เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝันนั้นฉันเป็นของเธอKSRENEBUNNY
Chapter 10: Hello tutorial
  • “ขอกอดได้มั้ยคะ? คิดถึง”

    ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางประหม่าจนคนพี่อดหัวเราะกับท่าทีเงอะงะของคนตรงหน้าไม่ได้ เมื่อเห็นควีนหัวเราะออกมาก็หน้าเหวอพลางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ มันน่าตลกตรงไหนกัน? แค่ขอกอดแค่นี้ ไม่ให้ก็แค่บอก ไม่เห็นต้องมาหัวเราะเยาะกันต่อหน้าขนาดนี้เลยนี่ จะทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้วนะ

    “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝันดี”

    ถอนหายใจพลางหันหลังกลับ แต่แล้วคนพี่ก็เปล่งเสียงหวานออกมาเพื่อเหนี่ยวรั้งเจ้าเด็กขี้น้อยใจไว้

    “ใครว่าไม่ได้ล่ะ? ”

    “....”

    ร่างสูงหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะเป็นควีนที่เดินก้าวออกมาจากห้องนอนแล้วโอบกอดร่างของคนน้องไว้ซะเอง กลิ่นหอมละมุนที่แสนคิดถึงและโหยหาตลอดสองเดือนที่ห่างกันมันทำให้เธอเกือบจะร้องไห้ออกมา หัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นแรงยิ่งกว่าตอนที่วิ่งในค่ายฝึกเป็นสิบๆ กิโลเมตรเลยด้วยซ้ำ

    เมื่อคนพี่เห็นว่าคนที่ขอกอดเธอยังยืนนิ่ง จึงเอ่ยปากถาม

    “อยากกอดไม่ใช่เหรอ? ก็กอดสิ”

    “อา...ค่ะ”

    รับคำพลางใช้สองแขนโอบกอดควีน พอได้ตั้งใจกอดแบบนี้แล้วก็รับรู้ได้ว่าเจ๊แกตัวเล็กจริงๆ ด้วย ผิวพรรณก็นุ่มนิ่มชวนให้สัมผัส แถมยังตัวหอมซะจนไม่อยากจะปล่อยไปไหน ก่อนจะหลับตาลงพลางซุกหน้าเข้าที่ไหล่แล้วสูดลมหายใจอย่างผ่อนคลาย ไม่นานนักเธอก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขนพลางก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างดังเดิม ยกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาแฝงความโดดเดี่ยวเอาไว้

    “ขอบคุณนะคะที่ให้กอด”

    “....”

    “อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้”

    ทอดสายตามองคนตรงหน้าที่ตอนนี้คิ้วขมวดยุ่ง สีหน้าที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคนพี่กำลังรู้สึกนึกคิดอะไรอยู่ แต่เดาจากสีหน้าก็คงจะโดนโกรธอีกแล้วสินะ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกจริงๆ เลยไอ้เกิ้ลเอ๊ย! เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นจึงตัดสินใจจบบทสนทนาเพราะไม่อยากได้รับคำด่าก่อนนอน

    “งั้นฝันดีนะคะ”

    หันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าห้อง แต่แล้วคนหน้าสวยด้านหลังก็เอ่ยเรียกชื่อ

    “เกิ้ล”

    “คะ? ”

    หันกลับมาจ้องมองคนพี่ที่ตอนนี้กำลังมองตอบกลับมาเช่นกัน เฮ้อ...หนีไม่พ้นที่จะโดนด่าสินะ เตรียมใจรับคำพูดเถอะไอ้เกิ้ล

    “เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้”

    “....”

    เพราะเธอยังมีฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคน

    เอ่ยพูดเสียงนุ่มพลางเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมหนาของคนน้องแล้วส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

    ผิดคาดแฮะ...ไม่ด่าแถมยังพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น พอได้เห็นรอยยิ้ม หัวใจดวงน้อยๆ ก็พลันกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเท่าไรนัก ก็เจ๊แกเวลาอยู่ในโหมดใจดีแล้วทำอะไรแบบนี้นี่มันไม่เคยอ่อนโยนต่อหัวใจเลยจริงๆ

    “อ่า...ข...ขอบคุณค่ะ”

    “ไปนอนได้แล้ว ฝันดี”

    “ฝันดีค่ะ”


    ยืนเหม่อมองตามหลังคนพี่ที่เดินเข้าห้องนอนไปแล้ว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แขนซ้ายถูกยกขึ้นก่ายหน้าผากอย่างใช้ความคิด นึกถึงคำพูดของควีนที่คุยกันบนรถก่อนจะไปค่ายฝึก

    ‘รู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้ ได้พูดคุย หัวเราะ หรือแม้กระทั่งตอนงอนกันเราก็อยากจะง้อเค้า เหมือนกับว่าจู่ๆ หัวใจก็เต้นเร็วอย่างไม่มีสาเหตุเพียงแค่เห็นเค้ายิ้มหรือทำตัวน่ารัก

    ตลอดระยะเวลาที่ห่างกัน ไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงผู้หญิงคนนี้ ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรนะ? เราชอบพี่ควีนจริงๆ แล้วใช่มั้ย? หรือจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบ พี่เค้าแค่ตัวหอมเฉยๆ?

    สะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดออกจากหัว แกบ้าป่ะไอ้เกิ้ล ใครจะไปใจเต้นแรงได้ตลอดวะ คิดอะไรโง่ๆ

    แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้อยากกอดคนตัวหอมอีกแล้ว เพียงแค่นึกถึงสัมผัส กลิ่นหอมละมุนจากเสื้อผ้าและผิวกาย สายตาในยามที่คนพี่จ้องมอง นึกถึงเสียง ถึงแม้จะเป็นเสียงแข็งๆ ซะส่วนใหญ่ก็เถอะ แค่นี้มันก็ทำให้ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว

    ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคือชอบใช่ป่ะ? เพราะถ้ามันใช่ ก็ไม่อยากจะปล่อยให้มันผ่านไปเพียงเพราะความโง่เขลาของตัวเองเหมือนตอนที่รู้สึกกับมะขามแล้ว

    หรือควรเดินไปถามเจ๊แกตรงๆ เลย?

    ‘พี่ควีนคะ คือฉันรู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ใกล้พี่’ ลิเกอ่ะ ไม่เอา

    เจ๊ ความรู้สึกแบบนี้มันคือชอบป่ะ? ’ นี่ก็ดูตรงเกิน ไม่ไหว

    ฉันเขินเวลาเห็นชุดชั้นในเจ๊อ่ะ มันคือชอบใช่ป่ะ? ’ อันนี้เข้าข่ายโรคจิตละ ปัดตกเถอะ

    “เฮ้อออออ”

    สรุปว่าชอบก็แล้วกัน แล้วมันต้องทำยังไงต่อล่ะ? ไม่เคยมีแฟนซะด้วยสิ ไม่รู้ต้องทำยังไง มือถือก็ไม่มีให้ไปค้นคว้า...เออใช่ เน็ตคาเฟ่ไง!!

    กำหมัดชูขึ้นบนอากาศอย่างผู้ชนะ ก่อนจะลดมือลงแล้วถอนหายใจออกมา

    แต่ไม่มีเงิน จะให้ไปขอเจ๊แกก็ยังไงๆ อยู่ เฮ้ออ...

    เฝ้าถามคำถามเดิมกับตัวเองเพื่อหาคำตอบตลอดทั้งคืนจนกระทั่งเข้าสู่นิทราโดยที่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน


    “อ้าวเจ๊ วันนี้ไม่ไปเข้าเวรเหรอ? ”

    เอ่ยปากถามควีนที่กำลังยืนหันหลังง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่เตาไฟฟ้า เธอเข้าครัวกะจะมาหาอะไรกินก่อนไปทำงานสักหน่อย แต่พอเห็นคนพี่ที่ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวนี่น่ารักจนหัวใจเต้นแรงจนเกือบลืมว่าจะเข้าครัวมาทำอะไร แกล้งเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องขึ้นมาเจาะดื่ม พร้อมทั้งพยายามบังคับสายตาที่คอยแต่จะวกกลับไปจ้องมองด้านหลังของคนโตกว่า

    “อือ วันนี้วันหยุด”

    “แล้วฉันมีวันหยุดป่ะ? ”

    “ต้องมีสิ แต่เธอเป็นสาย อาจจะไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเขา”

    ควีนหันมาเอ่ยพูดกับคนน้องที่รีบเฉไฉมองไปทางอื่นพลางเอื้อมมือไปทิ้งกล่องนมเปล่าลงถังขยะ

    “งั้นไปก่อนนะ”

    “กินข้าวก่อนสิ”

    “....”

    “ฉันทำข้าวต้มหมูไว้ให้”

    “อ๊ะ! ขอบคุณค่ะ”

    ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิดให้คนพี่ที่รีบหันกลับไปมองหม้อข้าวต้มบนเตา

    “ไปนั่งรอได้แล้ว”

    “ค่าาาา”

    ไม่นานนัก ข้าวต้มก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยเชฟแสนสวย หน้าตาข้าวต้มเรียกได้ว่าน่ากินเลยแหละ ดูดีกว่าที่เธอทำตั้งเยอะ ยกสองมือพนมพลางเอ่ยพูดเสียงใส

    “จะกินแล้วนะค้าาา”

    ควีนหัวเราะในลำคอแล้วส่ายหน้าเบาๆ มือเล็กเท้าคางพลางส่งสายตาเหม่อมองเจ้าเด็กน้อยที่กำลังจ้วงข้าวต้มกินอย่างเอร็ดอร่อย

