่างตั้งใจ ใช้เวลาไปนานกว่าจะได้ครบ “ข้าว่าข้าเลือกเท่านี้ล่ะ”
คนที่ข้านับถือเหมือนพี่สาวเปิดไพ่ทีละใบ กวาดตามองอย่างพินิศ มีวูบหนึ่งที่ดวงตาของนางพราวระยับเหมือนยามเมื่อได้รับผ้าสีสวยถูกใจ ก่อนชะโงกตัวข้ามมากระซิบบอกข้าด้วยท่าทีมีลับลมคมใน “เจ้าจะได้เจอคนรัก”
ข้าคลี่รอยยิ้มบาง ๆ บอกนางไปว่าข้าได้เจอแล้ว ที่นี่ก็มีคนรักคนเอ็นดูข้าไม่ใช่หรือ
“ไม่ ไม่ใช่เลยแม่สาวน้อยไร้เดียงสา ข้าหมายถึงคนรักแบบที่จะรักเจ้าในแบบที่ไม่ใช่ครอบครัว” ท่านพี่ทาซารีอาว่า หัวเราะคิกคัก เอ่ยประโยคที่ทำให้ใบหน้าข้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู มิหนำซ้ำยังต้องหลุบตา “คนที่จะเป็นคนจูบเจ้า เจ้ามีคนรักที่ติดตามเจ้ามาจากชีวิตก่อน”
“ข้าไม่เอาแล้ว ข้าว่าวิชาของท่านพี่อาจยังไม่เข้าที่เข้าทาง”
“เจ้าลบหลู่แม่หมอทาซารีอา” นางแสร้งลุกขึ้นทำท่าปั่นปึ่งออกสีหน้าท่าทางเสียเต็มที่ จนข้านึกว่าท่านพี่โกรธข้าจริง แต่แล้วริมฝีปากของนางกลับวาดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไพ่บอกข้าว่าอีกไม่นาน บางทีอาจเป็นงานเทศกาลใหญ่ในเมืองหน้า แล้วข้าจะรอดู”
ระหว่างทางใจข้าไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ประโยคที่ได้ยินยังดังวกวนอยู่ในหัว ข้าแกล้งหลับเสียเกือบตลอดทาง ซุกใบหน้าที่เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงไว้กับแขนที่ใช้รองศีรษะต่างหมอน เสียงหัวใจข้าเต้นดังกว่าปกติ จนกระทั่งพวกเด็กน้อยวิ่งมาเรียกข้าให้ไปเล่านิทาน -- พอได้ทำกิจวัตรปกติ ใจของข้าก็ดูสงบลง ลืมเรื่องนั้นไป
วันนั้นข้าไม่เอ่ยถึงความรักในเรื่องเล่าของข้า มีแต่ตำนานของกษัตริย์ที่รบชนะด้วยความกล้าหาญของตน พวกเด็กชายดูชอบใจเมื่อข้าเสกเรียกเอากองทัพเล็ก ๆ ขึ้นมาไว้ให้ดู อัศวินประดาบประลองกันบนหลังม้า ส่วนพวกเด็กหญิงดูอย่างไม่ตื่นเต้นตื่นตา และบอกให้ข้าเล่าเรื่องของเจ้าชายที่ตกหลุมรักเจ้าหญิงบ้าง เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าข้าก็ร้อนวูบแดงจัด ข้าบอกพวกเด็กน้อยว่าข้าเล่าต่อไม่ได้ พวกเขาพากันเข้าใจว่าข้าคงมีไข้ไม่สบาย พากันเป็นห่วงเป็นใยเสียจนข้ารู้สึกผิด เด็กคนหนึ่งบอกว่าจะรีบวิ่งไปตามท่านแม่เฒ่ามาให้ยา
“ข้าคงไม่ชินอากาศนอนตื่นหนึ่งก็คงหาย” ข้ากุเหตุผลขึ้นมาอ้าง ทั้งที่ฟังดูขัดกับความจริงไปบ้าง แต่เด็กก็ย่อมเป็นเด็ก พวกเขาเชื่ออย่างง่ายดายและยอมปล่อยให้ข้าอยู่ลำพัง
“ข้าว่าเป็นไข้รัก” ท่านพี่ทาซารีอาโผล่หน้ามา ทำเอาข้าสะดุ้งอย่างคนมีชนักติดหลัง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in