“ขอกอดได้มั้ยคะ? คิดถึง”
ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางประหม่าจนคนพี่อดหัวเราะกับท่าทีเงอะงะของคนตรงหน้าไม่ได้ เมื่อเห็นควีนหัวเราะออกมาก็หน้าเหวอพลางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ มันน่าตลกตรงไหนกัน? แค่ขอกอดแค่นี้ ไม่ให้ก็แค่บอก ไม่เห็นต้องมาหัวเราะเยาะกันต่อหน้าขนาดนี้เลยนี่ จะทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้วนะ
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝันดี”
ถอนหายใจพลางหันหลังกลับ แต่แล้วคนพี่ก็เปล่งเสียงหวานออกมาเพื่อเหนี่ยวรั้งเจ้าเด็กขี้น้อยใจไว้
“ใครว่าไม่ได้ล่ะ? ”
“....”
ร่างสูงหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะเป็นควีนที่เดินก้าวออกมาจากห้องนอนแล้วโอบกอดร่างของคนน้องไว้ซะเอง กลิ่นหอมละมุนที่แสนคิดถึงและโหยหาตลอดสองเดือนที่ห่างกันมันทำให้เธอเกือบจะร้องไห้ออกมา หัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นแรงยิ่งกว่าตอนที่วิ่งในค่ายฝึกเป็นสิบๆ กิโลเมตรเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคนพี่เห็นว่าคนที่ขอกอดเธอยังยืนนิ่ง จึงเอ่ยปากถาม
“อยากกอดไม่ใช่เหรอ? ก็กอดสิ”
“อา...ค่ะ”
รับคำพลางใช้สองแขนโอบกอดควีน พอได้ตั้งใจกอดแบบนี้แล้วก็รับรู้ได้ว่าเจ๊แกตัวเล็กจริงๆ ด้วย ผิวพรรณก็นุ่มนิ่มชวนให้สัมผัส แถมยังตัวหอมซะจนไม่อยากจะปล่อยไปไหน ก่อนจะหลับตาลงพลางซุกหน้าเข้าที่ไหล่แล้วสูดลมหายใจอย่างผ่อนคลาย ไม่นานนักเธอก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขนพลางก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างดังเดิม ยกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาแฝงความโดดเดี่ยวเอาไว้
“ขอบคุณนะคะที่ให้กอด”
“....”
“อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้”
ทอดสายตามองคนตรงหน้าที่ตอนนี้คิ้วขมวดยุ่ง สีหน้าที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคนพี่กำลังรู้สึกนึกคิดอะไรอยู่ แต่เดาจากสีหน้าก็คงจะโดนโกรธอีกแล้วสินะ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกจริงๆ เลยไอ้เกิ้ลเอ๊ย! เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นจึงตัดสินใจจบบทสนทนาเพราะไม่อยากได้รับคำด่าก่อนนอน
“งั้นฝันดีนะคะ”
หันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าห้อง แต่แล้วคนหน้าสวยด้านหลังก็เอ่ยเรียกชื่อ
“เกิ้ล”
“คะ? ”
หันกลับมาจ้องมองคนพี่ที่ตอนนี้กำลังมองตอบกลับมาเช่นกัน เฮ้อ...หนีไม่พ้นที่จะโดนด่าสินะ เตรียมใจรับคำพูดเถอะไอ้เกิ้ล
“เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้”
“....”
“เพราะเธอยังมีฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคน”
เอ่ยพูดเสียงนุ่มพลางเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมหนาของคนน้องแล้วส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ผิดคาดแฮะ...ไม่ด่าแถมยังพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น พอได้เห็นรอยยิ้ม หัวใจดวงน้อยๆ ก็พลันกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเท่าไรนัก ก็เจ๊แกเวลาอยู่ในโหมดใจดีแล้วทำอะไรแบบนี้นี่มันไม่เคยอ่อนโยนต่อหัวใจเลยจริงๆ
“อ่า...ข...ขอบคุณค่ะ”
“ไปนอนได้แล้ว ฝันดี”
“ฝันดีค่ะ”
ยืนเหม่อมองตามหลังคนพี่ที่เดินเข้าห้องนอนไปแล้ว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แขนซ้ายถูกยกขึ้นก่ายหน้าผากอย่างใช้ความคิด นึกถึงคำพูดของควีนที่คุยกันบนรถก่อนจะไปค่ายฝึก
‘รู้สึกดีเวลาได้อยู่ใกล้ ได้พูดคุย หัวเราะ หรือแม้กระทั่งตอนงอนกันเราก็อยากจะง้อเค้า เหมือนกับว่าจู่ๆ หัวใจก็เต้นเร็วอย่างไม่มีสาเหตุเพียงแค่เห็นเค้ายิ้มหรือทำตัวน่ารัก’
ตลอดระยะเวลาที่ห่างกัน ไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงผู้หญิงคนนี้ ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรนะ? เราชอบพี่ควีนจริงๆ แล้วใช่มั้ย? หรือจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบ พี่เค้าแค่ตัวหอมเฉยๆ?
สะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดออกจากหัว แกบ้าป่ะไอ้เกิ้ล ใครจะไปใจเต้นแรงได้ตลอดวะ คิดอะไรโง่ๆ
แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้อยากกอดคนตัวหอมอีกแล้ว เพียงแค่นึกถึงสัมผัส กลิ่นหอมละมุนจากเสื้อผ้าและผิวกาย สายตาในยามที่คนพี่จ้องมอง นึกถึงเสียง ถึงแม้จะเป็นเสียงแข็งๆ ซะส่วนใหญ่ก็เถอะ แค่นี้มันก็ทำให้ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว
ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคือชอบใช่ป่ะ? เพราะถ้ามันใช่ ก็ไม่อยากจะปล่อยให้มันผ่านไปเพียงเพราะความโง่เขลาของตัวเองเหมือนตอนที่รู้สึกกับมะขามแล้ว
หรือควรเดินไปถามเจ๊แกตรงๆ เลย?
‘พี่ควีนคะ คือฉันรู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ใกล้พี่’ ลิเกอ่ะ ไม่เอา
‘เจ๊ ความรู้สึกแบบนี้มันคือชอบป่ะ? ’ นี่ก็ดูตรงเกิน ไม่ไหว
‘ฉันเขินเวลาเห็นชุดชั้นในเจ๊อ่ะ มันคือชอบใช่ป่ะ? ’ อันนี้เข้าข่ายโรคจิตละ ปัดตกเถอะ
“เฮ้อออออ”
สรุปว่าชอบก็แล้วกัน แล้วมันต้องทำยังไงต่อล่ะ? ไม่เคยมีแฟนซะด้วยสิ ไม่รู้ต้องทำยังไง มือถือก็ไม่มีให้ไปค้นคว้า...เออใช่ เน็ตคาเฟ่ไง!!
กำหมัดชูขึ้นบนอากาศอย่างผู้ชนะ ก่อนจะลดมือลงแล้วถอนหายใจออกมา
แต่ไม่มีเงิน จะให้ไปขอเจ๊แกก็ยังไงๆ อยู่ เฮ้ออ...
เฝ้าถามคำถามเดิมกับตัวเองเพื่อหาคำตอบตลอดทั้งคืนจนกระทั่งเข้าสู่นิทราโดยที่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน
“อ้าวเจ๊ วันนี้ไม่ไปเข้าเวรเหรอ? ”
เอ่ยปากถามควีนที่กำลังยืนหันหลังง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่เตาไฟฟ้า เธอเข้าครัวกะจะมาหาอะไรกินก่อนไปทำงานสักหน่อย แต่พอเห็นคนพี่ที่ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวนี่น่ารักจนหัวใจเต้นแรงจนเกือบลืมว่าจะเข้าครัวมาทำอะไร แกล้งเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องขึ้นมาเจาะดื่ม พร้อมทั้งพยายามบังคับสายตาที่คอยแต่จะวกกลับไปจ้องมองด้านหลังของคนโตกว่า
“อือ วันนี้วันหยุด”
“แล้วฉันมีวันหยุดป่ะ? ”
“ต้องมีสิ แต่เธอเป็นสาย อาจจะไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นเขา”
ควีนหันมาเอ่ยพูดกับคนน้องที่รีบเฉไฉมองไปทางอื่นพลางเอื้อมมือไปทิ้งกล่องนมเปล่าลงถังขยะ
“งั้นไปก่อนนะ”
“กินข้าวก่อนสิ”
“....”
