ปาฏิหาริย์ด้ายแดงแห่งหว่องไทซิน
เคยอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวของด้ายแดง ตามความเชื่อบอกไว้ว่า เราทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับด้ายสีแดงที่มองไม่เห็น ผูกติดกับนิ้วก้อย ความยาวเท่ากับสองรอบโลกโดยประมาณ โยงเชื่อมกับนิ้วก้อยของใครอีกคนที่เป็นคู่ชีวิต หรือที่เราเรียกกันว่าเนื้อคู่ ด้ายแดงก็จะสั้นลงเรื่อย ๆ เพื่อให้คนทั้งคู่ได้มาเจอกัน เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่าบุพเพสันนิวาส แต่นั่นอาจเป็นเรื่องของความเชื่อ หากมองในมุมของพุทธศาสนา การที่คนสองคนได้มาพบกัน หมายถึงบุญพาวาสนาส่ง คือบุญกรรมที่เคยทำร่วมกันมา กรรมคือการกระทำ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิด
มีเพื่อนสาวที่รู้จักกันห่าง ๆ ถามว่า ไปฮ่องกงบ่อย ๆ ไม่ไปขอเนื้อคู่ที่วัดด้ายแดงเหรอ ว่ากันว่าเทพเจ้าที่นั่นท่านศักดิ์สิทธิ์นัก ใครที่เกาะคานแน่นเหนียว ก็กระโดดลงจากคาน วิ่งสี่คูณร้อยเข้าสู่ประตูวิวาห์หน้าตาเฉย ยอมรับว่าฟังครั้งแรกยังแอบขำ มีความจำเป็นแค่ไหนกับการที่ชีวิตต้องไปอ้อนวอนขอเทพเจ้าให้ส่งใครอีกคนมายืนข้าง ๆ รักใครชอบใครก็ไปบอกเขาสิคะ โอกาสสมหวังอาจมีมากกว่า แต่มนุษย์เราก็แบบนี้ มักปล่อยให้ความงมงายอยู่เหนือศรัทธาจนขาดปัญญา
แต่ไหน ๆ ก็มาถึงฮ่องกงแล้ว คนมีปัญญาขอไปแวะเช็คอินให้พอมีรูปลงโซเชียลหน่อยก็ได้ มาดูกันว่าคนที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน และไม่เคยยึดความรักเป็นสรณะในชีวิต จะสมหวังกับคำอธิษฐานเหมือนชาวบ้านเขาไหม นี่ท้าทายเทพเจ้าเลยนะ ประโยคที่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ดังก้องในหัววนไปยังไงไม่รู้แฮะ ภารกิจครั้งนี้จึงมีน้องชายเป็นผู้ร่วมขบวนการพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าเพิ่งเชื่อ แต่ให้ใช้ปัญญาพิจารณา พิสูจน์จนเห็นแจ้งก่อนแล้วจึงเชื่อ
หลังจากนั่ง MTR สายสีเขียว มาลงสถานีหว่องไทซิน เดินออก Exit 3 มาก็เจอเลย ในที่สุดฉันก็มาหยุดยืนที่วัดด้ายแดงหรือวัดหวังต้าเซียน (Wong Tai shin) เดินถ่ายรูปจนพอใจ ก็มาถึงรูปปั้นเทพเจ้ายุคโหลว (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์หรือผู้เฒ่าแห่งจันทรา) ซึ่งชาวจีนนับถือท่านในฐานะเทพเจ้าแห่งความรัก ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อภรรยาของท่านเสียชีวิตลง ด้วยความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ท่านสวดมนต์ภาวนาขอทวยเทพจนได้ขึ้นไปอยู่ดวงจันทร์กับภรรยา ว่ากันว่าท่านเปรียบเสมือนคิวปิดแห่งเอเชียเลย มือข้างหนึ่งถือสมุดรายชื่อคู่รัก และจะคอยผูกด้ายแดงให้กับมนุษย์ที่เกิดมาคู่กัน
ฉันยืนทำความเข้าใจกับป้ายบอกวิธีขอพรอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ฟังน้องชายอธิบายแบบ step by step ในฐานะผู้มีประสบการณ์มาแล้ว ฉันยืนเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้ายุคโหลว ก็พบกับใบหน้าที่เปี่ยมเมตตาแบบอากงผู้อารี หากว่าท่านเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ไม่ใช่รูปปั้นเทพเจ้าที่เห็นตรงหน้า ท่านจะเป็นคนใจดีไหม มนุษย์เราไม่ได้มองท่านเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่มองว่าเป็นเทพ เทพที่มีอำนาจบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นจริงตามคำอธิษฐาน เทพที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์
