“ทุกคนอย่าขยับ!!”
ทั้งสามถือปืนกวาดไปรอบๆ เพื่อข่มขู่คนในร้านที่ก้มหมอบอยู่ที่พื้น เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของเด็กน้อยดังขึ้นมาทันที
“เฮ้ย!! ให้อีเด็กนั่นหุบปากหน่อยซิ รำคาญ!!”
หนึ่งในคนร้ายหันไปเล็งปืนใส่แม่ของเด็กที่รีบกอดลูกไว้แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย ฮืออ”
“แม่จ๋า…”
“บอกให้หุบปาก!!”
เสียงทุ้มต่ำตะคอกใส่สองแม่ลูก ควีนจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาหาเกิ้ลที่ลอบมองอีกฝ่ายอยู่
“นี่”
“เจ๊เรียกกำลังเสริมรึยัง?”
“ยัง”
หันไปมองคนพี่ด้วยหน้าตาเลิ่กลั่กเพราะดันฝากความหวังไว้เต็มที่
“อ้าว! แล้วจะเข้ามาทำไม?”
“เข้ามาตามเธอไง”
“จบแล้วความหวังของหมู่บ้าน”
“นั่นพวกมึงกระซิบอะไรกัน!!”
หนึ่งในคนร้ายหันมาเจอทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่ก็ตะโกนถามเสียงดัง ควีนจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชูสองมือขึ้นเหนือหัวแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม
“ฉันโทรแจ้งตำรวจไปแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง ยอมมอบตัวซะเถอะค่ะ”
“กว่าพวกมันจะมากูก็หนีไปไหนต่อไหนแล้ว”
ทั้งสามพากันหัวเราะชอบใจ แล้วใช้ปืนเล็งบริเวณอกของควีนเพื่อข่มขู่ แคชเชียร์สาวแอบหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเพื่อโทรแจ้งตำรวจ แต่คนร้ายอีกคนบังเอิญหันไปเจอพอดี จึงเล็งปืนแล้วขู่กรรโชก
“มึงคิดจะทำอะไร?!”
“ฉ...ฉันเปล่า”
ควีนใช้โอกาสที่คนตรงหน้าหันเหความสนใจนี้แย่งปืนมาได้สำเร็จ คนร้ายเมื่อเห็นว่าเพื่อนเสียเปรียบเลยรีบกระชากเด็กเล็กที่นั่งอยู่กับผู้เป็นแม่มาเป็นตัวประกันแทน เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง แม่ของเด็กเคราะห์ร้ายรีบยกมือไหว้เพื่อขอความเห็นใจ
“อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ปล่อยพวกเราไปเถอะ”
“ถ้าไม่อยากให้เด็กนี่ตายก็ทิ้งปืนซะ!”
เอาปืนจ่อหน้าของเด็กน้อยที่ตอนนี้แหกปากร้องไห้ไม่หยุด
“เงียบ!!!”
“ทำแบบนั้นไม่ดีเลย ยิ่งจะโดนข้อหาหนักขึ้นนะคะ”
เอ่ยพูดพลางยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ชายตรงหน้าจึงเอ่ยปากสั่ง
“วางปืนลงบนพื้นช้าๆ”
ควีนค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อวางปืน ส่งสายตามองเกิ้ลที่พยักหน้าเล็กน้อย ร่างสูงจึงเบี่ยงตัวแล้วบิดข้อมือของคนร้ายอีกคนที่ยืนถือปืนขู่แคชเชียร์ไว้ให้หันไปอีกทางแล้วใช้มือกดปุ่มปลดแม็กกาซีนออก การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้น ควีนรีบเตะปืนให้ออกห่างคนตรงหน้าที่หันมาพยายามจะต่อยเธอแทน หากเขารู้เพียงสักนิดว่าควีนคือแชมป์ยูโดสายดำจะไม่กล้าทำแบบนั้นแน่นอน เท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คว้าเสื้อแล้วจับทุ่มได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะจับคนร้ายที่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว
ทางด้านเกิ้ลที่กำลังซัดกับคนร้ายชายอีกคนก็ไม่น้อยหน้าคนพี่ ทักษะต่อสู้ระยะประชิดจากหลักสูตรจู่โจมได้ถูกนำมาใช้งานจริง ทั้งหลบหลีกและใช้ศอกกระแทกเข้าที่กกหูของคนร้ายอย่างคล่องแคล่ว อีกฝ่ายตัวใหญ่เทอะทะกว่ามากจึงพยายามใช้แขนล็อคตัวของเกิ้ลไว้ ทันทีที่คนร้ายเหยียดแขนออกมา ก็คว้าข้อศอกดึงอย่างแรงจนเสียหลัก ใช้เข่ากระแทกไปที่ลำตัวพลางเบี่ยงตัวเพื่อล็อคแขนแล้วจับทุ่มลงพื้น จังหวะชุลมุนนี้ควีนจึงเข้าชาร์จแย่งปืนจากคนร้ายที่เหลือ
“คุณถูกจับแล้ว...”