“ฉันทำข้าวต้มหมูไว้ให้”
“อ๊ะ! ขอบคุณค่ะ”
ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิดให้คนพี่ที่รีบหันกลับไปมองหม้อข้าวต้มบนเตา
“ไปนั่งรอได้แล้ว”
“ค่าาาา”
ไม่นานนัก ข้าวต้มก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยเชฟแสนสวย หน้าตาข้าวต้มเรียกได้ว่าน่ากินเลยแหละ ดูดีกว่าที่เธอทำตั้งเยอะ ยกสองมือพนมพลางเอ่ยพูดเสียงใส
“จะกินแล้วนะค้าาา”
ควีนหัวเราะในลำคอแล้วส่ายหน้าเบาๆ มือเล็กเท้าคางพลางส่งสายตาเหม่อมองเจ้าเด็กน้อยที่กำลังจ้วงข้าวต้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ค่อยๆ กินก็ได้ ฉันไม่แย่งหรอก”
“ก็เจ๊ทำอร่อยอ่ะ! มีอีกป่ะ? ”
“มี อยู่ในหม้อ”
เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการเติมอาหารเช้าที่ควีนทำให้ ทำเอาเกือบไปทำงานสาย เดือดร้อนมาถึงคนพี่ที่ต้องรีบขับรถไปส่งที่หน้าสถานีตำรวจ
“ตั้งใจทำงานล่ะ”
เอ่ยพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบแบงก์สีเทาจากในกระเป๋าสตางค์สีดำแล้วยื่นให้เกิ้ล
“เอาติดตัวไว้ เผื่อหิว”
“โหเจ๊ เหมือนมาส่งลูกน้อยไปโรงเรียนเลยอ่ะ”
“พูดมาก”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
ยกมือไหว้ควีนก่อนจะยื่นมือไปรับเงินไว้แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงสอง
“คุณแม่ขา อยากหอมแก้มหนูก่อนไปด้วยมั้ยคะ? ”
“พูดมาก! ลงไปได้แล้ว! ”
ปากก็บ่นไล่นะ แต่พอสังเกตหน้าดีๆ แล้วเจ๊แกทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้มเก๊กขรึมซะมากกว่า แล้วไอ้หูที่แดงๆ นั่นคืออะไรอ่ะ? เขินงั้นเหรอ?
ก้าวลงจากรถก่อนจะเคาะกระจกประตู ควีนจึงลดกระจกลง ส่งผลให้ร่างสูงก้มลงเพื่อมองคนพี่ได้ถนัดแล้วเอ่ยปากเรียก
“เจ๊”
“มีอะไรรีบๆ พูดมา เดี๋ยวก็สาย”
“ตอนเย็นไม่ต้องมารับนะ ฉันกลับเองได้”
“พูดมาก! เข้าไปได้แล้ว”
ไม่รอให้ได้ต่อล้อต่อเถียง เจ๊แกก็รีบบึ่งรถออกจากหน้าสน. ไปเลย
เดินเข้าไปหาผู้กำกับที่ห้องทำงาน หลังจากได้รับมอบหมายภารกิจออกสังเกตการณ์ร้านสะดวกซื้อที่คาดว่าเป็นจุดเสี่ยงที่คนร้ายจะบุกปล้นในครั้งต่อไป ผู้กำกับหน้าสวยได้อธิบายรายละเอียดของคดีคร่าวๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อสงสัยจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นใช่มั้ยคะ? ”
“เป็นค่ะ”
ผู้กำกับยื่นกุญแจรถให้เกิ้ลที่ยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะบอกจุดจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าและท่าทางที่เห็นใจ
“วันนี้รถสายตรวจเอาไปลงพื้นที่หมดแล้ว ลำบากหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่าน ปกติฉันขี่บิ๊กไบค์อยู่แล้ว”
ผู้กำกับคนสวยได้แต่ยกยิ้มบางๆ ให้แล้วกล่าวอวยพรให้กับสมาชิกใหม่
“งั้นขอให้วันนี้โชคดีแล้วกันนะคะ”
“ตื่นเต้นเป็นบ้า”
พูดพึมพำคนเดียวพลางก้าวเดินไปยังจุดจอดข้างสถานี ฝันอยากจะลองขี่บิ๊กไบค์ตำรวจมานานแล้ว คงเท่ไม่ใช่น้อย
ก่อนจะหยุดชะงักฝีเท้าแทบจะทันทีที่เดินเลี้ยวไปถึงที่หมาย สายตากวาดมองแต่ก็ไม่เจอสิ่งที่กำลังหา เอ่ยพึมพำกับตัวเองทวนคำพูดของผู้กำกับวศิกานต์
“เดินลงจากโรงพักเลี้ยวขวาแล้วก็ซ้าย...ก็ถูกนี่”
เดินวนหารอบสถานี แต่ก็ไม่เจอบิ๊กไบค์สักคัน วกกลับมาที่จุดจอดมอเตอร์ไซค์ที่ผู้กำกับวศิกานต์บอกก่อนหน้า มองไปรอบๆ อีกครั้ง เห็นเพียงจักรยานจอดอยู่ 4-5 คันและ…
“เวสป้าเนี่ยนะ? ”
ยืนกุมขมับพลางส่ายหน้าเบาๆ ให้ขี่เวสป้าสีเขียวซีดๆ มีรอยกระดำกระด่างเต็มคันไปไล่จับโจรเนี่ยนะ? ถามจริง? เอาไว้ขนผ้าแถวพาหุรัดน่าจะรุ่งกว่านะสภาพนี้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ระหว่างจักรยานกับเวสป้า ยังไงรถเครื่องมันก็ต้องดีกว่าแหละว้า