    “ค่อยๆ กินก็ได้ ฉันไม่แย่งหรอก”

    “ก็เจ๊ทำอร่อยอ่ะ! มีอีกป่ะ? ”

    “มี อยู่ในหม้อ”


    เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการเติมอาหารเช้าที่ควีนทำให้ ทำเอาเกือบไปทำงานสาย เดือดร้อนมาถึงคนพี่ที่ต้องรีบขับรถไปส่งที่หน้าสถานีตำรวจ

    “ตั้งใจทำงานล่ะ”

    เอ่ยพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบแบงก์สีเทาจากในกระเป๋าสตางค์สีดำแล้วยื่นให้เกิ้ล

    “เอาติดตัวไว้ เผื่อหิว”

    “โหเจ๊ เหมือนมาส่งลูกน้อยไปโรงเรียนเลยอ่ะ”

    “พูดมาก”

    “ขอบคุณค่ะคุณแม่”

    ยกมือไหว้ควีนก่อนจะยื่นมือไปรับเงินไว้แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงสอง

    “คุณแม่ขา อยากหอมแก้มหนูก่อนไปด้วยมั้ยคะ? ”

    “พูดมาก! ลงไปได้แล้ว! ”

    ปากก็บ่นไล่นะ แต่พอสังเกตหน้าดีๆ แล้วเจ๊แกทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้มเก๊กขรึมซะมากกว่า แล้วไอ้หูที่แดงๆ นั่นคืออะไรอ่ะ? เขินงั้นเหรอ?

    ก้าวลงจากรถก่อนจะเคาะกระจกประตู ควีนจึงลดกระจกลง ส่งผลให้ร่างสูงก้มลงเพื่อมองคนพี่ได้ถนัดแล้วเอ่ยปากเรียก

    “เจ๊”

    “มีอะไรรีบๆ พูดมา เดี๋ยวก็สาย”

    “ตอนเย็นไม่ต้องมารับนะ ฉันกลับเองได้”

    “พูดมาก! เข้าไปได้แล้ว”

    ไม่รอให้ได้ต่อล้อต่อเถียง เจ๊แกก็รีบบึ่งรถออกจากหน้าสน. ไปเลย


    เดินเข้าไปหาผู้กำกับที่ห้องทำงาน หลังจากได้รับมอบหมายภารกิจออกสังเกตการณ์ร้านสะดวกซื้อที่คาดว่าเป็นจุดเสี่ยงที่คนร้ายจะบุกปล้นในครั้งต่อไป ผู้กำกับหน้าสวยได้อธิบายรายละเอียดของคดีคร่าวๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อสงสัยจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม

    “ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นใช่มั้ยคะ? ”

    “เป็นค่ะ”

    ผู้กำกับยื่นกุญแจรถให้เกิ้ลที่ยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะบอกจุดจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าและท่าทางที่เห็นใจ

    “วันนี้รถสายตรวจเอาไปลงพื้นที่หมดแล้ว ลำบากหน่อยนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่าน ปกติฉันขี่บิ๊กไบค์อยู่แล้ว”

    ผู้กำกับคนสวยได้แต่ยกยิ้มบางๆ ให้แล้วกล่าวอวยพรให้กับสมาชิกใหม่

    “งั้นขอให้วันนี้โชคดีแล้วกันนะคะ”


    “ตื่นเต้นเป็นบ้า”

    พูดพึมพำคนเดียวพลางก้าวเดินไปยังจุดจอดข้างสถานี ฝันอยากจะลองขี่บิ๊กไบค์ตำรวจมานานแล้ว คงเท่ไม่ใช่น้อย

    ก่อนจะหยุดชะงักฝีเท้าแทบจะทันทีที่เดินเลี้ยวไปถึงที่หมาย สายตากวาดมองแต่ก็ไม่เจอสิ่งที่กำลังหา เอ่ยพึมพำกับตัวเองทวนคำพูดของผู้กำกับวศิกานต์

    “เดินลงจากโรงพักเลี้ยวขวาแล้วก็ซ้าย...ก็ถูกนี่”

    เดินวนหารอบสถานี แต่ก็ไม่เจอบิ๊กไบค์สักคัน วกกลับมาที่จุดจอดมอเตอร์ไซค์ที่ผู้กำกับวศิกานต์บอกก่อนหน้า มองไปรอบๆ อีกครั้ง เห็นเพียงจักรยานจอดอยู่ 4-5 คันและ…

    “เวสป้าเนี่ยนะ? ”

    ยืนกุมขมับพลางส่ายหน้าเบาๆ ให้ขี่เวสป้าสีเขียวซีดๆ มีรอยกระดำกระด่างเต็มคันไปไล่จับโจรเนี่ยนะ? ถามจริง? เอาไว้ขนผ้าแถวพาหุรัดน่าจะรุ่งกว่านะสภาพนี้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ระหว่างจักรยานกับเวสป้า ยังไงรถเครื่องมันก็ต้องดีกว่าแหละว้า