ควีนพูดร่ายคำบอกสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้าย ก่อนกำลังเสริมจะเข้ามาเคลียร์พื้นที่ แล้วยืนมองคนร้ายที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นกำลังควบคุมตัว จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปจ้องมองคนน้องที่นั่งคุกเข่าเพื่อคุยกับเด็กน้อย
“ตอนนี้หนูอยู่ในฉากของหนังสายลับอยู่นะ ไม่ต้องกลัวนะคะ”
“ฮึก...หนูเป็นดารา...เหรอ?”
“ใช่ค่ะ หนูแสดงได้ดีมากๆ เลย”
“น...หนู...ฮึก...คิดว่า...เป็นเรื่องจริง”
เกิ้ลส่งยิ้มอย่างใจดีให้เด็กน้อยที่สะอื้นจนตัวโยน แล้วเอื้อมมือขึ้นลูบผมเด็กอย่างปลอบประโลม
“เราแสดงหนังกันอยู่นะคะ เนี่ยคุณแม่ก็เข้าฉากด้วยเห็นมั้ย”
หันไปส่งสัญญาณให้แม่ของเด็กที่รีบเข้ามากอดลูกไว้
“ใช่จ้ะน้องแก้ว พี่ๆ เค้าเก่งมั้ย?”
“ก...เก่งมาก ฮึกก”
“ป่ะ เดี๋ยวคุณแม่พาหนูไปกินไอติมอร่อยๆ นะคะ”
“อื้อออ”
เด็กน้อยยิ้มร่าพลางพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่พวงแก้มยังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“ขอบคุณนะคะคุณตำรวจ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางมองตามสองแม่ลูกที่เดินจูงมือกันออกจากร้านไป ควีนยืนกอดอกเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“รู้ได้ยังไงว่าต้องปลอบเด็ก? รันสอนเหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากให้เด็กมีความทรงจำแย่ๆ แล้วเอาไปฝันร้ายน่ะ”
“มีไหวพริบดีนี่ งานแรกไม่มาเป็นตัวถ่วงก็ดีแล้ว”
“แล้วไหนว่าไม่ได้เรียกกำลังเสริมมาไง”
“แค่อยากรู้ว่าเธอจะทำยังไง”
สองสาวยืนเถียงกันอีกพักใหญ่จนควีนต้องตัดบทแล้วเดินก้าวฉับๆ กลับไปที่รถ
เดินทางกลับไปยังสถานีตำรวจ ระหว่างทางเกิ้ลก็หันไปเอ่ยถามคนพี่ด้วยความสงสัย
“ว่าแต่เจ๊เหอะ จับโจรทุ่มแบบนั้น เรียนยูโดมาเหรอ?”
“อือ สายดำ”
“โหดเป็นบ้า อย่าจับฉันทุ่มนะ”
“ถ้าเอาแต่เรียกเจ๊แบบนี้ก็ไม่แน่”
“เจ๊”
“คิดจะลองดี?”
เกิ้ลทำหน้ากวนประสาทใส่พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงยียวน
“อือ จะทำไม?”
ร่างบางเลือกที่จะนิ่งเงียบแทนการต่อล้อต่อเถียง ทำเอาเกิ้ลหมดสนุกแล้วหันกลับไปเหม่อมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างแทน
เมื่อถึงจุดหมายแล้ว ร่างสูงก็เดินแยกกับควีนเพื่อเข้าพบผู้กำกับวศิกานต์ตามคำสั่ง
“คดีต่อไปที่จะมอบหมายให้คุณคือเข้าไปเก็บข้อมูลเวลาและเส้นทางการขนอาวุธเถื่อนเพื่อเข้าจับกุมนะคะ”
“....”
“นี่คือรายละเอียดของผู้ที่เกี่ยวข้องเบื้องต้น ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลมาให้เยอะที่สุด”
ผลักแฟ้มสีดำมาตรงหน้า เกิ้ลจึงหยิบขึ้นมาถือไว้
“หากสถานการณ์จวนตัวให้รีบหนีทันที”
“รับทราบค่ะท่าน”
“อ้อ...พรุ่งนี้คือวันหยุดของคุณ ต่อจากนี้ไปเช็ควันหยุดได้ที่สารวัตรควีนเลยนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เมื่อเปิดประตูออกไปก็เจอควีนยืนถือแฟ้มรออยู่นอกห้อง เบี่ยงตัวหลบให้เดินเข้าไปหาผู้บังคับบัญชาได้สะดวก แล้วเดินไปนั่งรออยู่ที่ม้านั่งหน้าสถานี ไม่นานนักคนพี่ก็เดินออกมา
หลังจากกินข้าวร้านเดิมเสร็จ ทั้งสองมายังจุดชมวิวไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก เป็นลานกว้างที่เมื่อมองออกไปก็เจอทะเลสาบสงบนิ่ง เหล่าฝูงนกนางนวลบินกันให้ขวักไขว่ ในเวลาใกล้สิ้นแสงอัสดงตรงขอบฟ้านี้มีคู่รักหลายคู่มาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ตกดิน เกิ้ลกับควีนก็เช่นกัน
“สวยอ่ะเจ๊”
ควีนส่งสายตามองคนน้องที่กำลังเพลิดเพลินกับสภาพแวดล้อมอันสวยงามตรงหน้า
“วันไหนเลิกงานเร็วฉันชอบมานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินตรงนี้”
“ไว้พามาอีกนะ”
“ชอบเหรอ?”