“เอาวะ ลองดู”
ขึ้นคร่อมยานพาหนะคันเก่าแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขี่ออกจากสถานีตำรวจไป
สายลมหนาวโชยเอื่อยพัดผ่านร่างในยามที่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์...มันเป็นได้เพียงแค่สิ่งที่คิดไว้ในจินตนาการ เพราะความเป็นจริงคือไอ้เจ้าเวสป้าคันเก่านี้ทำเอาเกิ้ลหัวเสียจนแทบจะจอดทิ้งไว้ข้างทาง บิดไม่สะใจไม่ว่า พ่นควันขาวออกมาเหมือนร้านไก่ย่างส้มตำก็ไม่บ่น แต่นี่มันเหมือนเข็นมากกว่าขี่อีกนะเฮ้ย!! เผลอๆ เวสป้าแถวพาหุรัดยังแรงกว่าด้วยซ้ำ แถมบิดๆ ไปเกิดเหนื่อยขึ้นมาเครื่องยนต์ก็เข้าสู่นิพพานดับไปซะดื้อๆ
“โว้ยยยยยย อะไรกันนักหนาวะเนี่ย!! ”
ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด นี่มันรอบที่ห้าแล้วที่เวสป้าเส็งเคร็งนี่เกิดอยากจะลาโลกไปเฉยๆ เสยผมยาวพลางยืนทะเลาะกับมอเตอร์ไซค์คันเก่าอยู่คนเดียวที่ริมฟุตบาทข้างทาง
“แกจะเอายังไงกับฉันห๊ะ? ”
ยืนบ่นไปสักพักก็นึกขึ้นได้ นี่มันกี่โมงแล้วนะ? จากที่ต้องรีบไปสังเกตการณ์แต่กลับต้องมายืนโง่ๆ ทะเลาะกับมอเตอร์ไซค์สิ้นชีพแบบนี้ ระยะทางจากจุดที่ยืนอยู่ไปร้านสะดวกซื้อเกือบห้ากิโลเมตร แต่ถ้ามัวแต่หวังพึ่งเจ้าเศษเหล็กคันนี้ได้โดนเด้งออกจากงานตั้งแต่วันแรกที่ออกสังเกตการณ์คนเดียวเป็นแน่แท้
คิดได้ดังนั้นจึงดึงกุญแจออก ถึงแม้ว่าเสียบคาไว้ก็ไม่มีใครกล้าขโมยหรอกแต่ปลอดภัยไว้ก่อน แล้วเริ่มออกวิ่งไปยังจุดหมาย
ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็มาถึงแถวร้านสะดวกซื้อด้วยสภาพร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากไม่ได้ผ่านการฝึกพิเศษและวิ่งปาร์กัวร์อยู่แล้ว คงจะพ่ายแพ้ต่อระยะทางจริงๆ
เดินเข้าร้านสะดวกซื้อพลางมองหาตู้แช่โคล่าเพื่อดื่มดับกระหาย ก่อนจะลอบสังเกตลูกค้าแต่ละคนในร้าน และไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์ไว้อ่านในขณะที่สังเกตการณ์นอกร้าน แล้วก็เจอบุคคลน่าสงสัย สายตาของหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งพยายามกวาดตามองไปรอบๆ ร้านอย่างมีพิรุธ ทำเอาหัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น หรือว่าคนนี้เป็นคนร้าย? หากแต่หญิงสาวคนนั้นกลับเดินไปหยิบลูกอมรสมินต์พลางเอ่ยพูดคนเดียว
“อยู่นี่เอง”
เธอคนนั้นหิ้วตะกร้าไปคิดเงินที่แคชเชียร์แล้วออกเดินจากร้านไป เมื่อจ่ายเงินเสร็จเกิ้ลก็เดินข้ามฝั่งไปนั่งที่ม้านั่ง
หลังจากแกะโคล่าดื่มพร้อมทั้งทำเสียงซ่าประหนึ่งเป็นนางแบบน้ำอัดลมในโฆษณาเสร็จแล้ว แกล้งกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน ลอบสังเกตคนที่เดินเข้าร้าน รวมถึงบริเวณรอบๆ ร้านจนใกล้เวลาพลบค่ำ ลุกขึ้นยืนก่อนจะยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งมาเป็นเวลานาน แล้วเริ่มวิ่งเหยาะๆ กลับไปหาเวสป้ารุ่นคุณย่าที่จอดทิ้งไว้เมื่อเช้า
กว่าจะกลับมาถึงสถานีตำรวจได้ทำเอาเกิ้ลถึงกับอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ และสาบานกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีทางขี่มอเตอร์ไซค์อีกหากไม่ใช่บิ๊กไบค์ ประสบการณ์ในวันนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรไว้ใจยานพาหนะใดที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอจะยอมขับรถและอดทนกับรถติดแล้วจริงๆ ให้ตายเถอะ
หลังจากที่รายงานความคืบหน้าให้ผู้กำกับรับทราบเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาจากสถานี รถเก๋งสีเทาที่คุ้นตาจอดรออยู่ก่อนแล้ว เอื้อมมือไปเปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที
“ไงเด็กใหม่ ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง? ”
“ดี”
“ก็ดีแล...”
