Sakurai Sho/Matsumoto Jun
0.
อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนตุลาคม ตามทางเท้าเริ่มเต็มไปด้วยสีสันของเสื้อกันหนาวที่ผู้คนหยิบมาสวมให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย หัวข้อสนทนาที่ได้ยินผ่านหูไปก็เริ่มเกี่ยวกับแผนช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีซึ่งเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซากุไร โช ลอบมองคนข้างตัวประคองแก้วกระดาษบรรจุกาแฟร้อนขึ้นจิบ แววพึงพอใจปรากฏในหน่วยตาคมเมื่อเห็นหน้ากากอนามัยสีขาวเลื่อนลงไปตรงปลายคาง เผยริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อจรดกับขอบแก้ว ก่อนจะเบนสายตาไปรอบกายที่เต็มไปด้วยฝูงชนอีกครั้ง...ยกยิ้มบางกับตนเอง
เริ่มเปิดหน้าเดินดื่มกาแฟบนทางเท้าได้แบบนี้...นับเป็นสัญญาณที่ดีเลยทีเดียวว่าสภาพจิตใจของมัตสึโมโตะจุนใกล้จะกลับมาเป็นปกติแล้ว
แม้เพียงเล็กน้อยแต่สำหรับพวกเขาและเพื่อนร่วมงานในสำนักพิมพ์ก็ใจชื้นขึ้นมามาก เพราะย่อมดีกว่าชายหนุ่มรูปร่างผ่ายผอม ผิวซีดราวกระดาษ แววตาหวาดกลัว ซุกซ่อนใบหน้าอยู่หลังแว่นสายตาอันใหญ่และหน้ากากอนามัย ตัวเกร็งทุกครั้งที่ต้องพบปะผู้คนหรืออยู่ในสถานที่มีคนพลุกพล่านราวหนึ่งเดือนก่อน
กว่าหนึ่งเดือนเช่นกัน...ที่โชค่อยๆขยับเข้ามาใกล้จุน เริ่มต้นจากแวะไปร้านกาแฟของเพื่อนสนิทเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกคุ้นเคย จากนั้นอาสาเดินไปส่งหน้าอพาร์ทเมนต์ หาเรื่องให้ตนเองต้องแวะเวียนไปฝ่ายศิลปกรรมบ่อยๆ สักพักขอขับรถไปส่งยังที่พักตอนหลังเลิกงาน แวะร้านหนังสือระหว่างทางด้วยกันเป็นบางคราว จนกระทั่งตอนนี้อาศัยว่าอพาร์ทเมนต์ของคนที่เขาห่วงใยอยู่ระหว่างทางจากบ้านไปสำนักพิมพ์ ก็อาสาแวะรับและเดินทางไปทำงานพร้อมกัน
ด้วยสำนักพิมพ์ไม่มีที่จอดรถเขาจึงจอดตรงลานที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย แวะซื้อกาแฟจากร้านที่ต้องเดินผ่านทุกวันก่อนจะเดินเข้าไปในอาคารสำนักพิมพ์
ทั้งสองคนแยกกันในลิฟท์ จุนออกไปตรงชั้นสาม ส่วนเขาขึ้นต่อไปยังชั้นเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดสำหรับผู้บริหาร ยกยิ้มทักทายอิคุตะ โทมะ เพื่อนสนิทของคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อครู่
“ขึ้นมาแต่เช้าเลยนะอิคุตะซัง”
“มาเบิกค่าเดินทางน่ะครับซากุไรซัง ต้องมาแต่เช้า เดี๋ยวผมทำงานแล้วจะเพลินจนลืมทุกอย่าง” โทมะอธิบายกลั้วหัวเราะก่อนค้อมศีรษะลง
“ผมกับชุนว่าจะพูดนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสซักที...ขอบคุณมากนะครับซากุไรซัง ที่ดูแลจนเพื่อนผมดีขึ้นขนาดนี้”
“ผมเต็มใจครับ” โชยกยิ้มน้อยๆสบตาหนุ่มฝ่ายศิลป์ที่สบตาอย่างรู้กัน
“ผมเอาใจช่วยนะครับ ดีใจจริงๆที่เป็นซากุไรซัง อย่างน้อยผมก็วางใจได้ว่าเพื่อนผมจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก”
ที่ปรึกษาการตลาดประจำสำนักพิมพ์คลี่ยิ้มแทนคำขอบคุณ แย้มมุมปากกว้างขึ้นเมื่อชายหนุ่มผมสีแสบตาตรงหน้าลดเสียงลง
“ผมถามได้ไหมครับว่าเพื่อนผมไปเข้าตาคุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
โชกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมเป็นประกาย ตอบเพียงว่า
“นานเหมือนกันครับ”
นาน...จนเขานึกแปลกใจตนเอง
สิ้นคำตอบนั้น ชายหนุ่มก็แยกกับโทมะเข้าไปในห้องทำงาน สมองยังวนเวียนคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่
คิด...แล้วอมยิ้มออกมาลำพัง
เจ็ดปีที่แล้วเขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ระหว่างรอการตอบรับจากมหาวิทยาลัยที่ลอนดอนหลังได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อปริญญาโท ชายหนุ่มก็มาทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน
