ร่องรอยการต่อสู้ที่ปรากฎอยู่บนร่างไร้วิญญาณของเชสเตอร์และสามารถมองเห็นได้จากภายนอกนั้นค่อย ๆ ถูกนายแพทย์หนุ่มเอ่ยระบุออกมาทีละจุดอย่างใจเย็น กระทั่งศพถูกสำรวจจนครบอย่างละเอียดทั่วทั้งร่าง การผ่าชำแหละจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ภาพของคมมีดผ่าตัดที่ค่อย ๆ กรีดลงบนเนื้อหนังของร่างบนเตียง ตั้งแต่หัวไหล่ด้านซ้ายและด้านขวา ไล่มาจรดกันที่กลางกระดูกสันอกถูกนำขึ้นมาฉายบนจอโทรทัศน์ ส่วนหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่สืบสวนที่เข้าร่วมการชันสูตรในครั้งนี้ และอีกส่วนนั้นก็เพื่อไม่ให้เกิดการยืนมุงล้อมรอบจนทำให้แสงไฟที่ควรจะตกลงบนเตียงนั้นถูกบดบัง
นายแพทย์หนุ่มใช้ปลายมีดผ่าตัดเลาะบริเวณแผ่นอกและลำคอของศพให้เปิดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อบริเวณลำคอที่มีสีเข้มขึ้นในบางตำแหน่งอย่างชัดเจน
"มีร่องรอยการถูกบีบรัดบริเวณลำคอ" เขาเอ่ยก่อนจะใช้มีดกรีดเปิดหลอดลมออกตามทางยาว "พบคราบเลือดบริเวณผนังหลอดลมจำนวนมาก มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการสำลักเลือดก่อนเสียชีวิต ไม่พบสิ่งแปลกปลอมติดค้างในหลอดลม"
เขาสาละวนอยู่กับการสำรวจบริเวณลำคอของศพอยู่พักใหญ่ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบรรยายถึงสิ่งที่พบเจอกลายเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุดภายในห้อง และเมื่อบริเวณลำคอถูกสำรวจจนเสร็จสิ้น นายแพทย์หนุ่มจึงเริ่มลงมีดผ่าตัดบนร่างกายของศพอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาก็กรีดลากตั้งแต่บริเวณกลางอก ผ่านแกนกลางลำตัวลงไปยังท้องน้อยจนทำให้รอยผ่าทั้งหมดบนร่างกายของศพนั้นดูเหมือนตัวอักษร Y
ภาพดังกล่าวทำให้แดนเนลรู้สึกผะอืดผะอม อาการคลื่นเหียนโถมเข้าเล่นงานเขาในทันทีเมื่อเนื้อบริเวณหน้าท้องถูกเปิดออกจนเผยให้เห็นซี่โครงและอวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ ทว่าสีหน้าของคนที่ทำการผ่าเปิดนั้นกลับเรียบนิ่ง นายแพทย์หนุ่มยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อโดยไม่สะทกสะท้านใด ๆ กับสิ่งที่เห็น
"ซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่เจ็ดมีรอยร้าว ซี่ที่หกหักเข้าทะลุปอดจนทำให้เกิดภาวะปอดทะลุและมีเลือดออกในช่องปอด คาดว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งสอดคล้องกับอาการสำลักเลือดและอาการเขียวคล้ำตามร่างกายของผู้ตาย"
"เป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากการต่อสู้"
เจ้าหน้าที่วินเซนต์เป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมาเมื่อได้ยินนายแพทย์หนุ่มระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิต และอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ
"เป็นไปได้ครับ การใช้เท้าเตะหรือกระทืบเข้าที่บริเวณซี่โครงอย่างแรงนั้นมีโอกาสทำให้ซี่โครงหักได้ ผมคาดว่าเขาน่าจะถูกกระทืบเข้าที่ซี่โครงจนมันหักทะลุปอด และมันก็ทำให้เขาตายด้วยภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน" เคลวินตอบ "เราพบเศษผิวหนังจำนวนไม่น้อยจากซอกเล็บของผู้ตาย ซึ่งอาจจะได้มาตอนที่เขากำลังต่อสู้อยู่กับฆาตกร และผมก็ได้ทำการส่งตรวจไปยังแผนกนิติวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้ว หวังว่าเมื่อผลดีเอ็นเอออกมาเราจะได้รู้กันว่าคนที่เขาสู้ด้วยนั้นเป็นใคร"