“ดีก็เหี้ยละ! เจ๊รู้ป่ะ ไอ้เวสป้าที่ฉันขี่อ่ะ ซาเล้งเก็บขวดยังไวกว่าอีก ไม่พอนะรถมันติดๆ ดับๆ แถมพ่นควันออกมาซะเหมือนร้านขายไส้ย่าง แล้วฉันต้องวิ่งเกือบห้าโลจนจั๊กกะแร้เปียกเพื่อไปให้ทันสังเกตการณ์ คิดเอาละกัน”
สาธยายยาวเหยียดให้คนพี่ฟังทันทีด้วยความคับแค้นใจ ทำเอาควีนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นรถในความซวยซับซ้อนของเกิ้ล คนพี่เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ไหลออกมาหลังจากการหัวเราะ
“แล้วทำไมไม่ขับรถ? ”
“ผู้กำกับบอกว่าสายตรวจเอารถไปลงพื้นที่หมด”
“แล้วทำไมไม่โทรบอกฉัน? ”
“ก็วันหยุดเจ๊ ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นก็อย่าบ่น”
เจ๊แกเล่นตัดบทไปซะดื้อๆ ถ้ารำคาญแล้วจะถามกันทำไมล่ะหืม? ยื่นหน้าไปจ่อที่แอร์รถเพื่อดับร้อน ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะแล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ตื่นได้แล้ว”
เอื้อมมือไปเขย่าตัวเบาๆ เพื่อปลุกคนน้องให้ตื่นจากห้วงนิทรา ร่างสูงยกมือขึ้นขยี้ตาพลางบิดขี้เกียจไปหนึ่งที มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเป็นลานจอดรถจึงหันไปเอ่ยปากถาม
“อ้าว ไม่ได้ไปกินร้านเดิมเหรอ? ”
“เปลี่ยนบ้าง เบื่อแล้ว”
เกิ้ลจึงเดินตามคนพี่เข้าห้าง สายตาจ้องมองชุดที่ควีนใส่จากทางด้านหลังอย่างพิจารณา เสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงเอวสูงสีขาว ที่ไหล่มีกระเป๋าสะพายสีแดงตัดกับชุด รองเท้าส้นสูงสีแดงถูกสวมให้กับเท้าเล็ก ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกปล่อยสยายเต็มกลางหลัง แค่มองด้านหลังใจก็เต้นแรงได้อ่ะคิดดู คนบ้าอะไรขนาดมองแค่ข้างหลังยังสวย
ควีนพาเกิ้ลเข้าร้านอาหารเกาหลี ซึ่งร่างสูงก็เลือกสั่งอาหารที่ราคาถูกที่สุดเพราะไม่อยากจะให้คนตรงหน้าต้องรับภาระค่าใช้จ่ายไปมากกว่านี้ ลำพังแค่ที่ให้ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ถึงสวัสดิการจะดีมากแต่เงินเดือนตำรวจก็ไม่ได้จะเยอะแยะอะไร ถ้าหากไม่ได้ไปโกงกินชาวบ้านเขาน่ะนะ
หลังจากกินข้าวที่ร้านอาหารเกาหลีจนเสร็จ ก็ได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งจากมื้อนี้คือ ดูเจ๊แกจะชอบต๊อกบกกีซะเหลือเกิน จริงๆ มันก็แค่โรลแป้งในน้ำแกงส้มมั้ยอ่ะ มันอร่อยตรงไหน? อร่อยถึงขนาดสั่งเบิ้ลทั้งๆ ที่ปกติก็ดูเป็นคนกินไม่ค่อยเยอะ คงต้องหัดทำอาหารเกาหลีตอบแทนบ้างซะแล้วสิ
เดินตามร่างบางที่เดินเลี้ยวเข้าช็อปขายโทรศัพท์มือถือก่อนจะทำหน้างง เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยพลางเอ่ยปากถาม
“เจ๊ มือถือพังเหรอ? ”
“....”
