Sakurai Sho/Matsumoto Jun
เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย...
...แล้วถ้าวัยรุ่นคนนั้นมีตำแหน่งในสโมสรนักศึกษา ความเหนื่อยยิ่งคูณเข้าไปไม่รู้กี่เท่า
เสียงดังก้องห้องประชุมอเนกประสงค์ เมื่อเด็กหนุ่มผู้เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่กระแทกตัวนั่งลงบนพื้นไม้เต็มแรงก่อนทิ้งตัวลงนอนแผ่ หลับตาลงอย่างอ่อนล้าตามด้วยเสียงสูดน้ำมูกดังฟืดฟาดสลับกับเสียงไอไม่หยุดจนนึกขอบคุณที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เห็นสภาพอันอนาถของเขา
มัตสึโมโตะ จุน ให้ความสำคัญของภาพลักษณ์ตนเองเป็นอันดับหนึ่ง ต่อให้จะใกล้ตายแค่ไหน เขาต้องยืนหยัดตัวตรง ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นเป็นอันขาด
ภูมิแพ้กำเริบ...เหตุพักผ่อนไม่เพียงพอจากภาระการเรียนหนักหน่วงของนักศึกษาชั้นปีที่สาม ควบความรับผิดชอบในฐานะรองประธานสโมสรนักศึกษา ร่างกายจึงไม่แข็งแรงพอจะต่อกรกับภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงนี้ได้ เปิดทางให้เชื้อโรคทั้งหลายเข้ามาเล่นงานสะดวกโยธิน
ดวงตากลมโตหรี่ปรือ ศีรษะหนักอึ้งและครั่นเนื้อครั่นตัวแบบนี้คงไม่พ้นพิษไข้ได้เข้ามาทักทายเป็นที่เรียบร้อย
ขอนอนอยู่แบบนี้สักงีบแล้วกัน คุยกับลุงคนปิดตึกไว้แล้วว่าจะออกไปตอนประมาณสี่ทุ่ม ตอนนี้สามทุ่มสิบห้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้สามทุ่มสี่สิบห้าแล้วออกไปก็ยังทัน
คิดและได้ข้อสรุปเรียบร้อยก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตั้งเวลาวางไว้ข้างตัว แล้วหลับตาลง
รู้สึกว่าเพิ่งหลับตาไปได้ไม่กี่วินาทีเมื่อวัตถุสี่เหลี่ยมทรงแบนส่งเสียงร้อง จุนสะลึมสะลือลืมตาขึ้น โผเผลุกคว้ากระเป๋าเป้บนเวทีแล้วประคองตัวเดินออกไป ไม่ลืมจะกล่าวขอบคุณและขออภัยในความไม่สะดวกแก่เจ้าหน้าที่ประจำตึก
ลมกลางคืนพัดกรูกระทบร่างที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวบางกับกางเกงยีนส์ปกคลุม เด็กหนุ่มห่อตัวด้วยความหนาว กัดฟันก้าวไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อยืนรอรถประจำทาง
ประตูทางเข้าออกดูห่างไกลเหลือเกินในความรู้สึก ศีรษะที่หนักอึ้งในตอนแรกเริ่มปวดตุบๆจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับเป็นพักๆ
“จุน...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเรียกหันไปมอง เห็นเจ้าของเสียงก้าวเร็วๆเข้ามาหา จนชัดถนัดตา
สองขาอยากจะวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ซากุไรซัง...” ได้ยินเสียงแหบพร่าของตนเองเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง
“ช่วงนี้โทรไปหาไม่ยอมรับสายเลย” ซากุไร โช ส่งเสียงดุมาแทนคำทักทาย ดวงตาในกรอบคมใหญ่มองมาคล้ายสำรวจ ก่อนจับนิ่งยังหน้ากากสีขาวปิดใบหน้าช่วงล่างของเขาอย่างตำหนิ
“ไม่สบายเลยไม่อยากให้ฉันเห็นนายในสภาพนี้ใช่มั้ย”
“ผม...” เด็กหนุ่มจะแก้ตัวแต่หลังเปล่งเสียงได้เพียงคำเดียวก็ไอออกมาไม่หยุด
รู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงตวัดรอบเอวรั้งร่างเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว...หรืออาจเป็นเพราะสติสัมปชัญญะที่ไม่เต็มร้อยของเขาทำให้ความรู้สึกช้าลง
“เด็กดื้อ ไข้มันทำให้นายลืมหรอว่าเราคบกันอยู่” มือคนอายุมากกว่าตบลงบนกลุ่มผมแผ่วเบา ออกแรงกดเล็กน้อยให้ใบหน้าของเขาซบลงบนไหล่กว้างก่อนค่อยลูบผมไปมา สัมผัสอ่อนโยนคล้ายปัดเป่าความอ่อนล้าหมดสิ้น จุนหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย แล้วก็ต้องลืมตาโพลงส่งเสียงร้องเท่าที่ลำคอระบมจะอำนวยเมื่อถูกช้อนตัวขึ้นอุ้มพาไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงพวกเขายืนอยู่นัก
“ซากุไรซัง...” เขาประท้วงเสียงแผ่ว ครั้นได้รับสายตามองมาอย่างดุๆก็แก้ “โชคุง...ผมไม่เป็นไร ผมกลับรถเมล์เองได้”
“แปลว่านายต้องเป็นอะไรก่อนหรือถึงจะยอมให้ฉันไปส่ง”
