Sakurai Sho/Matsumoto Jun
0.
หัวใจของมัตสึโมโตะ จุนแตกสลายเมื่อกำปั้นของคนที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบพุ่งมากระแทกบนใบหน้าเต็มแรงพร้อมถ้อยคำผรุสวาทสารพัด กระทั่งสาแก่ใจจึงจากไปไม่ไยดี
ไม่เพียงสภาพจิตใจที่ใกล้เคียงกับคำว่าย่อยยับ ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนต้องสวมหน้ากากอนามัยกับแว่นสายตากรอบหนาอำพรางรอยแผล นานเข้าเกิดเป็นความเคยชินที่จะมีสองสิ่งนี้อยู่บนใบหน้าจนไม่สามารถก้าวขาออกอพาร์ทเมนต์ได้ด้วยใบหน้าไร้สิ่งปกปิด
โชคดีที่เขาทำงานเป็นกราฟฟิกดีไซน์อยู่ที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง วันๆหนึ่งจึงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครมาก
ไม่มีใครมายุ่ง...ไม่มีใครมาสนใจ
ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
1.
มือเรียวขาวกำเมาส์ปากกาแน่น สั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเพื่อนสนิทเดินเข้ามาบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงมีประชุมเกี่ยวกับนิยายแปลชุดที่กำลังดำเนินงานอยู่และเขาต้องเข้าร่วมในฐานะที่เป็นคนออกแบบปกทุกเล่มในชุดนี้
“มึงโอเครึเปล่า” ได้ยินเสียงเพื่อนถามพร้อมมือบีบบนไหล่เบาๆปลอบโยน จุนส่ายหน้า...เป็นไปโดยอัตโนมัติมากกว่าจะเป็นคำตอบจากใจจริง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนรออยู่ห่างออกไปก็ก้าวเข้ามาประกบอีกข้าง
คนยืนตรงกลางถอนหายใจยาวเหยียด
“ชุน..โทมะ กูเดินไปเองได้ ทำงานมาหลายปีแล้ว กูจำทางไปห้องประชุมได้”
“แต่หลายปีก่อนมึงยังไม่เป็นแบบนี้” อิคุตะ โทมะ...คนที่ยืนรออยู่ในตอนแรก สวนกลับทันควัน ขณะโอกุริ ชุนพยักหน้าสนับสนุน
“กูเจ็บชิบหายที่เห็นมึงเป็นแบบนี้มาเดือนกว่าแล้ว แน่ใจนะว่าจะไม่ให้กูไปอัดไอ้เวรนั่น”
“อย่านะมึง” จุนร้องห้าม “มันจบแล้วมึงอย่าไปอะไรกับมันอีกเลย”
ชุนกับโทมะหันมาสบตากัน...
...คนที่พูดว่าจบแล้วดูอาการอย่างไรก็ยังนับว่าน่าเป็นห่วง
ไอ้หมอนั่นทิ้งบาดแผลฉกรรจ์ไว้บนหัวใจของเพื่อนเขา ไม่มีใครหาทางเยียวยามันได้
แม้กระทั่งเจ้าตัว...เจ้าของร่างสั่นสะท้านเมื่อเห็นจำนวนคนมากมายผ่านกระจกใสของห้องประชุม ชุนยกแขนขึ้นโอบไหล่ บีบไหล่ผอมเบาๆ ให้กำลังใจเพื่อนรัก
เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อนจุนถูกแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนอกใจ ครั้นเพื่อนเขาจับได้ก็ถูกซ้อมอย่างหนักและบอกเลิก ความบอบช้ำทั้งกายและจิตใจเปลี่ยนชายหนุ่มผู้มีชีวิตชีวาและความมั่นใจกลายเป็นแก้วรานร้าวพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อภายในชั่วข้ามคืน