เหมือนยืนคุยกับนางกวักที่อยู่บนหิ้งที่หน้าร้านเพราะเจ๊แกไม่เอ่ยตอบอะไรเธอสักคำ แต่ก็ช่างเถอะ มีหน้าที่แค่รอเท่านั้น
“อ่ะ เอาไปซะ”
เอ่ยพูดพลางยื่นถุงกระดาษให้หลังจากที่เดินออกมาจากร้าน ร่างสูงเอื้อมมือรับด้วยสีหน้าพิศวง
“อะไรอ่ะ? ”
“ก็แกะดูสิ”
เปิดถุงกระดาษก่อนจะหยิบกล่องโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วยื่นส่งคืนให้ควีน
“ไม่เอาอ่ะ เจ๊เก็บไว้เถอะ”
“ก็ตั้งใจซื้อให้เธอ จะมาให้ฉันเก็บทำไม? ”
“แล้วมันเปลืองเงินมั้ยล่ะ? ”
“ฉันจะได้โทรตามตัวได้ไง”
แล้วเจ๊แกก็เดินไปเฉยเลย เฮ้อ...แก่แล้วยังเอาแต่ใจแถมยังปากแข็งอีก มาแบบนี้คงตั้งใจซื้อไว้ให้โทรบอกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินซะมากกว่ามั้งเนี่ย หึ...แอบเป็นห่วงเราล่ะสิท่า
เดินตามคนพี่กลับไปที่รถพลางยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
ก๊อกๆๆ
ร่างสูงเคาะประตูห้องควีนเพื่อที่จะส่งถาดเหยือกน้ำให้เช่นเคย อึดใจเดียวเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา ภาพเบื้องหน้าทำเอามือไม้อ่อนแรงจนเกือบจะปล่อยถาดหลุดร่วงลงพื้น ผมยาวที่เพิ่งผ่านการสระมาหมาดๆ กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวตัวโคร่งสำหรับใส่นอนนั้นทำเอาหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที รีบหลุบตาลงต่ำก่อนจะเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เก็บอาการหน่อยสิวะไอ้เกิ้ล!
“ฉ...ฉันเอาน้ำมาให้”
“ขอบใจ”
กล่าวขอบคุณพลางรับถาดไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง หัวใจที่เต้นโครมครามจนรู้สึกเจ็บแปลบของเกิ้ลไม่เคยโกหกความรู้สึกที่แท้จริงได้ จึงตัดสินใจเอ่ยปากเรียกคนพี่ในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะปิดประตู
“พี่ควีนคะ”
คนโตกว่าจึงเปิดประตูให้กว้างขึ้นพลางมองด้วยความสงสัย
“ว่า? ”
“จำที่ฉันเคยถามได้ป่ะ? ”
“ถามอะไรล่ะ? เธอถามฉันตั้งเยอะ”
ยืนพิงขอบประตูพลางกอดอกแล้วจ้องมองคนน้องที่ขยี้ผมตัวเองเล็กน้อย
“เฮ้อ...เจ๊ชอบขัดซีนตลอดเลยอ่ะ”
“ก็เธ…”
“ที่ถามว่ามีแฟน มีความรักแล้วมันต้องรู้สึกยังไง”
“อือ จำได้”
“ฉ...ฉันคิดว่าฉันกำลังมีความรัก”
จู่ๆ ก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นไปมองสบตาคนตรงหน้า เพราะถ้าหากเงยหน้าขึ้นไปล่ะก็...คงจะพูดไม่ออกแน่ๆ มือไม้ที่เคยมีประโยชน์แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเกะกะจนต้องเอามาบี้ชายเสื้อตัวเองเล่นเพื่อหาจุดโฟกัส
“แล้ว? ”
“เอ่อคือ...ฉัน...คิดว่าฉันชอบพี่ควีนค่ะ”
“....”
“เพราะทุกครั้งที่เห็นพี่ทำตัวน่ารัก ใจฉันเต้นแรงตลอด”
“....”
“ไม่ใช่สิ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่ ใจมันเต้นแรงตลอดเลย”
เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่เอ่ยตอบอะไรออกมาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าคนพี่กำลังตั้งใจฟังอยู่ รีบเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าความกล้าทั้งหมดมันจะมลายหายไปหากเพียงสบสายตานานกว่านี้อีกเพียงแค่วินาทีเดียว
“แต่ฉันไม่เคยมีแฟน ไม่รู้จะเริ่มยังไง หรือแสดงออกมายังไง”
“....”