"อีกเรื่องหนึ่ง คุณพอจะระบุเวลาการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้ไหม ห้าทุ่มถึงตีสี่ที่คุณประมาณเอาไว้ในตอนแรกน่ะถือเป็นช่วงที่กว้างมากพอดูเลย"
"ตอนที่เราพบศพ กล้ามเนื้อของศพก็เริ่มแข็งตัวเต็มที่แล้ว ผมเลยประมาณเอาไว้ว่าเขาคงเสียชีวิตช่วงนั้น แต่จากการตรวจวัดอุณหภูมิของศพและการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกาย เราพอจะระบุได้ว่าเขาเสียชีวิตช่วงห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน แต่ถ้าจะให้ระบุเวลาที่แน่ชัดเลยนั้นคงยากหน่อย เพราะเมื่อคืนอากาศลดต่ำลงมาก และมันก็ช่วยยืดระยะเวลาการเน่าสลายของศพ รวมถึงทำให้อัตราการลดลงของอุณหภูมิร่างกายคลาดเคลื่อนไปด้วย"
ตามหลักแล้วการหาระยะเวลาการตายนั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตการตกเลือดของศพ การแข็งตัวของกล้ามเนื้อ การลดลงของอุณหภูมิร่างกาย อัตราการเน่าสลาย และวิธีอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้
การแข็งตัวของกล้ามเนื้อนั้นจะเริ่มต้นขึ้นประมาณสองถึงสี่ชั่วโมงหลังการตาย โดยจะค่อย ๆ แข็งตัวจากบริเวณกล้ามเนื้อที่มีการสั่นสะเทือนมากที่สุดอย่างบริเวณขากรรไกร ก่อนจะไล่ไปตามลำคอ นิ้วมือ ข้อต่อต่าง ๆ กระทั่งแข็งตัวเต็มที่ครบทั้งร่างกายเมื่อเสียชีวิตไปแล้วเจ็ดถึงสิบสองชั่วโมง และจะแข็งอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกสิบสองชั่วโมง ก่อนจะเข้าสู่ภาวะการอ่อนตัวของกล้ามเนื้อครั้งที่สอง ซึ่งลำดับของการอ่อนตัวนั้นก็จะเริ่มต้นขึ้นในตำแหน่งเดียวกันกับที่เริ่มแข็งตัวตามลำดับ
เช่นเดียวกันกับการลดลงของอุณหภูมิร่างกาย โดยปกติแล้วนั้นร่างกายของมนุษย์จะมีอุณหภูมิอยู่ที่สามสิบเจ็ดองศาเซลเซียส และจะคงอยู่อย่างนั้นไประยะเวลาหนึ่งภายหลังการเสียชีวิต ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงทุกหนึ่งองศาเซลเซียสในทุกชั่วโมง จนกว่าศพจะมีอุณหภูมิเท่ากันกับอุณหภูมิห้องหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทั้งหมดนั้นจะใช้เวลาสิบสองชั่วโมงโดยประมาณ
ทว่าอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเมื่อคืนนั้นอาจทำให้อัตราการลดลงของอุณหภูมิร่างกายเกิดเร็วมากขึ้น การจะให้ระบุเวลาการเสียชีวิตที่แน่ชัดจึงเป็นเรื่องยากพอสมควร
"ห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนงั้นเหรอ..." ครั้งนี้เป็นเจ้าหน้าที่โลแกนที่หลุดพึมพำออกมา เขาดูพึงพอใจกับช่วงเวลาที่ลดลงไปหลายชั่วโมงนั้นไม่น้อย "แล้วเป็นไปได้ไหมว่าการต่อสู้จะเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเสียชีวิต อย่างเช่น...สู้กันตั้งแต่ตอนสองหรือสามทุ่มจนเขาหมดสติ แล้วก็มาเสียชีวิตเอาตอนห้าทุ่ม อะไรประมาณนี้"
"เป็นไปได้เหมือนกัน แต่คงไม่ได้กินเวลานานหลายชั่วโมงขนาดนั้น" เคลวินเอ่ยก่อนจะชี้ไปยังบริเวณปอดที่มีกระดูกซี่โครงขนาดใหญ่หักทิ่มคาอยู่ "บาดแผลฉีกขาดที่ปอดเขามีขนาดใหญ่มาก ฝืนทนได้สักครึ่งชั่วโมงก็เต็มกลืนแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น ระยะเวลาการเกิดเหตุก็อยู่ที่สี่ทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืนใช่ไหมคุณหมอ?"