“วันนี้ซากุไรซังจะมาเข้าประชุมด้วยนะ เป็นเด็กดีกันด้วยล่ะ” หัวหน้ากองบรรณาธิการกล่าวเมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมหน้า เรียกเสียงฮือฮาดังก้องห้องจนต้องปราม
จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นและเกร็งกันถ้วนหน้าได้อย่างไร...ซากุไร โช จากบอร์ดบริหารขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยบ เวลารายงานเรื่องงบประมาณ ต้องให้ละเอียด เพราะเวลารายนี้ซักที..ซักจนขาวสะอาด คนรายงานก็หน้าซีดลงเรื่อยๆ
แต่เหมือนวันนี้ ‘ซากุไรซัง’ จะไม่โหดเท่าไหร่เพราะโทมะที่เป็นคนลุกขึ้นรายงานงบประมาณสำหรับนิยายชุดนี้ยังคงยิ้มได้ตลอดการประชุมที่เหลือ
สายตาคมใหญ่คล้ายจับนิ่งที่ใครบางคนอยู่ตลอดเวลา หากเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเป็นที่สังเกต ก็จะเบนสายตาไปทางอื่นได้ทันท่วงที
จะมีก็เพียงคนเป็นเป้าสายตาที่ขยับตัวอย่างอึดอัด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสหลังแว่นหลุบลงมองโต๊ะตลอดเวลา ถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงบอกสิ้นสุดการประชุม
2.
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทเมื่อก้าวออกมาจากในอาคาร จุนโบกมือลาเพื่อนสนิททั้งสองที่เดินเข้าไปในสถานีรถไฟ ส่วนตนแยกกลับอพาร์ทเมนต์ที่อยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกเพียงลำพัง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะสะพายกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์พกพา เดินออกไปยังร้านกาแฟตรงข้ามที่พักตามปกติ
หากยังไม่ถึงเวลาเข้านอน ห้องของตนเองเป็นสถานที่สุดท้ายที่ชายหนุ่มจะปรารถนา ความทรงจำเกี่ยวกับ ‘คนๆนั้น’ มีอยู่แทบจะทุกตารางนิ้วของห้องนั้น ไม่ว่ามองไปทางใดหรือแม้แต่จะก้มลงมองโต๊ะทำงาน ภาพของคนใจร้ายก็ฉายชัดในห้วงคำนึงราวกดเล่นวิดีโอ
“เหมือนเดิมเนอะจุนจัง” เสียงทักทายสดใสดังมาจากชายหนุ่มร่างผอมสูงหลังเคาน์เตอร์เมื่อเห็นเขาผลักประตูเข้ามาในร้าน
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ตรงเข้าไปนั่งตรงมุมในสุดซึ่งเป็นที่ประจำ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” เสียงคุ้นหูเอ่ยถามขณะเขากำลังจดจ่อกับงานบนจอสี่เหลี่ยม ด้วยเสียงคุ้นนั้นจุนคิดว่าคงเป็นเพื่อนสักคนของตนเองจึงพยักหน้าแทนคำตอบ ได้ยินเสียงขอบคุณตามด้วยเสียงฝ่ายนั้นนั่งลงตรงข้าม ปล่อยความเงียบโรยตัวจนกระทั่งงานเสร็จและปิดเครื่องเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นครั้งแรก
“ซากุไรซัง....” ได้ยินเสียงแผ่วเบาของตนเองเรียกชื่อคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้า ครั้นได้สติรีบลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างลนลาน รู้สึกแก้มร้อนแผ่วเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“ผมมาขอนั่งด้วยเป็นชั่วโมงแล้วนะครับมัตสึโมโตะซัง” ซากุไร โช ยกยิ้มบาง ปิดหนังสือเล่มหนาในมือเพื่อจะสบสานสายตาได้ถนัด