“พี่ควีนช่วยบอกวิธีจีบพี่ให้ฉันรู้หน่อยได้มั้ยคะ? ”
หันกลับไปมองควีนที่ตอนนี้เสยผมยาว ร่างบางเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
“ให้ฉันสอนวิธีจีบตัวเองเนี่ยนะ? ”
“อ่า...ใช่ค่ะ”
พยักหน้าเล็กน้อยอย่างยอมจำนนกับความกากของตัวเอง เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีของคนตรงหน้า ควีนจึงหัวเราะออกมาทันทีจนเกิ้ลถึงกับหน้าเสีย
“เธอนี่ตลกเป็นบ้า”
“ก็ฉันไม่รู้นี่! ”
ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้ามาประชิดตัวของเกิ้ลที่ยืนแข็งทื่อเหมือนโดนคำสาป ค่อยๆ เอื้อมมือเล็กเข้าประคองใบหน้าเรียวไว้ก่อนจะส่งริมฝีปากบางเข้าไปจุมพิตเบาๆ ที่แก้มด้านขวาแล้วเลื่อนไปกระซิบเสียงหวานข้างๆ หู จนเกิ้ลเผลอกลั้นหายใจด้วยความประหม่าเพราะระยะห่างของใบหน้าทั้งสองนั้นห่างกันเพียงไม่กี่มิล
“ไม่เห็นต้องให้ฉันสอนเลย ทำตามที่หัวใจเธอต้องการแค่นั้นก็พอ”
เลื่อนมือขึ้นไปลูบกลุ่มผมนุ่มของคนตรงหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู เกิ้ลจึงโอบกอดควีนพลางซุกใบหน้าเรียวเข้าที่ไหล่ซ้ายแล้วสูดดมกลิ่นหอมที่คิดถึงมาตลอดทั้งวัน โดยมีมือเล็กๆ เอื้อมมากอดตอบเธอเช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับแนะนำนะคะ”
“ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ”
ผละออกจากอ้อมกอดของคนน้อง ก่อนจะหันมาคลี่รอยยิ้มหวานให้แล้วปิดประตูไป เกิ้ลยังคงยืนเหม่อมองประตูสีขาวอยู่ มือถูกเอื้อมไปแตะบริเวณที่โดนจุมพิตที่แก้มเมื่อครู่แล้วฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด
พี่ควีนโคตรน่ารักเลยว่ะ
เกิ้ลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเช้า หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ศึกษาวิธีทอดไข่ดาวผ่านทางชาแนลทำอาหาร ควีนที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นคนน้องกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาก็อดเอ่ยปากแซวไม่ได้
“จะเผาบ้านฉันอีกแล้วสินะ”
“เจ๊อย่าใส่ร้ายดิ! ไปนั่งรอเลย”
คนพี่แค่นหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งรอแต่โดยดี ไม่นานนักร่างสูงก็ยกจานมาวางไว้ตรงหน้า
“มื้อเช้าแสนอร่อยมาแล้วค่าาา”
“....”
“แต่กินแล้วแอดมิทมั้ยก็อีกเรื่องนะค้าาา”
ควีนหลุดขำออกมากับความทะเล้นของเกิ้ล จริงๆ หน้าตาอาหารเช้ารอบนี้ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว มีทั้งไข่ดาว ไส้กรอกและแฮมเกรียมๆ นิดหน่อยแต่ก็ยังพอกินได้ ไหนจะขนมปังปิ้งที่ทาแยมองุ่นไว้ให้เสร็จสรรพ ช่างเอาใจเหมือนกันนะเจ้าเด็กคนนี้
“กินเร็วๆ สิ! ”
ร่างบางใช้มีดหั่นแฮมขอบเกรียมพลางส่งสายตาไปมองเกิ้ลที่ตอนนี้นั่งจ้องเธออยู่ ใช้ส้อมจิ้มแฮมเข้าปาก
“อือ ใช้ได้”
“เย้!! ”
ชูสองมือขึ้นเหนือหัวราวกับตัวเองเพิ่งจะชนะกีฬาระดับโลกมา สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่ารู้สึกดีใจมากจนคนพี่อดยิ้มตามไม่ได้
“นึกว่าจะกินไม่ได้ซะแล้ว”
“แล้วเธอไม่กินเหรอ? ”
“ฉันกินอันที่ทดลองทำไปหมดแล้ว กว่าจะได้แบบนี้ก็หมดแฮมไปเกือบถุงแหน่ะ แหะๆ ”
“ขอบใจนะ”
นั่งรอให้คนหน้าสวยกินจนเสร็จก็รีบยกจานไปเก็บล้าง ก่อนจะเอ่ยปากขอ