    “เอาวะ ลองดู”

    ขึ้นคร่อมยานพาหนะคันเก่าแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขี่ออกจากสถานีตำรวจไป


    สายลมหนาวโชยเอื่อยพัดผ่านร่างในยามที่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์...มันเป็นได้เพียงแค่สิ่งที่คิดไว้ในจินตนาการ เพราะความเป็นจริงคือไอ้เจ้าเวสป้าคันเก่านี้ทำเอาเกิ้ลหัวเสียจนแทบจะจอดทิ้งไว้ข้างทาง บิดไม่สะใจไม่ว่า พ่นควันขาวออกมาเหมือนร้านไก่ย่างส้มตำก็ไม่บ่น แต่นี่มันเหมือนเข็นมากกว่าขี่อีกนะเฮ้ย!! เผลอๆ เวสป้าแถวพาหุรัดยังแรงกว่าด้วยซ้ำ แถมบิดๆ ไปเกิดเหนื่อยขึ้นมาเครื่องยนต์ก็เข้าสู่นิพพานดับไปซะดื้อๆ

    “โว้ยยยยยย อะไรกันนักหนาวะเนี่ย!! ”

    ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด นี่มันรอบที่ห้าแล้วที่เวสป้าเส็งเคร็งนี่เกิดอยากจะลาโลกไปเฉยๆ เสยผมยาวพลางยืนทะเลาะกับมอเตอร์ไซค์คันเก่าอยู่คนเดียวที่ริมฟุตบาทข้างทาง

    “แกจะเอายังไงกับฉันห๊ะ? ”

    ยืนบ่นไปสักพักก็นึกขึ้นได้ นี่มันกี่โมงแล้วนะ? จากที่ต้องรีบไปสังเกตการณ์แต่กลับต้องมายืนโง่ๆ ทะเลาะกับมอเตอร์ไซค์สิ้นชีพแบบนี้ ระยะทางจากจุดที่ยืนอยู่ไปร้านสะดวกซื้อเกือบห้ากิโลเมตร แต่ถ้ามัวแต่หวังพึ่งเจ้าเศษเหล็กคันนี้ได้โดนเด้งออกจากงานตั้งแต่วันแรกที่ออกสังเกตการณ์คนเดียวเป็นแน่แท้

    คิดได้ดังนั้นจึงดึงกุญแจออก ถึงแม้ว่าเสียบคาไว้ก็ไม่มีใครกล้าขโมยหรอกแต่ปลอดภัยไว้ก่อน แล้วเริ่มออกวิ่งไปยังจุดหมาย


    ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็มาถึงแถวร้านสะดวกซื้อด้วยสภาพร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากไม่ได้ผ่านการฝึกพิเศษและวิ่งปาร์กัวร์อยู่แล้ว คงจะพ่ายแพ้ต่อระยะทางจริงๆ

    เดินเข้าร้านสะดวกซื้อพลางมองหาตู้แช่โคล่าเพื่อดื่มดับกระหาย ก่อนจะลอบสังเกตลูกค้าแต่ละคนในร้าน และไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์ไว้อ่านในขณะที่สังเกตการณ์นอกร้าน แล้วก็เจอบุคคลน่าสงสัย สายตาของหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งพยายามกวาดตามองไปรอบๆ ร้านอย่างมีพิรุธ ทำเอาหัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น หรือว่าคนนี้เป็นคนร้าย? หากแต่หญิงสาวคนนั้นกลับเดินไปหยิบลูกอมรสมินต์พลางเอ่ยพูดคนเดียว

    “อยู่นี่เอง”

    เธอคนนั้นหิ้วตะกร้าไปคิดเงินที่แคชเชียร์แล้วออกเดินจากร้านไป เมื่อจ่ายเงินเสร็จเกิ้ลก็เดินข้ามฝั่งไปนั่งที่ม้านั่ง

    หลังจากแกะโคล่าดื่มพร้อมทั้งทำเสียงซ่าประหนึ่งเป็นนางแบบน้ำอัดลมในโฆษณาเสร็จแล้ว แกล้งกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน ลอบสังเกตคนที่เดินเข้าร้าน รวมถึงบริเวณรอบๆ ร้านจนใกล้เวลาพลบค่ำ ลุกขึ้นยืนก่อนจะยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งมาเป็นเวลานาน แล้วเริ่มวิ่งเหยาะๆ กลับไปหาเวสป้ารุ่นคุณย่าที่จอดทิ้งไว้เมื่อเช้า


    กว่าจะกลับมาถึงสถานีตำรวจได้ทำเอาเกิ้ลถึงกับอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ และสาบานกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีทางขี่มอเตอร์ไซค์อีกหากไม่ใช่บิ๊กไบค์ ประสบการณ์ในวันนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรไว้ใจยานพาหนะใดที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอจะยอมขับรถและอดทนกับรถติดแล้วจริงๆ ให้ตายเถอะ

    หลังจากที่รายงานความคืบหน้าให้ผู้กำกับรับทราบเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาจากสถานี รถเก๋งสีเทาที่คุ้นตาจอดรออยู่ก่อนแล้ว เอื้อมมือไปเปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที

    “ไงเด็กใหม่ ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง? ”

    “ดี”

    “ก็ดีแล...”

