เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เล่าเรื่อยเปื่อยJINJENS
4.32

  • ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน พร้อมกวาดสายตาไปรอบห้อง มองหานาฬิกาดิจิตอลตัวจิ๋ว เพื่อตอบต่อสิ่งที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่า นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว..

    รู้สึกขอบคุณแสงไฟรำไรจากทางด้านนอกที่แยงเข้ามาปรากฎเป็นจุดสลัวๆ ประปรายในห้อง ซึ่งช่วยให้สายตาที่ทั้งสั้นและยาวในเวลาเดียวกันอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้ที่อายุล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้วอย่างฉัน ได้มองเห็นตัวเลขสีเขียวบนกล่องสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่เหนือจอโทรทัศน์ปลายตีนเตียง เจ้ากล่องนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ แต่ทว่ามันได้ปลดเกษียณลงกลายเป็นเพียงนาฬิกาดิจิตอลตัวจิ๋วไว้บอกเวลาเท่านั้น ซึ่งตัวเลขสีเขียวที่ฉายอยู่คือ 4.32 อืม...ตีสี่ครึ่งแล้วหรอตื่นก่อนเวลาที่ตั้งใจครึ่งชั่วโมง ก็ดีเหมือนกันจะได้มีเวลาแต่งตัวไปทำงานมากขึ้น..แต่เอ๊ะ  ทำงาน ทำงาน ทำงานหรอ นี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วเมื่อวานวันสุดท้ายของเดือนกันยา วันนี้ก็ต้องวันที่ 1 ตุลา 1ตุลาแล้วจะลุกไปทำงานอีกทำไมเนี่ย บ้าแล้ว ยิ่งแก่ยิ่งเลอะ  นึกได้เช่นนี้ก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เมื่อคืนได้พยามย้ำเตือนจนถึงขั้นตอกย้ำตัวเองว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานแล้วหมดวาระของตัวเองแล้ว ก็ไม่ได้จะเกิดผลขึ้นมาเลย จึงย้ำเตือนตัวเองอีกครั้งในตอนนี้ว่าใต้ชายคานี้ไม่ใช่แค่กล่องรับสัญญาโทรทัศน์เท่านั้นที่เกษียณอายุจากงานประจำแต่รวมถึงตัวฉันเองด้วย

    สิ่งที่ฉันสมควรทำมากที่สุดตอนนี้คือเข้าสู่ภาวะแห่งนิทราอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกดื่มด่ำในช่วงเวลาแห่งอิสรภาพด้วยหลุดจากบ่วงของการทำงานฉันบอกตัวเองว่า นี่คือความสุข น่ายินดีเหลือเกินที่ ไม่ต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวให้ดูดีสมเป็นพนักงานของรัฐ เข้างาน เผชิญคนที่ไม่เข้าท่า เผชิญงานที่จำเจกลับบ้าน และอาบน้ำนอน อันเป็นวงจรที่แสนน่าเบื่อ ได้แต่ขอบคุณ’ลูก’อยู่ในใจ โดยไม่อาจบอกกับเจ้าตัวได้เพราะเดี๋ยวลูกจะได้ใจเกินไปว่า ชีวิตอันซ้ำซากนี้ยังดีที่ยังมีลูกให้ดูแล เฝ้าดูเขาเติบโต การเติบโตของลูกคือความเปลี่ยนแปลงซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ชีวิตนี้ไม่น่าเบื่อมากเกินไปนัก คิดแล้วฉันก็หันศรีษะไปทางด้านขวา ยังตำแหน่งที่ลูกทิ้งตัวลงและยังคงแหวกว่ายในห้วงแห่งนิทราอยู่บนเตียงเดียวกันนี้  ฉันจ้องมองไปยังบริเวณทรวงอกที่กำลังกระเพื้อมเป็นจังหวะตามการหายใจเข้าออก ลมหายใจของลูกช่างดูสงบราวกับว่าชีวิตไม่มีความกังวลใดๆผิดกลับหัวใจของผู้เป็นแม่อย่างฉัน ที่แม้จะบอกตัวเองว่าเวลาแห่งการเกษียณอายุ คือเวลาแห่งความสุขและการพักผ่อนได้มาถึงแล้ว แต่หัวใจกับเต้นระส่ำเมื่อต้องนึกถึงอนาคตหลังจากนี้

    กว่า40ปีของอายุการทำงานที่ผ่านมา ฉันได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวหลายเรื่อง แต่ในหลายๆเรื่องนั้นกลับเป็นไปในรูปแบบเดิมๆ คือเรื่องของการไขว่คว้าผลประโยชน์ ผู้คนดีกันและทำลายกันก็เพื่อผลประโยชน์ เป็นที่แน่นอนว่ายิ่งได้ผลประโยชน์มากเท่าไหร่หลักเลขของรายรับในสมุดบัญชีของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ช่างเป็นภาพที่น่าขยะแขยงนัก   ถึงแม้คำว่าผลประโยชน์ไม่สามารถกำหนดการกระทำของฉัน ฉันยังคงทำงานไปในแบบที่ฉันคิดว่าถูกต้องที่สุจริตที่สุด แต่พอมาถึงวันนี้วันที่ฉันต้องหยุดการทำงานก็อดใจหายไม่ได้ที่รายรับของฉันจะลดน้อยลงไปเช่นกัน จากเคยรับเดือนละไม่ต่ำกว่า5หลัก ต้องเหลือเพียง4หลักอันเป็นดอกเบี้ยจากเงินต้นในธนาคารที่สู้อดออมไว้เมื่อครั้งยังมีรายได้ ส่วนลูกยังเรียนไม่จบ ถึงเรียนจบก็ใช่ว่าจะมีงานทำทันทีต่อไปในอนาคตเงินจะเฟ้อขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แล้วฉันควรทำอย่างไร.. แต่ละเดือนจะเอาชีวิตรอดอย่างไรในเมืองหลวงที่ข้าวของแพงขึ้นรวดเร็วอย่างไม่ทันตั้งตัว คิดไปแล้วก็เกิดอยากกลับไปสู่วงจรการทำงานที่น่าเบื่อนั้นอีกเพื่อให้มีรายได้เท่าดังเดิมแต่พอมาคิดถึงหมู่ชน ณ ที่แห่งนัั้น ก็เกิดความรู้สึกขยาดและขยะแขยง จนไม่อยากกลับไป  ซึ่งตอนนี้เริ่มสับสนแล้วว่าฉันควรรู้สึกอย่างไร ฉันควรยินดีหรือควรหวาดกลัว  

    ..และแล้วความรู้สึกทั้งสองมันก็ตีรวนไปหมดทั้งในสมองและในหัวใจของฉันเอง

    ฉันเพ่งไปยังนาฬิกาดิจิตอลตัวจิ๋วนั่นอีกครั้งตัวเลขสีเขียวฉายว่าขณะนี้เวลา 5.25 นี่เลยเวลาที่ฉันต้องตื่นเมื่อครั้งยังทำงาน แต่สำหรับครั้งนี้ที่ฉันหมดภาระจากการทำงานเวลานี้จึงมันเช้าเกินไป ดังนั้นฉันจึงทำสิ่งที่ฉันสมควรทำมากที่สุดตอนนี้คือเข้าสู่ภาวะแห่งนิทราอีกครั้ง เสียที

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in