“อื้อ ชอบทุกที่ที่มีพี่อยู่ด้วยนั่นแหละ”
หันมามองควีนที่กำลังกลั้นยิ้ม แสงอุ่นๆ ของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดมากระทบผิวขาวเนียนของคนตรงหน้านั้นกลายเป็นสิ่งสวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต ปอยผมนุ่มถูกพัดตามแรงลมยิ่งทำให้มีเสน่ห์มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ริมฝีปากเผลอเหยียดยิ้มออกมา อดใจเต้นแรงไม่ได้อีกแล้ว
“อ้าวควีน คุณเกิ้ล”
สองสาวเบนความสนใจไปทางต้นเสียงก็พบกับรันชิตาในชุดเดรสเปิดไหล่สีดำสุดเซ็กซี่ มือหอบหิ้วถุงกระดาษหลายใบ ดูคร่าวๆ แล้วน่าจะเพิ่งไปช้อปปิ้งเสร็จนั่นแหละ เกิ้ลจึงเอ่ยทักทายหัวหน้าครูฝึกพิเศษด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะครู”
“มาทำอะไรกันตรงนี้ล่ะ?”
“ฉันกั…”
“รันนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่?”
ควีนพูดเสียงเรียบแทรกเกิ้ลที่กำลังจะเอ่ยตอบรันชิตาทันที
“วันหยุดเลยมาช้อปปิ้งสักหน่อยน่ะ”
ครูฝึกคนสวยปรายตามองร่างสูงแล้วส่งยิ้มหวานให้ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว งั้นเราไปกิ…”
“เกิ้ลกินอิ่มแล้ว”
เอ่ยพูดเสียงเรียบแทรกขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้ายากที่จะอ่านออก แต่รันชิตายังไม่ยอมลดละความพยายาม ส่งสายตาหวานเชื่อมจ้องมองเกิ้ลที่กำลังหันมองสลับไปมาระหว่างสองสาวด้วยความสงสัย เจ๊แกทำไมจู่ๆ ก็พูดขัดครูรันชิตาตลอด? เค้าโกรธกันอยู่เหรอ?
“แถวนี้มีร้านกาแฟอยู่ งั้นเราไปนั่…”
“เกิ้ลไม่กินกาแฟ”
เมื่อโดนขัดจังหวะจากคนหน้าสวยตลอด รันชิตาจึงอดเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้
“แหม...หวงคู่หูเหลือเกินนะคะควีน”
“ค่ะ ฉันหวงคู่หูของฉัน”
“เอ่อ…”
เกิ้ลพยายามจะเอ่ยพูดออกมาแต่ไม่ทันรันชิตาที่ส่งรอยยิ้มท้าทายไปทางคนพี่
“แต่นี่ก็เลยเวลางานแล้วนี่คะ?”
“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะครู”
ควีนหันไปจ้องมองร่างสูงด้วยสายตาไม่พอใจ โอกาสหน้าเหรอ? ยังจะมีโอกาสหน้าอีกงั้นเหรอ!
“ตามที่คุณเกิ้ลว่าก็แล้วกันค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะคะ”
เกิ้ลโบกมือลารันชิตาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันมาเจอควีนยืนกอดอกหน้าหงิกเลยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ๊เป็นอะไรเนี่ย? ตอนอยู่ค่ายฝึกยังเห็นดีๆ กับครูเค้าอยู่เลย”
“กลับบ้าน”
“เอ้า! เดี๋ยวสิ!”
“ฉันบอกให้กลับบ้าน!!”
เอ่ยเสียงแข็งก่อนจะเดินก้าวขาฉับๆ ไปขึ้นรถทันที
เกิ้ลถามขึ้นเมื่อทั้งสองถึงบ้าน หลังจากที่บนรถเธอพยายามชวนคุยมาตลอดทาง แต่ก็ถูกคนพี่เมินใส่
“พี่ควีนเป็นอะไร?”
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?”
ตัวต้นเหตุทำหน้างง ยิ่งทำให้ควีนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม หลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุอยู่ภายในใจพลางพูดเสียงเรียบ
“ครูฝึกของเธอเคยเป็นแฟนเก่าฉัน”
“ห๊ะ?”
“เราสองคนเคยรักกันมาก เพราะมีหลายๆ อย่างคล้ายกัน และมาในสายงานเดียวกัน”
“....”