ช่วงเวลานั้น...เขาก็ได้พบกับมัตสึโมโตะ จุน นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ เจ้าของรอยยิ้มสดใสสะดุดตาแต่แรกเห็น
โชใช้เวลานับเดือนกว่าจะรู้ตัวและยอมรับว่าเขาตกหลุมรักหนุ่มน้อยคนนี้เข้าแล้ว
กระนั้นความรักของเขาจบลงเพียงได้เฝ้ามองจากระยะไกล เพราะอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว เป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกันหากต่างคณะ เขาจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับหมอนั่นแทบไม่ได้แม้กระทั่งชื่อ โชคยังดีที่มีเวลาอกตรมกับความรักข้างเดียวได้ไม่นานก็ต้องเดินทางไปเรียนต่อยังอีกฟากหนึ่งของโลก สารพัดความวุ่นวายประดังเข้ามา ทำให้ลืมรักไม่สมหวังไปได้ช่วงหนึ่ง
หากแต่..เมื่อชีวิตในต่างแดนเริ่มลงตัว โชก็เริ่มคิดถึงมัตสึโมโตะ จุนอีกครั้ง และหัวใจของเขาเป็นเช่นนั้นแม้จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกแล้วเดินทางกลับมาญี่ปุ่น
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ซากุไร โชแอบรักคนที่ไม่รู้ว่าเขามีตัวตนบนโลกนี้หรือเปล่าด้วยซ้ำ...และไม่มีท่าทีจะตัดใจ
เข็มโชคชะตาหมุนเวียนให้ได้กลับมาพบกับหนุ่มน้อยคนเดิมอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มเข้าทำงานเป็นที่ปรึกษาการตลาดให้กับสำนักพิมพ์แห่งนี้ นอกจากท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นตามวัยแล้ว จุนไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น...ที่ยังจับตาตรึงใจของเขาไม่แปรเปลี่ยน
ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายลบเลือนมันออกไป โชจึงสัญญากับตนเองว่าจะทำทุกวิถีทางให้รอยยิ้มที่เขาหลงรักกลับมาให้ได้
แม้จะไม่ใช่เพราะเขา หรือเพื่อเขาก็ตาม
1.
เสื้อกันหนาวตัวหนาสีเข้มขับให้คนที่เดินก้มหน้าตรงมายังประตูดูตัวเล็กไปถนัดตา ยิ่งยามดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสตัดกับหน้ากากสีขาวบดบังเครื่องหน้าช่วงล่างไหวระริกครั้นเห็นเขายืนขวางอยู่ ทำให้มัตสึโม-โตะ จุนยิ่งเหมือนลูกสัตว์ตัวน้อยไร้ทางสู้เข้าไปอีก
ถึงภาพตรงหน้าจะทำให้หวั่นไหวเพียงใด โชก็ยังตีหน้านิ่ง
“ถึงคุณจะลืมว่าวันนี้มีนัดกับคุณหมอแต่ขอโทษที่ผมไม่ได้ลืมไปด้วยนะครับ”
จุนขยับตัวไปมาอึกอักนิ้วเกี่ยวหน้ากากลงมาตรงคาง
“ซากุไรซัง...”
“ไม่ต้องมาซากุไรซังเลยครับ” โชมองดุๆ “ไปครับ...ผมมารับคุณ”
“ผมไปเองได้” คนเด็กกว่าเถียง เรียกคิ้วเข้มของคู่สนทนาเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อถือ
“แบบนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณไปหาหมอจริงๆ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้โอกาสแย้งอะไรอีกโชคว้าข้อมือผอมเดินลงบันไดไปด้วยกัน ออกประตูสำนักพิมพ์เข้าสถานีรถไฟ มือที่เริ่มเย็นในอุ้งมือทำให้เขากระชับมือนั้นมั่น จนกระทั่งหยุดรอรถไฟตรงชานชาลาก็สบโอกาสหันมองคนข้างตัว
ผู้คนพลุกพล่านในช่วงหลังเลิกงานส่งผลกับจุนอย่างที่เขากังวล ยิ่งยามหน้ากากอนามัยที่เป็นเกราะกำบังอยู่ตรงปลายคางซึ่งคงเป็นเพราะตอนดึงลงมาตอนคุยกับเขาที่ออฟฟิศ ไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกจูงออกมา ซ้ำในอ้อมแขนอีกข้างอุ้มหนังสือเล่มหนาแนบอก ชายหนุ่มที่เขากุมมืออยู่ตอนนี้จึงก้มหน้าคางจรดอก ไหล่สั่นสะท้าน
โชขยับเข้าไปใกล้ ใช้ปลายนิ้วเชยคางมนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงหน้ากากขึ้นปิดวงหน้านั้นตามเดิม บรรจงจัดให้มันแนบใบหน้าเรียบร้อย
“ขอโทษนะครับที่พูดไม่กี่คำก็ลากคุณออกมาแบบนั้น”
เอ่ยจบประโยคก็ชะงักกับคำพูดของตน...นึกย้อนตอนที่ไปดักหนุ่มฝ่ายศิลป์ถึงหน้าประตูแผนกเพื่อจะพามาพบนักจิตบำบัดที่ได้นัดหมายไว้
จุนดึงหน้ากากลงตอนพูดกับเขา...