    “ดีก็เหี้ยละ! เจ๊รู้ป่ะ ไอ้เวสป้าที่ฉันขี่อ่ะ ซาเล้งเก็บขวดยังไวกว่าอีก ไม่พอนะรถมันติดๆ ดับๆ แถมพ่นควันออกมาซะเหมือนร้านขายไส้ย่าง แล้วฉันต้องวิ่งเกือบห้าโลจนจั๊กกะแร้เปียกเพื่อไปให้ทันสังเกตการณ์ คิดเอาละกัน”

    สาธยายยาวเหยียดให้คนพี่ฟังทันทีด้วยความคับแค้นใจ ทำเอาควีนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นรถในความซวยซับซ้อนของเกิ้ล คนพี่เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ไหลออกมาหลังจากการหัวเราะ

    “แล้วทำไมไม่ขับรถ? ”

    “ผู้กำกับบอกว่าสายตรวจเอารถไปลงพื้นที่หมด”

    “แล้วทำไมไม่โทรบอกฉัน? ”

    “ก็วันหยุดเจ๊ ไม่เป็นไรหรอก”

    “งั้นก็อย่าบ่น”

    เจ๊แกเล่นตัดบทไปซะดื้อๆ ถ้ารำคาญแล้วจะถามกันทำไมล่ะหืม? ยื่นหน้าไปจ่อที่แอร์รถเพื่อดับร้อน ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะแล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


    “ตื่นได้แล้ว”

    เอื้อมมือไปเขย่าตัวเบาๆ เพื่อปลุกคนน้องให้ตื่นจากห้วงนิทรา ร่างสูงยกมือขึ้นขยี้ตาพลางบิดขี้เกียจไปหนึ่งที มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเป็นลานจอดรถจึงหันไปเอ่ยปากถาม

    “อ้าว ไม่ได้ไปกินร้านเดิมเหรอ? ”

    “เปลี่ยนบ้าง เบื่อแล้ว”

    เกิ้ลจึงเดินตามคนพี่เข้าห้าง สายตาจ้องมองชุดที่ควีนใส่จากทางด้านหลังอย่างพิจารณา เสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงเอวสูงสีขาว ที่ไหล่มีกระเป๋าสะพายสีแดงตัดกับชุด รองเท้าส้นสูงสีแดงถูกสวมให้กับเท้าเล็ก ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกปล่อยสยายเต็มกลางหลัง แค่มองด้านหลังใจก็เต้นแรงได้อ่ะคิดดู คนบ้าอะไรขนาดมองแค่ข้างหลังยังสวย

    ควีนพาเกิ้ลเข้าร้านอาหารเกาหลี ซึ่งร่างสูงก็เลือกสั่งอาหารที่ราคาถูกที่สุดเพราะไม่อยากจะให้คนตรงหน้าต้องรับภาระค่าใช้จ่ายไปมากกว่านี้ ลำพังแค่ที่ให้ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ถึงสวัสดิการจะดีมากแต่เงินเดือนตำรวจก็ไม่ได้จะเยอะแยะอะไร ถ้าหากไม่ได้ไปโกงกินชาวบ้านเขาน่ะนะ

    หลังจากกินข้าวที่ร้านอาหารเกาหลีจนเสร็จ ก็ได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งจากมื้อนี้คือ ดูเจ๊แกจะชอบต๊อกบกกีซะเหลือเกิน จริงๆ มันก็แค่โรลแป้งในน้ำแกงส้มมั้ยอ่ะ มันอร่อยตรงไหน? อร่อยถึงขนาดสั่งเบิ้ลทั้งๆ ที่ปกติก็ดูเป็นคนกินไม่ค่อยเยอะ คงต้องหัดทำอาหารเกาหลีตอบแทนบ้างซะแล้วสิ

    เดินตามร่างบางที่เดินเลี้ยวเข้าช็อปขายโทรศัพท์มือถือก่อนจะทำหน้างง เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยพลางเอ่ยปากถาม

    “เจ๊ มือถือพังเหรอ? ”

    “....”