ดวงตาที่จ้องมองมาเป็นสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้าด้านนอกประกายอ่อนโยน ผิดกับในเวลางานราวคนละคนทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยที่จะมองตอบนัยน์ตาคมคู่นี้
“ผมดีใจนะ ที่คุณไม่ได้กลัวผม”
จุนชะงัก ริมฝีปากใต้หน้ากากปกปิดใบหน้าช่วงล่างเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
ตัวเขาในช่วงกว่าหนึ่งเดือนมานี้...เขากลัวทุกคนก็ว่าได้
ขนาดคนรักที่คบหากันมาหลายปียังทำร้ายเขานับประสาอะไรกับคนรู้จักแบบอื่น...จุนในช่วงบาดแผลยังสดใหม่คิดเช่นนั้น เขาผลักไสทุกคน หวาดกลัวทุกครั้งเมื่อมีคนเข้ามาใกล้ ไม่ทำอะไรนอกจากร้องไห้เหมือนคนเสียสติ
ชุนกับโทมะต้องใช้เวลานานนับสัปดาห์กว่าจะเข้าถึงตัวเขาได้เหมือนเดิมมาคอยดูแลประคองจนลุกขึ้นกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ...แม้ความจริงแล้วสภาพของเขาตอนนี้จะเรียกว่าปกติก็ยังห่างไกล
“ผมขอโทษ...ไม่ได้ทำให้คุณเครียดใช่ไหม” เสียงทุ้มฟังตกใจเมื่อเห็นเขานิ่งไป จุนรีบส่ายหน้าปฏิเสธความรู้สึกอุ่นทาบทับบนหลังมือเรียกให้ก้มลงมอง เห็นมือหนาจับมือตนไว้หลวมๆ
ปกติ...เขาคงสะดุ้งชักมันกลับอย่างหวาดกลัว แต่ตอนนี้กลับไม่ทำแบบนั้น
เพียงมองมือสีแทนบนมือของตัวเองอย่างเหม่อลอย
หากเหมือนท่าทางนั้นจะทำให้โชตีความไปอีกทาง
“คุณไหวหรือเปล่า ให้ผมพากลับบ้านมั้ย” คำถามมาพร้อมกับแขนแข็งแรงประคองให้ลุกขึ้นยืน พาเดินไปยังประตูร้านจุนรีบขืนตัว ส่ายหน้าแรงๆ
“ผมไม่เป็นอะไรครับซากุไรซัง อพาร์ทเมนต์ผมอยู่ตรงข้ามนี้เอง ผมเดินกลับเองได้”
“ผมเห็นคุณนิ่งไปนึกว่าเผลอทำอะไรไม่ดีเข้า”
“ไม่เลยครับซากุไรซังไม่ได้ทำอะไรผม” เขายืนยัน ค้อมศีรษะเป็นเชิงลา ก่อนจะดึงหมวกฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ วิ่งเหยาะๆออกไปท่ามกลางฝนที่เริ่มลงเม็ด
เจ้าของนัยน์ตาสีนิลมองตามจนร่างผอมบางลับหายไปในอาคารฝั่งตรงข้ามระบายลมหายใจยาวเหยียด วงตาคมดุตวัดมองคนหลังเคาน์เตอร์เมื่อได้ยินเสียงกึกกักคล้ายเจ้าตัวพยายามกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ
“ทำเป็นไม่รู้จักแล้วนะโชจัง เปิดโหมดไร้ตัวตนให้จีบเต็มที่แล้วแต่ทำกวางน้อยเตลิดไปจนได้ ไร้ความสามารถจริงๆ” ไอบะ มาซากิ เจ้าของร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้ ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมต้นเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยีไม่นำพาต่อสายตาขุ่นๆที่ส่งมาให้
คุณชายซากุไรก็ทำดุกลบเกลื่อนเขินไปอย่างนั้น