ฉันพยายามเข้าใจในความศรัทธาของมนุษย์ด้วยกันเองมากขึ้น หากมนุษย์สามารถสมหวังได้ดังใจทุกอย่าง คงไม่ต้องหันมาพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในมือเทพเจ้ายุคโหลวนั้นมีด้ายแดงที่เชื่อมกับรูปปั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ฉันประสานมือและหยิบด้ายแดงมาทำตามวิธีบอกในป้าย โดยพยายามไม่ให้ด้ายหลุด อธิษฐานขอให้รักอย่างมีสติ และขอให้ได้พบเจอใครบางคนโดยที่ไม่หวังว่าสิ่งที่ขอนั้นจะได้หรือไม่ เอาน่ะ ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังแหละ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี ฉันก้าวเท้าเดินสวนกับผู้คนที่เดินทางมาเพื่อหวังพึ่งพิงสิ่งที่อยู่เหนือกว่า ในเมื่อมนุษย์ด้วยกันไม่มีใครตอบรับคำอธิษฐาน ที่พึ่งสุดท้ายของมนุษย์คือการเดินทางมาสักการะรูปปั้นที่เราเรียกว่าเทพเจ้า อธิษฐานขอพรให้สิ่งที่อยู่ในใจเป็นไปดังปรารถนา เทพเจ้าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าสิ่งที่เราขอนั้นจะสัมฤทธิ์ผลไหม หากไม่เป็นไปตามที่หวัง มนุษย์ก็ไม่ลังเลที่จะบอกว่า "ไม่เห็นศักดิ์สิทธิ์เลย" บางทีคนเราก็เป็นแบบนี้ วัดความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความสมหวังของตนเอง
การที่เราดูถูกความเชื่อของผู้อื่น ไม่ได้ทำให้เราดผุฉลาดและสูงส่งเลย อัตตาในตัวก็ไม่ได้ลดลง เกิดเป็นความอหังการ์ มมังการ์ ซึ่งน่ากลัวกว่าความงมงายหลายเท่านัก
อาทิตย์ถัดมา ฉันมีนัดกับพี่เสี่ยวลี่ พี่สาวคนสนิทชาวจีน-ฮ่องกงที่ร้านขนมแบรนด์ฝรั่งเศสในห้าง Time square ใกล้ ๆ กับอพาร์ตเมนต์ เล่าให้พี่ฟังว่าไปวัดหวังต้าเซียนมาเมื่ิอวันก่อน เธอทำตาโต รีบวางขนมที่กำลังจะตักใส่ปาก
“ท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะ พี่ได้พี่เขยเธอมาเป็นสามีก็เพราะไปขอที่นี่แหละ”
เธอทำหน้าจริงจังเมื่อเห็นสีหน้าฉันที่กลั้นขำ เหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาดามจางของเรายกชาขึ้นจิบนิ้วกรีดกรายเหมือนเคย ซึ่งเป็นท่าประจำตัวของเธอ ไม่ว่าจะยกเครื่องดื่มชนิดไหนขึ้นดื่ม องศาของนิ้วจะอยู่ในมุมที่พอดี นิ้วเรียงสวย ปลายนิ้วก้อยชี้นิด ๆ เธอเล่าเรื่องเลิฟสตอรีอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งฉันก็นั่งฟังอย่างขำ ๆ นางเอกเป็นลูกครึี่งฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ พระเอกเป็นหนุ่มฮ่องกง ทั้งสองไปพบรักกันที่อังกฤษ มารู้ทีหลังว่าพี่เสี่ยวลี่เกิดวันเดียวกับคุณแม่พี่เอ็ดเวิร์ดแถมหน้าดันไปคล้ายพี่สาวพี่เอ็ดเวิร์ดยิ่งกว่าพี่เอ็ดเวิร์ดเสียอย่างงั้น กรณีแบบนี้ก็อาจเป็นไปได้ ฉันเคยอ่านเจอว่าคนเรามักจะตกหลุมรักใครที่หน้าตาคล้ายกับเรา ในทางจิตวิทยาบอกว่าเราจะรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่นและปลอดภัย หรือเหมือนที่โบราณบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่หน้าจะคล้ายกัน เพราะอะไรโบราณไม่ได้พิสูจน์ จะว่าแปลกแต่ก็จริง
พี่เสี่ยวลี่เป็นคนที่จิบชาได้สวยมากคนหนึ่ง จังหวะที่นิ้วกรีดจับหูถ้วย จังหวะที่ปากแตะถ้วยชาเบา ๆ หรือแม้แต่กระทั่งเวลาที่วางถ้วยชาลงบนจานรอง ไม่มีเสียงดังแม้สักกริ๊ก เบาและนุ่มนวลราวกับวางถ้วยชาลงบนผืนผ้าไหมหนานุ่ม อิริยาบถสบาย ๆ ในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีสด คัตติงเนี้ยบ ทุกอย่างดูงดงามและเข้ากันไปหมด หลังจากจัดการมาการองไปแล้วสองชิ้น เธอหยิบขนมมาดแลนหรือมาเดอลีนเข้าปาก
“วันนี้พี่นัดรุ่นน้องคนเกาหลีไว้ เขาเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ พี่เล่าให้เขาฟังว่าเธอพูดเกาหลีได้ แล้วอะไรอีกรู้ไหม เขาแก่กว่าเธอสองปี”