    เหมือนยืนคุยกับนางกวักที่อยู่บนหิ้งที่หน้าร้านเพราะเจ๊แกไม่เอ่ยตอบอะไรเธอสักคำ แต่ก็ช่างเถอะ มีหน้าที่แค่รอเท่านั้น

    “อ่ะ เอาไปซะ”

    เอ่ยพูดพลางยื่นถุงกระดาษให้หลังจากที่เดินออกมาจากร้าน ร่างสูงเอื้อมมือรับด้วยสีหน้าพิศวง

    “อะไรอ่ะ? ”

    “ก็แกะดูสิ”

    เปิดถุงกระดาษก่อนจะหยิบกล่องโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วยื่นส่งคืนให้ควีน

    “ไม่เอาอ่ะ เจ๊เก็บไว้เถอะ”

    “ก็ตั้งใจซื้อให้เธอ จะมาให้ฉันเก็บทำไม? ”

    “แล้วมันเปลืองเงินมั้ยล่ะ? ”

    “ฉันจะได้โทรตามตัวได้ไง”

    แล้วเจ๊แกก็เดินไปเฉยเลย เฮ้อ...แก่แล้วยังเอาแต่ใจแถมยังปากแข็งอีก มาแบบนี้คงตั้งใจซื้อไว้ให้โทรบอกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินซะมากกว่ามั้งเนี่ย หึ...แอบเป็นห่วงเราล่ะสิท่า

    เดินตามคนพี่กลับไปที่รถพลางยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว


    ก๊อกๆๆ

    ร่างสูงเคาะประตูห้องควีนเพื่อที่จะส่งถาดเหยือกน้ำให้เช่นเคย อึดใจเดียวเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา ภาพเบื้องหน้าทำเอามือไม้อ่อนแรงจนเกือบจะปล่อยถาดหลุดร่วงลงพื้น ผมยาวที่เพิ่งผ่านการสระมาหมาดๆ กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวตัวโคร่งสำหรับใส่นอนนั้นทำเอาหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที รีบหลุบตาลงต่ำก่อนจะเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เก็บอาการหน่อยสิวะไอ้เกิ้ล!

    “ฉ...ฉันเอาน้ำมาให้”

    “ขอบใจ”

    กล่าวขอบคุณพลางรับถาดไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง หัวใจที่เต้นโครมครามจนรู้สึกเจ็บแปลบของเกิ้ลไม่เคยโกหกความรู้สึกที่แท้จริงได้ จึงตัดสินใจเอ่ยปากเรียกคนพี่ในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะปิดประตู

    “พี่ควีนคะ”

    คนโตกว่าจึงเปิดประตูให้กว้างขึ้นพลางมองด้วยความสงสัย

    “ว่า? ”

    “จำที่ฉันเคยถามได้ป่ะ? ”

    “ถามอะไรล่ะ? เธอถามฉันตั้งเยอะ”

    ยืนพิงขอบประตูพลางกอดอกแล้วจ้องมองคนน้องที่ขยี้ผมตัวเองเล็กน้อย

    “เฮ้อ...เจ๊ชอบขัดซีนตลอดเลยอ่ะ”

    “ก็เธ…”

    “ที่ถามว่ามีแฟน มีความรักแล้วมันต้องรู้สึกยังไง”

    “อือ จำได้”

    “ฉ...ฉันคิดว่าฉันกำลังมีความรัก”

    จู่ๆ ก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นไปมองสบตาคนตรงหน้า เพราะถ้าหากเงยหน้าขึ้นไปล่ะก็...คงจะพูดไม่ออกแน่ๆ มือไม้ที่เคยมีประโยชน์แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเกะกะจนต้องเอามาบี้ชายเสื้อตัวเองเล่นเพื่อหาจุดโฟกัส

    “แล้ว? ”

    “เอ่อคือ...ฉัน...คิดว่าฉันชอบพี่ควีนค่ะ”

    “....”

    “เพราะทุกครั้งที่เห็นพี่ทำตัวน่ารัก ใจฉันเต้นแรงตลอด”

    “....”

    “ไม่ใช่สิ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่ ใจมันเต้นแรงตลอดเลย”

    เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่เอ่ยตอบอะไรออกมาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าคนพี่กำลังตั้งใจฟังอยู่ รีบเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าความกล้าทั้งหมดมันจะมลายหายไปหากเพียงสบสายตานานกว่านี้อีกเพียงแค่วินาทีเดียว

    “แต่ฉันไม่เคยมีแฟน ไม่รู้จะเริ่มยังไง หรือแสดงออกมายังไง”

    “....”