จุนชะงัก...จนทุกคำพูด
เด็กหนุ่มนิ่งเป็นตุ๊กตา นั่งอย่างสงบเสงี่ยมบนเบาะข้างคนขับ จนกระทั่งรถคันหรูจอดอย่างนิ่มนวลตรงหน้าหอพักของเขา
ทันที่ประตูปลดล็อกเขาก็รีบเปิดประตูลงไปยืน สแกนคีย์การ์ดตรงทางเข้าหอพัก ปล่อยให้คนหน้านิ่งเดินตามเข้ามาเงียบๆ
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” บอกคนที่จับจองที่นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสืออย่างคุ้นเคย คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป หลังจัดการธุระเรียบร้อยก็แง้มประตูออกแอบหวังว่าคนหน้าดุจะกลับออกไปแล้ว
ทว่า...คำวิงวอนในใจไม่เป็นผล โชยังคงนั่งเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมืออยู่เงียบๆบนเก้าอี้ตัวเดิม
จุนถอนหายใจ เปิดกระเป๋าหยิบหน้ากากอันใหม่ขึ้นมาใส่ ถอยหลังนั่งบนเตียง คว้าหมอนมากอด มองแฟนหนุ่มเงียบๆ
พูดออกมาบ้างสิ...อะไรก็ได้ เงียบแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโกรธอย่างไรไม่รู้
อาการคันคอทำให้ไอออกมาไม่หยุดหย่อนจนนึกรำคาญ ก่อนร่างผอมในชุดนอนจะสะดุ้งเมื่อคนนั่งนิ่งบนเก้าอี้อยู่นานลุกขึ้นยืน
“กินยาบ้างรึยัง” คำถามมาพร้อมนั่งลงข้างกันบนเตียง มือหนึ่งยื่นมาสัมผัสบนใบหน้าอย่างทะนุถนอมความเอาใจใส่ทำให้จุนอยากร้องไห้ออกมา
“โชคุงไม่โกรธผมหรอ”
“โกรธ...แต่โกรธเพราะห่วง” คำตอบราบเรียบ สวนทางกับริมฝีปากประทับบนหน้าแผ่วเบา สองแขนโอบรอบเอวมาแนบกาย “ฉันรู้ว่านายมันเป็นคนประเภทเกลียดการแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่นายควรจะมีสักคนที่นายแสดงด้านนั้นออกมาให้เห็นได้บ้างนะ”
ดวงตาสีนิลประสานกับลูกแก้วสีน้ำตาลใสนิ่งนาน
“ฉันขอเป็นคนๆนั้นได้รึเปล่า”
จุนรู้สึกถึงขอบตาร้อนผ่าว ริมฝีปากใต้หน้ากากเม้มแน่นสะกดกลั้นความอ่อนไหวที่ปะทุขึ้นมา แล้วเขาก็เลือกจะให้คำตอบด้วยการก้มลงซุกซบใบหน้ากับแผ่นอกอุ่น สองแขนแข็งแรงโอบกระชับแนบแน่น เรียกสองตาปิดลง ปล่อยหยาดน้ำร้อนหลั่งอาบแก้มเงียบๆ ทว่าสุดท้ายความอบอุ่นนั้นก็ทำต้องปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดออกมา
ความรู้สึกที่ไม่ต้องแบกรับอะไร...มันโล่งสบายแบบนี้เองหรอกหรือ
ความรู้สึกยามซุกกายในอ้อมกอดของใครสักคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว...มันอบอุ่นถึงเพียงนี้เลยหรือ
แพขนตาหนายังชุ่มน้ำตาแม้เจ้าของจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว โชบรรจงปลดหน้ากากคาดปิดใบหน้าช่วงล่างของเด็กน้อยในอ้อมกอด ระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่น
มือแกร่งไล้พวงแก้มเนียนอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนยามทอดมองใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกละสายตาจากวงหน้าหวานไปยังกระเป๋าเป้ที่เปิดอยู่ โชถือวิสาสะหยิบวัตถุสี่เหลี่ยมขึ้นมาดู มองหน้าจอแสดงแจ้งเตือนจากโปรแกรมสนทนาขึ้นมาหลายข้อความติดกัน
Shun : เฮ้ย มึง กูกลับไปเอารถที่ม.ตอนสี่ทุ่ม ลุงที่ดูแลตึกมาฟ้องกูว่ามึงฉายเดี่ยวอยู่โยงหอประชุมแก้คัทงานเกษียณคนเดียวหรอวะ
Shun : ไอ้ห่าเอ๊ย งานมันมะรืน ไอ้เหี้ยยยย กูไม่รู้จะด่ามึงยังไงกับนิสัยบ้าความเป๊ะไม่ดูเวลาของมึงจริงๆ
Shun : เชี่ยจุนอยู่ป่ะเนี่ย ช่วงนี้ภูมิแพ้มึงกำเริบ ถ้ามึงโหมจนทรุด นอกจากกูจะไม่ช่วยมึงแล้วกูจะฟ้องผัวมึง
Shun : ว่ามึงมันบ้ามันดื้อ ไอ้เหี้ยยยยย
โชวางโทรศัพท์มือถือคืนที่เดิมก้มลงมองคนหลับสนิทในอ้อมแขนของตนอย่างเอ็นดูปนระอา
ตื่นขึ้นมาเมื่อไร...เห็นทีคงต้องอบรมกันยาวเลยทีเดียว
โอยยยยย วงวารตอนเพื่อนส่งข้อความมาบอกมาก หนูคะ ทุ่มเทกับงานมากไปแล้ววว
ฝากคุณพี่ซากุไรอบรมด้วยนะคะ เด็กดื้อต้องโดนดุสักนิดสักหน่อยค่ะ ฮืออ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เราจะส่งผ้าห่มอุ่นๆชื่อโชไปกอดบ่อยๆนะจุนนี่ คริ____คริ /โปรยซากุระ