อารมณ์น้อยใจตีตื้นขึ้นมาทันที ที่เมื่อกี้พูดขัดตลอดเพราะหึงแฟนเก่างั้นสินะ…
“ตอนนั้นรันยังไม่ได้บรรจุเป็นครูฝึก เวลาว่างเลยเยอะ แต่ฉันไม่ค่อยว่าง
เพราะต้องสอบเลื่อนขั้น แล้วรันก็งี่เง่าบอกว่าฉันไม่ค่อยมีเวลาให้”
เกิ้ลมองคนพี่ที่ตอนนี้มองเหม่อไปอีกทาง หัวใจเริ่มบีบแน่นด้วยความเจ็บปวด พี่ควีนเคยเป็นแฟนกับครูรันชิตา เก่งและสวยด้วยกันทั้งคู่ เหมาะสมกันทุกอย่างแบบนี้ คนอย่างเธอจะเอาอะไรไปสู้
“สุดท้ายรันก็นอกใจฉัน ด่าฉันสารพัด แถมไล่ให้ไปแต่งงานกับงาน จนในที่สุดเราก็เลิกกัน หลังจากนั้นรันพยายามตามง้อฉัน แต่มันไม่โอเคแล้ว ตอนนี้ฉันเลยคิดว่ารันพยายามจีบเธอเพื่อแก้แค้น”
จะหึงหวงกันทำไมต้องลากเธอไปเกี่ยวด้วย? บอกดีๆ ก็ยอมถอยให้แล้ว ทั้งเสียใจและน้อยใจผสมปนเปกันไปหมด ขอบตาเริ่มแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“พี่แค่บอกดีๆ ฉันก็ถอยให้พี่กลับไปคบกับครูรันแล้ว”
“หมายความว่าไง?”
ควีนจ้องคนตรงหน้าเขม็ง คิ้วขมวดยุ่ง คนน้องจึงเอ่ยพูดต่อ
“คือถ้าพี่จะหึงหวงแฟนเก่า หรืออยากจะรีเทิร์นก็แค่บอกกันดีๆ ไม่ต้องทำแบบนี้”
“ฉันไม่ได้หึงรัน แต่ฉันหวงเธอ”
“หวงฉัน?”
ควีนพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าขึ้นสีจนสังเกตได้ ถึงเจ๊แกจะบอกว่าหวงก็เถอะ แต่ก็ยังไม่หายน้อยใจหรอก แกล้งเล่นตัวอีกสักนิดละกัน
“แล้วทำไมพี่ไม่บอกตั้งแต่วันนั้น?”
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“ทุกเรื่องของพี่ สำคัญกับฉันหมด”
เป็นฝ่ายคนพี่ที่ทำหน้าหงิกบ้าง เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“เธอนั่นแหละ! ดี๊ด๊าเหลือเกินนะพอเจอกับรัน หึ!!”
“เอ้า!! ของฟรีใครๆ ก็ชอบรึเปล่า? พี่ควีนนั่นแหละขัดอยู่เรื่อย”
“เอองั้นไปเลยนะ!!”
เอ่ยไล่พลางหันหลังให้อย่างกระเง้ากระงอด เกิ้ลยืนทำหน้าตาเหลอหลางงกับคนตรงหน้า เฮ้ย! นี่งอนก่อนรึเปล่าเอ่ย? ไหงคดีพลิกกลายเป็นโดนงอนกลับซะงั้นอ่ะ เดินเข้าไปกอดจากด้านหลังพลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฉันงอนพี่ก่อนนะ มางอนกลับได้ไง?”
“ไม่รู้”
“เฮ้อ...หายงอนนะคะคนดี”
“ปล่อยได้แล้ว! จะไปอาบน้ำ”
ขืนตัวเพื่อออกจากอ้อมกอด แต่มีหรือที่ร่างสูงจะยอมปล่อยไปง่ายๆ
“ไม่ปล่อยจนกว่าพี่จะหายโกรธ"
“หายแล้ว”
“งั้นขอกอดอีกสักแป๊บได้มั้ยคะ?”
“จะกอดอะไรเยอะแยะ”
“ก็มันคิดถึงนี่นา”
เจ้าเด็กดื้อซุกใบหน้าเรียวเข้าที่ไหล่ของคนพี่ที่ตอนนี้พยายามกลั้นยิ้มอยู่ แต่ฟอร์มจัดทำเป็นเอ่ยพูดเสียงแข็ง
“คิดถึงทำไม อยู่ด้วยกันทั้งวัน”
“ทั้งวันอะไรคะ? ตอนฉันเข้าไปซื้อของ พี่เข้าไปคุยกับผู้กำกับ พี่เข้าห้องน้ำเราก็ห่างกันแล้ว”
“นั่นมันแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ!”
เหตุการณ์รวมกันทั้งหมดยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ!! ไอ้เจ้าเด็กตาตี่นี่ขี้เว่อร์จริงๆ กะจะให้ตัวติดหนึบตลอด 24 ชม.เลยรึไง!
“ตั้งครึ่งชั่วโมงต่างหาก”
“ทำตัวเป็นลูกแหง่ไปได้”
เกิ้ลเอาปลายจมูกเกลี่ยไปมาที่แก้มนุ่ม แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ฉันยอมเป็นลูกแหง่ เป็นเด็กติดแม่ ยอมเป็นทุกอย่างขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ พี่”
ในที่สุดควีนก็ยิ้มออกมาเพราะทนความออดอ้อนออเซาะไม่ไหว
เกิ้ลนอนอ่านแฟ้มที่รับมาจากผู้กำกับวศิกานต์เมื่อตอนบ่ายบนเตียงนุ่ม เอกสารระบุถึงรายละเอียดวันที่ออกเดินทาง ใบหน้าและข้อมูลประวัติโดยสังเขปของผู้ต้องสงสัยในภารกิจแรกนั้นเป็นนักค้าอาวุธเถื่อนร่างท้วมมีนามว่าเสี่ยทอง จากในเอกสารไม่ได้อธิบายรายละเอียดอื่นๆ มากนัก ดังนั้นเธอจะต้องเป็นคนไปสืบหาข้อมูลมาเติมเต็มในคดีนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมต่อไป
“เดือนหน้างั้นเหรอ?”