    “พี่ควีนช่วยบอกวิธีจีบพี่ให้ฉันรู้หน่อยได้มั้ยคะ? ”

    หันกลับไปมองควีนที่ตอนนี้เสยผมยาว ร่างบางเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม

    “ให้ฉันสอนวิธีจีบตัวเองเนี่ยนะ? ”

    “อ่า...ใช่ค่ะ”

    พยักหน้าเล็กน้อยอย่างยอมจำนนกับความกากของตัวเอง เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีของคนตรงหน้า ควีนจึงหัวเราะออกมาทันทีจนเกิ้ลถึงกับหน้าเสีย

    “เธอนี่ตลกเป็นบ้า”

    “ก็ฉันไม่รู้นี่! ”

    ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้ามาประชิดตัวของเกิ้ลที่ยืนแข็งทื่อเหมือนโดนคำสาป ค่อยๆ เอื้อมมือเล็กเข้าประคองใบหน้าเรียวไว้ก่อนจะส่งริมฝีปากบางเข้าไปจุมพิตเบาๆ ที่แก้มด้านขวาแล้วเลื่อนไปกระซิบเสียงหวานข้างๆ หู จนเกิ้ลเผลอกลั้นหายใจด้วยความประหม่าเพราะระยะห่างของใบหน้าทั้งสองนั้นห่างกันเพียงไม่กี่มิล

    ไม่เห็นต้องให้ฉันสอนเลย ทำตามที่หัวใจเธอต้องการแค่นั้นก็พอ

    เลื่อนมือขึ้นไปลูบกลุ่มผมนุ่มของคนตรงหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู เกิ้ลจึงโอบกอดควีนพลางซุกใบหน้าเรียวเข้าที่ไหล่ซ้ายแล้วสูดดมกลิ่นหอมที่คิดถึงมาตลอดทั้งวัน โดยมีมือเล็กๆ เอื้อมมากอดตอบเธอเช่นกัน

    “ขอบคุณสำหรับแนะนำนะคะ”

    “ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ”

    ผละออกจากอ้อมกอดของคนน้อง ก่อนจะหันมาคลี่รอยยิ้มหวานให้แล้วปิดประตูไป เกิ้ลยังคงยืนเหม่อมองประตูสีขาวอยู่ มือถูกเอื้อมไปแตะบริเวณที่โดนจุมพิตที่แก้มเมื่อครู่แล้วฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด

    พี่ควีนโคตรน่ารักเลยว่ะ


    เกิ้ลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเช้า หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ศึกษาวิธีทอดไข่ดาวผ่านทางชาแนลทำอาหาร ควีนที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นคนน้องกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาก็อดเอ่ยปากแซวไม่ได้

    “จะเผาบ้านฉันอีกแล้วสินะ”

    “เจ๊อย่าใส่ร้ายดิ! ไปนั่งรอเลย”

    คนพี่แค่นหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งรอแต่โดยดี ไม่นานนักร่างสูงก็ยกจานมาวางไว้ตรงหน้า

    “มื้อเช้าแสนอร่อยมาแล้วค่าาา”

    “....”

    “แต่กินแล้วแอดมิทมั้ยก็อีกเรื่องนะค้าาา”

    ควีนหลุดขำออกมากับความทะเล้นของเกิ้ล จริงๆ หน้าตาอาหารเช้ารอบนี้ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว มีทั้งไข่ดาว ไส้กรอกและแฮมเกรียมๆ นิดหน่อยแต่ก็ยังพอกินได้ ไหนจะขนมปังปิ้งที่ทาแยมองุ่นไว้ให้เสร็จสรรพ ช่างเอาใจเหมือนกันนะเจ้าเด็กคนนี้

    “กินเร็วๆ สิ! ”

    ร่างบางใช้มีดหั่นแฮมขอบเกรียมพลางส่งสายตาไปมองเกิ้ลที่ตอนนี้นั่งจ้องเธออยู่ ใช้ส้อมจิ้มแฮมเข้าปาก

    “อือ ใช้ได้”

    “เย้!! ”

    ชูสองมือขึ้นเหนือหัวราวกับตัวเองเพิ่งจะชนะกีฬาระดับโลกมา สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่ารู้สึกดีใจมากจนคนพี่อดยิ้มตามไม่ได้

    “นึกว่าจะกินไม่ได้ซะแล้ว”

    “แล้วเธอไม่กินเหรอ? ”

    “ฉันกินอันที่ทดลองทำไปหมดแล้ว กว่าจะได้แบบนี้ก็หมดแฮมไปเกือบถุงแหน่ะ แหะๆ ”

    “ขอบใจนะ”


    นั่งรอให้คนหน้าสวยกินจนเสร็จก็รีบยกจานไปเก็บล้าง ก่อนจะเอ่ยปากขอ

    “เจ๊ ขอขับรถแทนได้ป่ะ? ”

    “ทำไม? ”

    “อยากให้เจ๊นั่งสบายๆ บ้างอ่ะ”

    พูดด้วยสีหน้าเว้าวอน แล้วทั้งสองก็ยืนเถียงกันว่าใครจะเป็นคนขับรถไปสักพักจนในที่สุดเกิ้ลก็ต้องยอมแพ้เพราะตัวเองยังไม่ชำนาญเส้นทางเท่าไรนัก