ฉันส่ายหน้า จะบอกยังไงว่าที่ไปร่ำเรียนมา คืนซอนแซงนีมไปจนหมดแล้ว แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีนัดดูตัวโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวดัวย
“หรือจะคุยอังกฤษกับเขาก็ได้ เขามีดีกรีมาจากออสเตรเลีย”
พี่เสี่ยวลี่รู้ดีว่าสเปคของฉันคือชอบผู้ชายฉลาด ไทป์แบบคุณหมอ ทัศนคติต้องดี ภาษาอังกฤษต้องระดับฟลูเอนทลี ต่อให้หล่อลากดินขนาดไหน แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นี่คะแนนลดฮวบเลยนะคะ อาจเป็นเพราะตั้งมาตรฐานไว้แบบนี้ คนที่เข้ามาในชีวิตจึงมีแต่หนุ่มนักเรียนนอก แปลก ชอบแบบไหนก็ได้แบบนั้นจริง ๆ
“สิ่งที่เธอไปขอที่วัดหว่องไทซินมานี่แล้วไง”
ฉันพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่พี่เสี่ยวลี่พูด นึกถึงสิ่งที่เคยไปขอที่วัดหว่องไทซิน แน่ใจมาก ๆ ว่าฉันบอกชื่อศิลปินเกาหลีที่ฉันชื่นชอบกับเทพเจ้าไป โดยไม่ได้หวังว่าจะได้ด้วยซ้ำ
"ท่านคะ หนูขอพัคยูชอนนะคะ"
ขอด้วยความรู้สึกไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ขอในสิ่งที่คิดว่าไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้เลย ฉันบอกเธอไปว่าฉันขอดาราเกาหลีไปและภาษาเกาหลีของฉันก็อยู่ในระดับที่แย่มาก พี่เสี่ยวลี่ยักไหล่ ซึ่งเป็นท่าที่แสนเก๋และดูไม่ขัดตาเลยแม้แต่น้อย
"ดี" เธอบอกสั้น ๆ ก็ไม่รู้ว่าดีในความหมายของเธอคืออะไร อะไรก็ดีทั้งนั้น
ก่อนที่จะทันได้ถามหรืออธิบายอะไร โทรศัพท์มือถือของพี่เสี่ยวลี่ก็ดังขึ้น เธอพูดอะไรไม่กี่คำ แลัวอีกไม่กี่อึดใจคนปลายสายก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ร่างสูงนั้นดูเด่นมากกว่าใครทุกคนที่อยู่ในร้าน หน้าตาและการแต่งตัวบอกยี่ห้ออ้ปป้าคังนัมสไตล์มาเลย เชื่อแล้วว่าคนเกาหลีไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของโลก ก็ยังบอกยี่ห้อว่าเป็นคนเกาหลีอยู่นั่นเอง เธอคุยกับเขาเป็นภาษาจีนกวางตุ้งสองสามประโยค ก่อนจะหันมาแนะนำเป็นภาษาอังกฤษว่า
"นี่น้องสาวฉัน มาจากเมืองไทย"
เขาหันมาสบตา เราต่างก็มองกันนิ่งนานอยู่แบบนั้น ก่อนที่เขาจะก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย ประโยคแรกที่เขาพูดกับฉันคือ
“สวัสดีครับ” เป็นภาษาไทยแบบชัดถ้อยชัดคำ
โอ้โห ก็ สิบ สิบ สิบ ไปเลยสิคะ
บางครั้งคิวปิดก็อาจมาในรูปแบบของมนุษย์ผู้หญิงสวย ๆ ที่นั่งละเลียดขนม จิบชาอยู่ตรงหน้านี่ก็ได้ แต่น่าแปลกที่ร้อยวันพันปีคิวปิดสาวของเราไม่เคยทำงาน จะลุกมาแผลงศรอะไรในตอนนี้ เหมือนด้ายแดงที่มองไม่เห็นจะหดสั้นเข้ามาเรื่อย ๆ หลังจากที่ฉันไปวัดหวังต้าเซียนเพียงแค่อาทิตย์เดียว บุพเพก็อาละวาดทำให้คนสองคนที่ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา มาพบกันในดินแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน ได้มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน
นี่เป็นสิ่งที่ฉันยังงงและยังคงค้นหาคำตอบไม่ได้เลย จะไม่เชื่อ ผลที่ออกมาก็อยู่ตรงหน้า แถมยังจับต้องได้ ที่รู้คือถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่ มันไม่ได้ดูเท่เลยกับการไปดูถูกในสิ่งที่คนอื่นเชื่อและศรัทธา
หรือชาติก่อนคงไปขโมยกิมจิพี่คิมมาแน่ ๆ
ชาตินี้พี่เลยมาตามทวงคืนถึงฮ่องกงเลย
ขอพยช.ไป ได้คจย.มาเฉยเลย
หรือเทพเจ้าท่านคงจะบอกว่า
"อะ ๆ เอาไปก่อน นี่ก็เกาหลีเหมือนกัน"
จบการรีวิว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะซิส
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in