ให้ไปทำภารกิจตั้งเดือนหน้า แล้วจะรีบเอาแฟ้มมาให้ทำไมกัน? อีกตั้งนานแท้ๆ ไม่เปิดโอกาสให้หน่วยข่าวกรองได้ทำงานต่อเลยรึไงนะ?
ปิดแฟ้มแล้วเอื้อมไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง เอกสารมีอยู่สองหน้า อ่านรอบเดียวก็จำได้หมดแล้ว ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากเลยเนี่ย
เวลาผ่านไปไวราวกับโลกถูกหมุนให้เร็วขึ้นจนเหลืออีกเพียงวันเดียวเกิ้ลก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด มีแค่ตอนนอนที่ยังคงนอนคนละห้อง ถึงแม้ว่าหลายครั้งเกิ้ลจะหอบหมอนออกมายืนหน้าห้องคนพี่เพื่อขอนอนด้วย แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปซะทุกรอบ
ก๊อกๆๆ
“ฉันไปเข้าเวรก่อนนะ”
เสียงควีนดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูฉุดเกิ้ลให้ตื่นจากห้วงนิทราในตอนเช้า ก่อนจะรีบตะเกียกตะกายเปิดประตูห้องวิ่งตามคนพี่ที่ตอนนี้เดินเกือบถึงหน้าประตูบ้านแล้ว
“เจ๊!!”
“จะแหกปากทำไมอยู่ใกล้กันแค่นี้”
“กอดก่อน”
เอื้อมมือไปกอดคนตัวเล็กที่ส่งมือมาลูบผมยุ่งๆ
“ขอไปส่งได้มั้ย?”
“ขึ้นไปนอนต่อเถอะ”
“นะนะนะ”
ก่อนที่เจ้าเด็กดื้อจะอ้อนไปมากกว่านี้ ควีนจึงเอียงหน้าไปหอมที่แก้มซ้าย แล้วเกิ้ลก็ส่งสายตาเว้าวอนพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เจ๊จ๋าาาา”
“ว่าไง?”
“หอมอีกข้างด้วยดิ เดี๋ยวไม่เท่ากัน”
ไม่พูดเปล่า เอียงแก้มขวาไปใกล้ๆ ใบหน้าสวยของควีนที่ผลักออกเบาๆ
“ได้คืบจะเอาศอก”
“นะนะ น้าาาา”
ร่างบางจึงเอียงหน้าไปหอมแก้มขวาตามที่เจ้าเด็กตาตี่ต้องการ
“จุ๊บด้วยได้ป่ะ”
แกล้งก้มหน้าไปใกล้คนโตกว่าที่ใช้มือเล็กผลักใบหน้าเรียวให้ออกห่าง เจ๊แกคงเขินแหละดูออก หูนี่แดงแปร๊ดเชียว หน้าก็คงไม่ต่างกัน
“จะไปเข้าเวรแล้ว ตอนเย็นเจอกัน”
“ไม่จุ๊บจริงอ่ะ?”
“พูดมาก!”
เมื่อควีนหลุดจากอ้อมกอดได้ก็รีบเดินดุ่มๆ ขึ้นรถขับออกไปทันที
เกิ้ลไม่ได้ขึ้นไปนอนต่ออย่างที่คนพี่เอ่ยปากสั่งไว้ แต่เริ่มลงมือทำความสะอาดบ้าน แอบประหลาดใจอยู่หน่อยๆ ที่สิ่งของทุกชิ้นแทบจะไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลยทั้งๆ ที่เจ๊แกทำงานหนักขนาดนั้น ไปเอาเวลาไหนมาทำงานบ้าน? เดือนนึงที่ผ่านมาก็อยู่ด้วยกันตลอด ไหนๆ หยิบไม้ปัดขนไก่มาแล้ว ขอเล่นสักหน่อยละกัน หลังจากควงไม้ปัดขนไก่ด้ามยาวแทนไลท์เซเบอร์จนเบื่อก็เอาไปเก็บไว้ที่เดิม แล้วเปลี่ยนไปจัดหนังสือที่ชั้นแทน สองมือรื้อหนังสือออกมากองไว้เพื่อจัดเรียงจากเล่มเล็กไปเล่มใหญ่ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปสะดุดกับอัลบั้มรูป แล้วเอ่ยพูดลอยๆ
“เจ๊ ขอดูเล่มนี้ได้ป่ะ? ได้เลยจ้า”
ขอเองอนุญาตเองเสร็จสรรพ เปิดดูภาพที่อยู่ในเล่มช้าๆ ด้านในมีรูปในวัยเด็กของควีนที่ถ่ายกับพ่อแม่ ไล่สายตาไปทีละหน้า เจ๊แกนี่สวยตั้งแต่เด็กเลยแฮะ มีทั้งรูปตอนเล่นชิงช้า เล่นทะเล ก่อกองทรายในสนามเด็กเล่น เปิดไปเรื่อยๆ จนไปเจอรูปงานศพพ่อแม่ ใบหน้าของเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบที่นั่งคุกเข่าอยู่นั้นดูเรียบเฉยราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ พี่เค้าคงจะเสียใจมากๆ เลยสินะ ถึงแม้ว่าควีนในรูปจะดูเหมือนไม่เคยผ่านการร้องไห้มาก่อน แต่แววตาไม่เคยโกหกใคร จ้องมองไปยังสายตาที่เศร้าหมองในรูปพลางเอานิ้วมือเรียวลูบผ่านไปที่ใบหน้าสวยอยู่สักพัก ปากเอ่ยพูดพึมพำออกมา