ดวงตาเรียวรีมองตามคนหน้าคมก้าวกลับมานั่งยังโต๊ะตัวเดิมก่อนเปรยยิ้มๆ
“มัวแต่มอง ไม่เข้าไปซะที ไม่สมเป็นแกเวลาชอบใครเลยนะโชจัง”
“ก็เขามีแฟนแล้ว” ‘โชจัง’ สวนกลับทันควัน นัยน์ตาสีดำด้านปรากฏเค้าไม่ประสบอารมณ์
“แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วนี่” มาซากิเลิกคิ้ว “แถมจุนจังยังต้องการใครสักคนมาจูงมือพาก้าวออกจากสภาพแบบนี้มากๆเลยด้วย”
“เขามีเพื่อนของเขาแล้ว” คนตาดุยังคงหาข้ออ้าง
“แกก็เห็นว่ามันยังไม่พอ”
“ฉันไม่กล้าว่ะ” ในที่สุดโชก็สารภาพออกมา “มันเหมือนฉันฉวยโอกาสตอนที่เขาอ่อนแอยังไงไม่รู้แล้วถ้า...สมมุตินะ เขาคบกับฉันขึ้นมาจริงๆ สักวันก็จะรู้ว่าความรู้สึกที่มีให้ฉันมันแค่ความอ่อนไหว ไม่ใช่ความรัก”
“คาดการณ์ล่วงหน้าได้เป็นฉากๆ สมกับเป็นที่ปรึกษาการเงินในบริษัทใหญ่จริงเว้ย” มาซากิกลอกตา เห็นว่าในร้านไม่มีลูกค้าก็เดินออกจากหลังเคาน์เตอร์มานั่งตรงข้ามเพื่อนที่ขมวดคิ้วมุ่น เอื้อมมือไปวางบนบ่ากว้างนั้นแล้วบีบเบาๆ
“ฉันรู้ว่าแกรู้ว่าแกจะทำอะไรต่อไป แต่แกแค่กลัวผลที่มันยังไม่เกิดเท่านั้น นี่มันเรื่องความรักนะคุณชายซากุไร ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์ มันคาดเดาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปกะเกณฑ์อะไรมัน”
นัยน์ตาคมสีนิลสบกับดวงตาเรียวรีแววจริงจังของเพื่อนอย่างขอบคุณ มุมปากยกยิ้มบาง
3.
ร้านหนังสือขนาดใหญ่ใจกลางย่านการค้าของเมืองหลวงในช่วงเย็นวันศุกร์มีผู้คนเดินไปมาคึกคักแต่ก็ไม่ได้ทำให้จุนรู้สึกอึดอัดจนต้องพาตนเองออกไปเหมือนสถานที่อื่นๆ อาจเป็นเพราะคนที่อยู่ที่นี่ต่างให้ความสนใจกับหนังสือที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ก็สมาธิของตัวเขาที่จดจ่อกับหนังสือเรียงรายบนชั้นจนไม่เผื่อแผ่ให้บรรยากาศรอบตัว หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
สันหนังสือนิยายแนวสืบสวนเล่มออกใหม่ของนักเขียนที่เขาชื่นชอบอยู่ตรงหน้า จุนเอื้อมมือจะไปหยิบออกมาดู ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเจ้าของมือหนึ่งยื่นมายังจุดหมายเดียวกัน ยังผลให้มือสีแทนนั้นสัมผัสกับมือของเขาเข้าพอดี
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
“ข..ขอโทษครับ เชิญคุณหยิบเลย” เสียงสั่นปร่าเปล่งออกมาผ่านผืนหน้ากากคาดปิดใบหน้า จุนขยับแว่นอย่างประหม่า ผละถอยห่าง แล้วต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือนั้นคว้าข้อมือของเขาไว้
“มัตสึโมโตะซัง...ไม่เป็นไรนะครับ ผมเอง” เสียงอ่อนโยนที่เริ่มคุ้นเคยเรียกนัยน์ตากลมโตไหวระริกช้อนขึ้นมองวงหน้าคมคายเจ้าของเสียง
“ซากุไรซัง”
ได้ยินเสียงแตกพร่า...มือกำรอบข้อมือเคลื่อนมาบีบมือเขาเบาๆอย่างปลุกปลอบ