"ครับ คงอยู่ในช่วงนั้น"
ระยะเวลาการเกิดเหตุและการเสียชีวิตที่ถูกจำกัดขึ้นมาใหม่นั้นทำให้ความกังวลที่อยู่ภายในใจของเจย์เดนคลี่คลายหายไปจนหมดสิ้น เขาเผลอเหลือบมองไปยังร่างผอมโปร่งที่กำลังใช้มือของตนเกาะเข้ากับขอบของเคาน์เตอร์แน่นโดยไม่รู้ตัว
เพราะช่วงสี่ทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืนของคืนที่เกิดเหตุนั้นแดนเนลยังอยู่ที่เซฟเฮ้าส์และบนรถของซีไอเอ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวมีพยานยืนยันที่อยู่ให้หลายคน รวมถึงตัวเขาเองที่เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
นายแพทย์หนุ่มยังคงลงมือชันสูตรต่อแม้ว่าจะได้ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับสาเหตุการตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาทำการเก็บตัวอย่างชื้นเนื้อจากอวัยวะบริเวณต่าง ๆ เพื่อนำไปวิเคราะห์และเขียนรายงานบันทึกสาเหตุการตายที่แน่ชัด จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงนำอวัยวะที่ถูกผ่าชำแหละออกมาเหล่านั้นใส่กลับคืนเข้าไปในช่องท้องของศพและทำการเย็บปิดรอยผ่าทั้งหมดอย่างประณีต
ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นที่เจ้าหน้าที่สืบสวนเพิ่งได้รับมานั้นทำให้แนวทางในการหาตัวฆาตกรของพวกเขาแคบลง ทว่าก็ยังไม่แคบพอที่จะสามารถระบุตัวผู้กระทำได้ในทันทีทันใด และการสืบสวนยังคงต้องดำเนินต่อไป
"คุณไหวไหม? ผมว่าไปนั่งพักสักหน่อยเถอะ"
เจย์เดนเดินตรงไปหาร่างผอมโปร่งที่ดูไม่สู้ดีนักเมื่อการผ่าชันสูตรพลิกศพจบลง พลางยื่นก้านไม้พันสำลีชุบแอมโมเนียสปิริตที่ขอมาจากเคลวินไปให้ อีกฝ่ายรับก้านไม้นั้นไปถือก่อนจะเบ้หน้าลงเมื่อได้กลิ่นฉุนของไอระเหยจากยาที่ติดอยู่บนสำลีปลายก้าน
"ผมจะไม่ไหวก็เพราะไอ้นี่น่ะแหละ"
อีกฝ่ายบ่นอุบอิบออกมา แต่กระนั้นก็ไม่ยอมโยนไอ้นี่ที่อยู่ในมือของตนทิ้งไป ต้องยอมรับว่าแม้กลิ่นของมันนั้นจะไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไหร่ ทว่ามันก็สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นเหียนที่เกิดกับเขาให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คนฟังลอบอมยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินขณะช่วยพยุงคนที่ดูคล้ายจะหมดแรงให้เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องชันสูตร ในใจรู้สึกนับถือคนในอ้อมแขนขึ้นมาอีกระดับหนึ่งที่ไม่ยอมหลับตาหนีไปเสีย แม้ว่าภาพที่เห็นเหล่านั้นจะชวนให้สะอิดสะเอียนมากแค่ไหนก็ตาม เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากในการทนดูขั้นตอนเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองที่เคยเข้าร่วมการชันสูตรพลิกศพแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนั้นก็ยังไม่เคยรู้สึกคุ้นชินเสียที
"แต่คุณก็เก่งมากเลยนะที่อดทนได้และไม่อาเจียนออกมาเสียก่อน"
"นี่คุณกำลังตบหัวแล้วลูบหลังผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย ไอ้แบบที่ว่าบังคับให้ผมต้องทนอยู่ดูแล้วก็มาพูดชมผมในตอนท้ายอะไรแบบนี้"
"คุณนี่นะ" เจย์เดนถึงกับหลุดหัวเราะออกมา "ผมก็แค่พูดไปตามเรื่อง ไม่ได้จะตบหัวแล้วลูบหลังหรืออะไรเสียหน่อย"
"ถ้าอย่างนั้นคุณเองก็เก่งเหมือนกันที่ทนดูไหว แถมยังไปยืนดูใกล้กับเตียงผ่าอีก เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เองก็เก่ง แต่คนที่เก่งที่สุดดูจะเป็นคุณหมอเฉียนคนนั้น" แดนเนลว่า "คุณต้องเห็นเขาตอนกำลังยืนผ่าศพนั่นนะ เขาดูนิ่งสงบมากเลย"
"ก็นั่นเป็นงานของเขา เขาผ่านเรื่องอะไรแบบนี้มาเป็นสิบเป็นร้อยรอบแล้ว แต่สำหรับคุณที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกน่ะถือได้ว่าเก่งมากจริง ๆ"
"แล้วครั้งแรกที่คุณเข้าร่วมชันสูตรล่ะ คุณเป็นเหมือนผมหรือเปล่า?"