“พี่คงจะเหงามากสินะที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด”
อาจเป็นเพราะจุดนี้จึงทำให้ควีนเข้าใจความรู้สึกของเกิ้ลที่หลุดมาโลกนี้ตัวคนเดียวได้ไม่ยากนัก ความเปล่าเปลี่ยว เดียวดาย ราวกับว่าคนทั้งโลกพร้อมใจกันทอดทิ้งแล้วหันหลังให้โดยไม่สนใจว่าหนึ่งชีวิตเล็กๆ จะเป็นตายร้ายดียังไง เหตุผลที่ยอมเปิดใจให้คนแปลกหน้าอย่างเกิ้ลข้ามกำแพงก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างง่ายดายคงจะเป็นเพราะแบบนี้กระมัง
เกิ้ลในตอนนี้ที่เลิกค้นหาคำตอบว่ามาที่นี่ได้อย่างไร และเลิกดิ้นรนหาทางกลับไปยังโลกเดิมที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะมันคงหมดหนทาง นอกจากทำใจยอมรับความจริงและดำเนินชีวิตใหม่ไปกับผู้หญิงที่เธอรักเพียงเท่านั้น
จบงานทำความสะอาดชั้นล่างแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบน จัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน จัดของและทำความสะอาดห้องของตัวเองเสร็จก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของคนพี่
ก๊อกๆๆ
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
เอ่ยปากขออนุญาตควีนลอยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู สายตามองกวาดไปรอบๆ ห้องนอนสีขาวถูกจัดเป็นระเบียบ แม้แต่แฟ้มคดีที่กองอยู่เต็มโต๊ะทำงานยังดูเป็นระเบียบเรียบร้อย กระดานขนาดใหญ่ถูกแปะเต็มไปด้วยรูปถ่ายที่เดาว่าเป็นผู้ต้องสงสัยโดยมีเชือกสีขาวถูกโยงเต็มไปหมด เจ๊แกน่าจะกำลังตามสืบคดีอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน เลื่อนสายตาสำรวจบนโต๊ะทำงานที่มีโน้ตบุ๊คสีขาววางปิดไว้ แต่แล้วก็ไปสะดุดกับรูปถ่ายใบหนึ่งที่ติดอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งพอสังเกตดูดีๆ ถึงรู้ว่าเป็นรูปถ่ายของเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมาดูอย่างพิจารณา รูปถูกถ่ายไว้ตอนเธอถูกจับ เจ๊แกน่าจะแอบถ่ายไว้ตอนนั้นแน่ๆ พลิกไปดูด้านหลังก็เห็นตัวหนังสือถูกเขียนด้วยปากกาหมึกสีดำ
ไม่พบข้อมูลในระบบ
เธอเป็นใครกันแน่?
ผู้ก่อการร้าย? สายลับ?
หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนั้น?
“นี่ยังไม่เลิกสงสัยกันอีกเหรอ?”
ถอนหายใจพลางเอารูปติดไว้ที่เดิม ความรู้สึกหน่วงๆ ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ที่ผ่านมาอุตส่าห์หลงดีใจว่าควีนเริ่มไว้ใจและรู้สึกดีเหมือนกัน แต่หลังจากได้เห็นข้อความหลังรูปถ่ายนั้นแล้วมันเหมือนตอกย้ำความจริงที่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการที่ควีนทำดีแบบนี้เพียงเพราะแค่จะได้คอยจับตาดูเธอไว้มากกว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย หมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องด้วยความน้อยใจ แต่มือบังเอิญไปปัดกองแฟ้มที่ตั้งอยู่ขอบโต๊ะตกลงพื้น รูปถ่ายของเกิ้ลในอิริยาบทต่างๆ กระจายเต็มพื้นห้อง คุกเข่าลงพลางเก็บรูปถ่ายมารวมกันแล้วเริ่มดู
ตื่นมาทำแฮมไหม้เพราะทำอาหารไม่เป็น
กินข้าวด้วยกันครั้งแรก
เกิ้ลฝึกจู่โจมวันแรก
อยู่ๆ มาขอให้สอนจีบตัวเอง ไอ้บ้า!