“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่ทำอะไรคุณนะ” เสียงเดิมย้ำ หันไปหยิบหนังสือเล่มต้นเหตุออกมาจากชั้น มืออีกข้างกระตุกเบาๆให้เดินไปพร้อมกัน ชำระเงินค่าหนังสือ ก่อนก้าวออกจากร้านทั้งยังกุมมือของเขาไว้ตลอด
ฝูงชนภายนอกที่เริ่มหนาแน่นบนทางเท้าทำให้จุนขยับเข้าชิดคนข้างตัวไม่รู้ตน จะรู้สึกก็เพียงมืออุ่นกระชับมั่นขึ้น กับเสียงทุ้มอ่อนโยนกระซิบปลอบโยนเรื่อยๆ
“ถ้ากลัวก็อย่ามองคนครับ มองผมไว้แล้วเดินไปพร้อมๆกัน”
เดินไปพร้อมกัน...ฟังแล้วอบอุ่นใจอย่างประหลาด
ความหวาดหวั่นจางหายไปตามรายทางที่เดินเคียงไปพร้อมกับคนข้างตัว รู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดยังหน้าร้านกาแฟตรงข้ามอพาร์ทเมนต์ที่เขาคุ้นเคยดี
“ขอบคุณครับ...ที่มาส่ง” จุนเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องทำแท้ๆ แต่ที่ปรึกษาฯประจำสำนักพิมพ์ก็เดินมาส่งถึงที่พัก
“ไม่เป็นครับ ผมเต็มใจ” โชตอบพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม หยิบหนังสือจากถุงพลาสติกในมือขึ้นมายื่นส่งให้ “นี่ของคุณครับ”
“ของผม?” ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ชี้นิ้วเข้าหาตนเองอย่างงุนงง ซึ่งได้รับคำยืนยันเป็นรอยยิ้มของคนให้
“ผมให้คุณ...ไว้วันหลังเดินไปด้วยกันอีกนะครับ”
“แต่...คุณซื้อให้ผมแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนเอาเปรียบคุณยังไงไม่รู้”
โชหัวเราะพลางส่ายหน้าน้อยๆ จรดปลายนิ้วชี้ตรงมุมปากตนเอง
“ถ้าไม่อยากรู้สึกว่าเอาเปรียบผม...แค่ยิ้มให้ผมก็พอครับ”
ครั้นเห็นคู่สนทนาชะงักไป นัยน์ตาสีนิลทอประกายอ่อนโยน
“ตอนนี้ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
เพราะรอมานานแล้ว...จะให้รออีกก็ไม่เป็นไร
จุนก้มหน้างุด ยกนิ้วเขี่ยวนไปมาบนหน้ากากของตน ก่อนจะค่อยๆดึงมันลงมาไว้ตรงปลายคาง เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
รอยยิ้มละมุนยังคงแต้มบนใบหน้าหล่อเหลา รับกับหน่วยตาคมทอดมองอย่างอ่อนโยน จับนิ่งยังวงหน้าของเขาประหนึ่งเป็นงานศิลปะล้ำค่า...ไม่อาจละสายตาได้
แววบางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้จุนขอบตาร้อนผ่าว ลำคอตีบตันเมื่อริมฝีปากหยักเต็มของคนตรงหน้าขยับเอื้อนเอ่ย
“ผมดีใจมากนะครับ”
สิ้นคำสุดท้าย...น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา
ฝากพี่เชี่ยงชุนกับที่โทมะดูแลร่างกายพี่จุนด้วยนะคะ เดี๋ยวหัวใจให้ชายโชดูแลแทน ครุ____คริ
ชอบใจในตัวไอบะซัง “ทำเป็นไม่รู้จักแล้วนะโชจัง เปิดโหมดไร้ตัวตนให้จีบเต็มที่แล้วแต่ทำกวางน้อยเตลิดไปจนได้ ไร้ความสามารถจริงๆ” เปิดโหมดไร้ตัวตัน 55555555555 เป็นเพื่อนที่ดีค่ะ ชอบบ
moving on ได้แล้วนะพี่จุน คนแถวนี้เขารอมาน๊านนานแล้ว อิ_____อิ