"แย่กว่าอีก ผมอดทนยืนดูได้ถึงตอนที่ผ่าเปิดลำคอเท่านั้นแหละ" เจย์เดนเอ่ยพลางนึกย้อนไปถึงตัวเองในอดีต "พอเริ่มเปิดหน้าท้องปุ้บก็พุ่งไปขย้อนของเก่าในท้องออกที่ถังขยะมุมห้องทันที ก็ว่าตัวเองเลือกมาอยู่แผนกอาชญากรรมไซเบอร์เพราะไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้แล้วนะ แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นอยู่ดี"
"ก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ งานของคุณมันข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เต็ม ๆ เลยนี่ อาชญากรรม การฆาตกรรมอะไรแบบนี้"
"นั่นสิ ก็เลยต้องพยายามปรับตัวอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้ผมมีการพัฒนาและสามารถอดทนยืนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วนะคุณ"
ในครั้งนี้เป็นแดนเนลที่หลุดหัวเราะกว้างเสียจนตาปิดออกมาบ้าง ความรู้สึกชวนให้สบายใจในสถานการณ์ประหลาดแบบนี้อาจจะเป็นอะไรที่แปลก ทว่ามันก็ไม่ได้แย่นักสำหรับเขา และทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณความมีอัธยาศัยไมตรีของเจย์เดนที่ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดมากจนเกินไป แม้ว่าพวกเขาสองคนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม ราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จังหวะในการกระชับและผ่อนอารมณ์ของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายนั้นมักจะทำให้เขาต้องหงุดหงิดด้วยความเถรตรงและการยึดถือกรอบของเจ้าตัว ทว่าในไม่กี่นาทีถัดมาก็ยอมรับฟังความเห็นของเขาและยอมโอนอ่อนให้ มันทำให้เขารู้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนที่ชัดเจนและมั่นคง แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็อ่อนโยนและใส่ใจผู้อื่นด้วยเช่นกัน
เจย์เดนอาจจะไม่รู้ แต่การที่เขาได้มาทำงานร่วมกับอีกฝ่ายนั้นถือเป็นเรื่องดี ๆ อันน้อยนิดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
เสียงหัวเราะเมื่อครู่ของแดนเนลนั้นยังคงติดอยู่ในความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่ม ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เขาเดินเข้าไปพูดคุยกับโลแกนและวินเซนต์เกี่ยวกับรูปคดี เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นเหมาะกับเสียงหัวเราะสดใสมากจริง ๆ และเขาก็สลัดความรู้สึกดีใจลึก ๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะนั้นออกไปไม่ได้
"เรื่องผลดีเอ็นเอที่อยู่ในซอกเล็บนั่นน่าจะต้องรอสักสองสามวัน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นของเหยื่อเองไหม และถ้าไม่ใช่ก็ไม่รู้อีกว่าเราจะมีข้อมูลของดีเอ็นเอนั่นอยู่ในฐานข้อมูลอาชญากรของเราหรือเปล่า"
โลแกนเอ่ยเปิดประเด็นสนทนาขึ้น ฐานข้อมูลอาชญากรที่เขาพูดถึงนั้นคือระบบฐานข้อมูลที่ใช้เก็บทะเบียนประวัติของอาชญากรในสหรัฐอเมริกาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งที่ยังรับโทษอยู่และพ้นโทษแล้ว โดยจะมีข้อมูลที่จำเป็นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สืบสวน ไม่ว่าจะเป็นประวัติส่วนตัวอย่างชื่อหรือนามสกุล ที่อยู่ ลายพิมพ์นิ้วมือ ข้อมูลดีเอ็นเอ ไปจนถึงประวัติอาชญากรที่เจ้าตัวเคยกระทำผิดไว้ทั้งหมด
"ผมกับโลแกนกำลังจะเริ่มทำการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย" วินเซนต์ว่า "คุณอยากไปด้วยไหม?"