ด้านหลังรูปถ่ายทุกใบเขียนอธิบายไว้เหมือนเป็นบันทึกสั้นๆ จนเกิ้ลเผลอยิ้มกว้างออกมา ร่างบางไม่ได้สงสัยแต่มันเป็นวิธีการเขียนไดอารี่ในสไตล์ควีนซะมากกว่า น่ารักไปอีกแบบนะ โชคดีที่เป็นคนที่เธอชอบ ไม่อย่างนั้นให้มาเจออะไรแบบนี้คงน่าขนลุกไม่ใช่น้อย เพราะมองยังไงๆ ก็เหมือนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ควีนก็เป็นพวกสตอล์กเกอร์คอยติดตามชีวิตอีกฝ่ายแบบไม่ให้รู้ตัวยังไงอย่างงั้น
จัดการเก็บโต๊ะให้สภาพเหมือนเดิมที่สุดแล้วเดินมาที่เตียง อดล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มของคนพี่ไม่ได้ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยตีรวนเข้าจมูกยิ่งทำให้คิดถึงและอยากกอดอีกแล้ว นับวันแกยิ่งโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะไอ้เกิ้ล! แต่มันหอมจริงๆ นี่นา นอนกลิ้งไปมาบนเตียงจนหนำใจแล้วจัดการดึงผ้าปูเตียงออก แต่เนื่องจากว่าไม่รู้ว่าผ้าปูอยู่ที่ไหนจึงไม่ได้เปลี่ยนคืนให้
หอบตะกร้าลงมาใส่เครื่องซักผ้า ก่อนจะไปนั่งตัดหญ้าที่เริ่มขึ้นสูงบริเวณสนามหลังบ้าน จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วกลับลงมาตากผ้า ทำทั้งหมดนี้จนเสร็จยังเพิ่งสี่โมงเย็น อีกตั้งสามชั่วโมงกว่าเจ๊แกจะกลับบ้าน เดินไปทอดไข่กินอย่างง่ายๆ แล้วกลับมานอนเล่นที่โซฟาก่อนจะผล็อยหลับไป
ควีนกลับมาถึงบ้านเห็นไฟปิดมืดไปหมดก็ขมวดคิ้วยุ่งด้วยความสงสัย เอื้อมมือเล็กไปกดเปิดไฟก็ได้รู้คำตอบ สายตาจ้องมองคนน้องที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา จัดแจงเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปปลุกเจ้าเด็กขี้เซา
“ลุกมากินข้าวได้แล้ว”
“กลับมาแล้วเหรอ?”
งัวเงียลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ขอกอดหน่อย”
“ลุกได้แล้ว”
“กอดก่อน”
โอบเอวคนพี่รั้งเข้าหาตัวเพื่อให้มานั่งที่ตักแล้วสวมกอดด้วยความคิดถึง
“คิดถึงจัง”
“อยู่นี่แล้วไง”
เอ่ยพูดพลางกอดตอบ กลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ พอได้กอดใครสักคนนี่รู้สึกดีจัง
“เหนื่อยมั้ยคะ?”
“อือ”
“งั้นเจ๊ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนนะ”
“ไม่หิวเหรอ?”
“ยังไม่ค่อยหิวอ่ะ”
ควีนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นเดินไปชั้นบน เกิ้ลเอื้อมมือเปิดทีวีรอคนพี่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินกลับมาหา ดึงมานั่งตักอีกครั้งพลางสูดกลิ่นหอมจากผิวกายของคนตัวเล็กที่เอ่ยถามขึ้น
“เปลี่ยนผ้าปูให้เหรอ?”
“ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
ตวัดสายตาคมจ้องมองเกิ้ลที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ
“แอบถ่ายคนอื่นมันผิดกฏหมายนะ”
“ค้นห้องฉันเหรอ!!”
สีหน้าตกใจถูกฉายจากใบหน้าสวย ก่อนที่เกิ้ลจะรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าไปรื้อห้องอีก
“เปล่าๆ มือมันปัดไปโดนก็เลยเห็นรูปถ่ายเฉยๆ”
“....”
“ขอกันดีๆ ก็ได้ ฉันจะได้สวยบ้าง แต่ละรูปที่เจ๊ถ่ายโคตรอุบาทว์เลยอ่ะ”
“พูดมาก!!”
รีบลุกขึ้นจากตัก ก้มหน้างุดๆ ปิดบังใบหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอายไปยังโต๊ะอาหาร
หลังจากกินข้าวเสร็จ เกิ้ลพบว่าวันนี้เจ๊แกมาแปลก ปกติพอถึงบ้านแล้วจะเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องนอน แต่วันนี้กลับนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นหน้าตาเฉย
“เจ๊ เป็นอะไรรึเปล่า?”
“อะไรคือเป็นอะไร?”
หันไปถามคำถามกลับกับคนน้องที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“ปกติเจ๊ไม่ค่อยดูหนัง”
“ก็วันนี้อยากดู มีปัญหาเหรอ?”
“เปล่าค่ะ”
ทั้งสองจึงนั่งดูทีวีด้วยกัน ก่อนที่เกิ้ลจะเอนตัวลงไปนอนหนุนตักคนพี่ที่ยกมือขึ้นมาลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู
“เป็นสายนี่มันเสี่ยงมากเลยใช่ป่ะ?”
“อือ”
“ฉันจะตายมั้ย?”