โชคงจะไม่ติดอะไรอะไร หากเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วงตาคมแววยิ้มสบดวงตากลมโตมองตอบอย่างฉงน บีบมือเรียวในอุ้งมือแผ่วเบา
“ตอนคุยกับผมก่อนออกมาจากออฟฟิศ...คุณดึงแมสก์ลง” นิ้วโป้งหนาคลึงไปมาบนหลังมือขาวอย่างอ่อนโยน รับกับเสียงทอดนุ่มเบา
“ขอบคุณมากนะครับ”
2.
เสียงเปิดประตูจากห้องที่ปิดเงียบอยู่นานกว่าสองชั่วโมง เรียกชายหนุ่มตาคมละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมอง ยิ้มรับร่างสูงโปร่งก้าวออกมาหา
“เจอคุณหมออีกครั้งสัปดาห์หน้าเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ” โชถาม ขณะพวกเขาก้าวออกมานอกคลินิกพร้อมกัน จุนพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ เอื้อมมือมาจับมือเขาตามความเคยชินเมื่อต้องออกไปพบกับฝูงชนบนทางเท้า
มองท่าทางเหนื่อยอ่อนของคนข้างตัวแล้วเขาก็รู้สึกผิดจับใจ
“ขอโทษนะครับที่พาเดินแบบนี้ รถผมเสียพอดี”
จุนส่ายหน้า...หากก็ไม่ได้ลดทอนความรู้สึกหนักอึ้งนั้นลงแม้แต่น้อย
ขบวนรถไฟในช่วงค่อนดึกเริ่มมีที่ว่างให้นั่ง โชหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเช็คอีเมล์เงียบๆเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนข้างตัว
“ซากุไรซัง”
“ครับ?”
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับทุกๆอย่าง”
เขาหันไปมองเจ้าของเสียงที่นั่งก้มหน้า นิ้วชี้ข้างหนึ่งวนเวียนไปมาบนหน้ากากอนามัยถูกเลื่อนลงมายังปลายคาง เผยแก้มขาวระบายสีเรื่อน่าเอ็นดู
“ไม่เป็นครับ ผมยินดีและเต็มใจ” รู้สึกถึงมุมปากยกยิ้มเมื่อตอบออกไป
“มันไม่จำเป็นเลยแท้ๆ” ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่เม้มแน่น ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองด้วยความรู้สึกหลากหลาย “จะว่าผมขี้ระแวงก็ได้แต่ผมอยากรู้ว่าคุณทำลงไปทำไมทั้งที่คุณไม่ได้อะไรเลยแท้ๆที่มาคอยดูแลคนสติไม่ปกติอย่างผม”
โชขมวดคิ้วให้กับถ้อยนั้น
“ทำไมคุณพูดให้ตัวเองดูไม่มีค่าแบบนั้นละครับ คุณไม่ได้อยากให้ตัวเองเป็นแบบนี้ซะหน่อย ...แต่ถ้าคุณอยากได้คำตอบว่าทำไมผมถึงมาคอยดูแลคุณ”
ดวงตาคมสบลูกแก้วสีสวยนิ่งนาน
“รอยยิ้มของคุณสวยมาก และผมอยากเห็นมันกลับมาอยู่กับคุณอีกครั้ง”
คำตอบนั้นสั่นนัยน์ตากลมโตวูบไหวหยาดน้ำใสเอ่อขอบตา ก่อนไหลอาบแก้มขาวช้าๆ
“คุณ...” เสียงแตกพร่าเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็สะอื้น โชรั้งเอวผอมมาแนบตัว หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม
“ไม่เป็นไรครับไม่ร้องนะ...เดี๋ยวคนบนรถไฟเขาจะคิดว่าผมขืนใจคุณนะ”
จุนชะงัก ดวงตากลมรื้นน้ำช้อนขึ้นมองคนขู่หน้าตาย แค่นหัวเราะเจือสะอื้นออกมา
“คุณนี่จริงๆเลย”
โชอมยิ้มมองอีกฝ่ายนั่งเช็ดน้ำตาเงียบๆ ส่วนตนใช้นิ้วโป้งคลึงไปมาบนหลังมือขาวเบาๆ รอจนกระทั่งวงหน้านั้นเงยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมแต้มรอยยิ้มบางเบา
รอยยิ้ม...ที่เขาทำได้เพียงเฝ้ามองมาหลายปี
บัดนี้...อยู่ตรงหน้าเขา มอบให้เขาเพียงคนเดียว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in