    สายตาทอดมองร่างของควีนที่กำลังเดินตรงไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะรีบก้าวตามแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด

    “อะไรของเธอ? ”

    “ขอกอดก่อน”

    ควีนดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด เกิ้ลจึงก้มลงไปหอมที่แก้มขวาฟอดหนึ่ง คนถูกขโมยหอมถึงกับทำตาโต คิ้วขมวดเล็กน้อย

    “นี่!! ”

    “ทีเมื่อคืนเจ๊ยังขโมยหอมฉันได้เลย”

    “ฉันไม่ได้ขโมย!! ”

    เกิ้ลเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มราวกับกำลังล้อเลียนคนตรงหน้า

    “เจ้าหัวขโมย”

    “ฉัน ไม่ได้ ขโมย!! ”

    เอ่ยเน้นย้ำคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง หากแต่เจ้าเด็กตาตี่ไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด

    เห็นเจ๊แกเขินนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ งั้นขออีกสักนิดละกัน

    กดจูบลงบนกลุ่มผมหอมของร่างบางที่ใช้มือเล็กทุบแขนเบาๆ พลางเอ่ยพูดเสียงแข็ง

    “พอแล้ว!! ”

    “พี่ควีนน่ารักจัง”

    “พูดมาก!! ”

    สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเกิ้ลก่อนจะรีบเดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถทันที เนี่ย...อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วแต่เวลาเขินนี่โคตรน่ารักเลยอ่ะ!

    ช่วยไม่ได้นะพี่ควีน พี่เป็นคนบอกเองว่าให้ฉันทำตามที่หัวใจต้องการ

    ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป


    ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งสังเกตการณ์อยู่ในรถไปได้พักใหญ่ คนน้องก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

    “เจ๊”

    “จะเลิกเรียกเจ๊ได้ยัง? ”

    “เจ๊ก็ไปเกิดใหม่ให้เด็กกว่าฉันสิ”

    เพี้ยะ!!

    ยกมือขึ้นลูบต้นแขนไปมา มือหนักเป็นบ้า ฟาดมาที่แขนแต่ละทีนี่แขนแทบหัก

    “เจ็บนะเนี่ย! ”

    “ก็ตีให้เจ็บ จะได้เลิกเรียนฉันว่าเจ๊สักที”

    “เจ๊...พี่ควีน”

    รีบเปลี่ยนสรรพนามทันทีเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของควีนที่ส่งตรงมาให้

    “มีอะไร? ”

    “ฉันหิวอ่ะ ขอลงไปซื้อขนมก่อนนะ”

    “มีเงินรึเปล่า? ”

    หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแต่เกิ้ลรีบเอื้อมมาจับมือเพื่อห้ามไว้ ก่อนจะต่อล้อต่อเถียงกันอีกสักพักจนร่างบางต้องเอ่ยปากไล่เจ้าเด็กกวนประสาทให้รีบลงไปซื้อของ


    เกิ้ลเดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อแล้วเดินไปหยิบแซนด์วิชที่ชั้นสองห่อ นั่งกันตั้งนานพี่เค้าคงจะเริ่มหิวแล้วมั้ง สายตาพลันสังเกตเห็นผู้หญิงวัยรุ่นคนเดิม หากแต่คราวนี้มากับชายฉกรรจ์อีกสองคน เดาได้ทันทีว่าเมื่อวานที่เห็นคือมาดูลาดเลาจริงๆ

    คนร้ายทั้งหมดใส่หมวกแก๊ปกับผ้าปิดปากไว้เพื่ออำพรางใบหน้า เธอจึงรีบใช้สายตากวาดมองรอบๆ ตัวเพื่อประเมินสถานการณ์ทันที ในร้านสะดวกซื้อนี้หากตัดผู้ต้องสงสัยออกก็เหลือแคชเชียร์หนึ่งคน กับสองแม่ลูกที่กำลังยืนเลือกซื้อขนมอยู่ ถึงแม้จะผ่านการฝึกพิเศษมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ในสถานการณ์จริง นั่นหมายถึงต้องแบกความรับผิดชอบชีวิตคนอื่นไว้ด้วย ให้เอาผู้บริสุทธิ์มาเสี่ยงด้วยไม่ได้หรอก ในใจได้แต่หวังให้ควีนที่รออยู่ข้างนอกจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ และก็เป็นดั่งใจหวัง เพียงแค่อึดใจเดียวร่างบางก็เปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมกับที่คนร้ายทั้งสามควักปืนออกมาจากข้างเอวพลางตะโกนเสียงดังลั่นร้าน

    “ทุกคนอย่าขยับ!! ”


    ในนี้จะลงตอนไว้น้อยกว่าใน ReadAWrite 4 ตอนนะคะ

    ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in