เงยหน้าถามควีนที่ก้มลงมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“เธอต้องระวังตัวเองให้มาก อย่าไว้ใจใคร ทุกคนคือศัตรู”
เกิ้ลยกมือเรียวขึ้นกอบกุมมือเล็กๆ ไว้
“ฉันจะช่วยเจ๊จัดการพวกเลวๆ ให้หมดโลกเล้ยย”
“ไม่กลัวตายเหรอ?”
“ไม่เลย กลัวทำไม? เพราะฉันเคยตายมาแล้ว”
ควีนขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เคยตายมาแล้ว?”
ร่างสูงจ้องมองดวงตากลมโตอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ฟังดูแล้วมันอาจจะประหลาดหน่อยนะ แต่ฉันอยากเล่าให้ฟัง”
“....”
“ฉันเคยมีชีวิตอยู่อีกโลกนึง อย่างที่เคยบอก ฉันเป็นนักแข่งอีสปอร์ต มีพ่อแม่พี่ชาย กับเพื่อนสนิทอีกคนนึง แล้วก็เป็นตะคริวตอนเล่นปาร์กัวร์เลยตกตึกตาย”
“....”
“ไม่รู้ว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง อ้อ...เล่าข้ามไป ฉันไปอยู่ในห้องสีขาวมีคนเต็มไปหมด แล้วก็ได้สร้อยเส้นนี้มา”
หยิบสร้อยที่คล้องคอตัวเองอยู่โชว์ให้เห็น แล้วเอ่ยพูดต่อ
“แล้วเจ๊ก็จับฉันนั่นแหละ”
“....”
“เจ๊เชื่อรึเปล่า?”
“อืม...ฟังดูมันก็ทำใจให้เชื่อยากอยู่นะ ฉันเชื่อแค่เรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้”
“ฉันไม่ได้ข…”
“แต่ฉันเชื่อเธอ”
ร่างสูงยกมือเล็กขึ้นมาประทับจูบที่หลังมือแล้วเอามาแนบกับใบหน้าของตัวเอง
“อดีตเป็นยังไงไม่สำคัญหรอก ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ตรงนี้ มีพี่ควีนอยู่ข้างๆ กันแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ”
วันต่อมา
เกิ้ลเดินสะพายกระเป๋าเป้ลงมาจากชั้นบนตั้งแต่เช้ามืด อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นร่างบางกำลังยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว ในเมื่อเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าเวรแล้วจะตื่นมาตอนนี้ทำไมกันนะ? เอ่ยถามคนพี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการคนอะไรบางอย่างในหม้อบนเตาไฟฟ้า
“เจ๊ ทำไมตื่นเช้าจัง?”
“นึกขึ้นได้ว่าหมูสับจะหมดอายุ เลยรีบมาทำ”
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย จำได้ว่าเมื่อวานเพิ่งพลิกดูวันหมดอายุตอนทำอาหารเช้ามันเหลืออีกตั้งสามวันไม่ใช่เหรอ? หรือจำผิด? แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เดินเข้าไปประชิดด้านหลังพลางโอบกอดควีนที่ยังอยู่ในชุดนอนแล้วเอาคางเกยไหล่ อดไม่ได้ที่จะหันไปหอมแก้มนุ่มๆ
“นอนต่อเถอะ เดี๋ยวทำไว้ให้”
“ใกล้เสร็จแล้ว ไปนั่งรอเถอะ”
“เดี๋ยวฉันต้องไปแล้ว”
“อ้าว…”
ควีนเอื้อมมือไปปิดเตาก่อนจะหันกลับมาจ้องมองเกิ้ลที่ตอนนี้มองเธออย่างเศร้าสร้อย
“ฉันต้องรีบไปเตรียมตัวที่จุดนัดหมายของผู้ต้องสงสัยภายในหกโมงเช้า”
“....”
“จะรีบกลับมานะคะ”
เอื้อมมือไปกอดคนตรงหน้าไว้ ฝังปลายจมูกซุกเข้าที่ไหล่แล้วสูดกลิ่นหอมจนเต็มปอด อีกนานแค่ไหนไม่รู้กว่าภารกิจจะสำเร็จลุล่วง จะโดนยิงตายก่อนรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ยังไงขอให้กลิ่นหอมที่ชวนหลงใหลนี้ติดจมูกไปอีกสักพักแล้วกัน
เป็นครั้งแรกที่ควีนรู้สึกกลัวกับการที่ต้องเห็นใครสักคนออกไปปฏิบัติภารกิจ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือเพื่อนร่วมงาน ต่อให้ต้องลงไปพื้นที่เสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ในตอนนี้ทำได้แค่เพียงส่งใจภาวนาให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเท่านั้น
“ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ค่ะ”
“ถ้าจวนตัวให้รีบหนีออกมาเลยนะ”
เกิ้ลพยักหน้าหงึกหงักพลางจ้องมองใบหน้าสวยราวกับคิดอะไรอยู่ สักพักก็เอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่ควีนคะ”
“ว่า?”
“ขอจูบพี่ก่อนไปได้มั้ยคะ?”
อ่านตอนล่าสุดได้ที่ ReadAWrite นะคะ search ว่า ฝันนั้นฉันเป็นของเธอ << จิ้มได้เลยค่าา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in