การสอบปากคำในความหมายของเขานั้นคือสืบหาชื่อและที่อยู่ของบรรดาคนใกล้ตัวผู้ตาย จากนั้นจึงเริ่มเดินไปเคาะตามประตูบ้านหรือที่ทำงานเพื่อสอบถามข้อมูลต่าง ๆ
สิ่งที่พวกเขากำลังทำคือการตามหาเฟืองชิ้นที่พอเหมาะพอดี
และไม่ว่าจะเป็นการชันสูตรพลิกศพ การตรวจสอบพยานวัตถุด้วยวิธีการทางนิติวิทยาศาตร์ ไปจนถึงการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเฟืองชิ้นสำคัญในใช้การตามหาตัวคนร้าย
"ไม่ดีกว่า" ทว่าเจย์เดนกลับเลือกที่จะปฏิเสธ "เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมไปเกะกะพวกคุณเสียเปล่า ๆ อีกอย่างผมต้องพาเพื่อนร่วมงานของผมกลับไปส่งด้วย เขามีงานที่ต้องทำค้างอยู่เป็นกองแต่ผมก็ยังจะลากเขามาที่นี่"
"เขาเพิ่งเคยเข้าร่วมการผ่าชันสูตรเป็นครั้งแรกใช่ไหม?" วินเซนต์เอ่ยพลางเหลือบมองไปยังร่างผอมโปร่งที่กำลังเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีหมดเรี่ยวแรง พลางใช้มือแกว่งปลายก้านสำลีไปมาบริเวณปลายจมูก สีหน้าของเจ้าตัวดูดีขึ้นกว่าในตอนแรกที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องชันสูตร "ผมได้ยินนะตอนที่เขาขอคุณออกไปข้างนอกแต่คุณไม่ยอมน่ะ ทั้งที่จริงเขามีสิทธิ์จะออกไป คุณนี่ใจร้ายชะมัด"
"คุณไม่รู้หรอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างหากปล่อยให้เขาคลาดสายตาน่ะ" เจย์เดนเอ่ย "อีกอย่างผมอยากให้เขาได้ดูด้วยตัวเอง เพราะมันน่าจะดีกว่าการให้ผมหรือพวกคุณมาบรรยายให้ฟังตอนหลัง บางทีอาจจะมีจุดที่เราพลาดไปแต่เขาไม่พลาดก็ได้นะ"
"มันก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นใจเขาอยู่ดี" วินเซนต์ยิ้มขัน "เอาเป็นว่าหากเรามีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวจะโทรแจ้งไปนะ คุณมีเบอร์โทรศัพท์ผมแล้วใช่ไหม?"
"มีแล้ว ได้มาจากเทย์เลอร์นั่นแหละ" เขาเอ่ย "ยังไงก็ขอรบกวนด้วยนะ"
"ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่พวกผมอยู่แล้ว"
[tbc.]
***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***
________________________________________
ทรมานคุณกระต่ายแล้วก็ต้องรีบพาเขากลับไปพักนะเจย์เดน
ฮือเอ็นดูคนหมดสภาพ อยากยื่นยาดมไปให้ลูก
แต่ในเมกาไม่น่าจะมียาดม เลยส่งแอมโมเนียหอมไปแทน
หรือบางทีคนที่ทรมานแดนเนลอาจไม่ใช่เจย์เดนแต่เป็นเราเอง...
ฮือ แม่ขอโทษนะลูกจ๋าที่ต้องให้หนูดมของทรมานจมูกแบบนั้น
แม่ขอโทษ TT^TT
ไว้เจอตอนหน้านะคะทุกคน วันนี้ขอตัวไปสำนึกผิดก่อนค่ะ
#ฟิควรบจด
how to comment ใน minimore
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
ตอนบรรยายแดนเนลหัวเราะ พูดคุยกับเจย์เดน กับเล่าความรู้สึก เราใจฟูเลยค่ะ เอ็นดูลูกรัก ความสัมพันธ์อิงแจโดมาก แต่เจย์เดนกับแดนเนลก็ยังมีชีวิตกับจิตวิญญาณเป็นของตัวเองในจักรวาลวรบ ชอบความบาลานซ์นี้
ชื่นชมความตั้งใจของไรท์ในการหาข้อมูลเสมอนะคะ ฉากผ่าเชสเตอร์กับสันนิษฐานต่างๆ ละเอียดมาก โดยเฉพาะการผ่าศพซึ่งเป็นเรื่องที่เราแทบไม่รู้เลย เราก็อ่านได้อย่างไหลลื่น
เจย์เดนจะช่วยแดนเนลผ่อนคลายมั้ยน้า รอลุ้น