“เจ๊ ขอขับรถแทนได้ป่ะ? ”
“ทำไม? ”
“อยากให้เจ๊นั่งสบายๆ บ้างอ่ะ”
พูดด้วยสีหน้าเว้าวอน แล้วทั้งสองก็ยืนเถียงกันว่าใครจะเป็นคนขับรถไปสักพักจนในที่สุดเกิ้ลก็ต้องยอมแพ้เพราะตัวเองยังไม่ชำนาญเส้นทางเท่าไรนัก
สายตาทอดมองร่างของควีนที่กำลังเดินตรงไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะรีบก้าวตามแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด
“อะไรของเธอ? ”
“ขอกอดก่อน”
ควีนดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด เกิ้ลจึงก้มลงไปหอมที่แก้มขวาฟอดหนึ่ง คนถูกขโมยหอมถึงกับทำตาโต คิ้วขมวดเล็กน้อย
“นี่!! ”
“ทีเมื่อคืนเจ๊ยังขโมยหอมฉันได้เลย”
“ฉันไม่ได้ขโมย!! ”
เกิ้ลเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มราวกับกำลังล้อเลียนคนตรงหน้า
“เจ้าหัวขโมย”
“ฉัน ไม่ได้ ขโมย!! ”
เอ่ยเน้นย้ำคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง หากแต่เจ้าเด็กตาตี่ไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด
เห็นเจ๊แกเขินนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ งั้นขออีกสักนิดละกัน
กดจูบลงบนกลุ่มผมหอมของร่างบางที่ใช้มือเล็กทุบแขนเบาๆ พลางเอ่ยพูดเสียงแข็ง
“พอแล้ว!! ”
“พี่ควีนน่ารักจัง”
“พูดมาก!! ”
สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเกิ้ลก่อนจะรีบเดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถทันที เนี่ย...อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วแต่เวลาเขินนี่โคตรน่ารักเลยอ่ะ!
ช่วยไม่ได้นะพี่ควีน พี่เป็นคนบอกเองว่าให้ฉันทำตามที่หัวใจต้องการ
ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งสังเกตการณ์อยู่ในรถไปได้พักใหญ่ คนน้องก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“เจ๊”
“จะเลิกเรียกเจ๊ได้ยัง? ”
“เจ๊ก็ไปเกิดใหม่ให้เด็กกว่าฉันสิ”
เพี้ยะ!!
ยกมือขึ้นลูบต้นแขนไปมา มือหนักเป็นบ้า ฟาดมาที่แขนแต่ละทีนี่แขนแทบหัก
“เจ็บนะเนี่ย! ”
“ก็ตีให้เจ็บ จะได้เลิกเรียนฉันว่าเจ๊สักที”
“เจ๊...พี่ควีน”
รีบเปลี่ยนสรรพนามทันทีเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของควีนที่ส่งตรงมาให้
“มีอะไร? ”
“ฉันหิวอ่ะ ขอลงไปซื้อขนมก่อนนะ”
“มีเงินรึเปล่า? ”
หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแต่เกิ้ลรีบเอื้อมมาจับมือเพื่อห้ามไว้ ก่อนจะต่อล้อต่อเถียงกันอีกสักพักจนร่างบางต้องเอ่ยปากไล่เจ้าเด็กกวนประสาทให้รีบลงไปซื้อของ
เกิ้ลเดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อแล้วเดินไปหยิบแซนด์วิชที่ชั้นสองห่อ นั่งกันตั้งนานพี่เค้าคงจะเริ่มหิวแล้วมั้ง สายตาพลันสังเกตเห็นผู้หญิงวัยรุ่นคนเดิม หากแต่คราวนี้มากับชายฉกรรจ์อีกสองคน เดาได้ทันทีว่าเมื่อวานที่เห็นคือมาดูลาดเลาจริงๆ
คนร้ายทั้งหมดใส่หมวกแก๊ปกับผ้าปิดปากไว้เพื่ออำพรางใบหน้า เธอจึงรีบใช้สายตากวาดมองรอบๆ ตัวเพื่อประเมินสถานการณ์ทันที ในร้านสะดวกซื้อนี้หากตัดผู้ต้องสงสัยออกก็เหลือแคชเชียร์หนึ่งคน กับสองแม่ลูกที่กำลังยืนเลือกซื้อขนมอยู่ ถึงแม้จะผ่านการฝึกพิเศษมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ในสถานการณ์จริง นั่นหมายถึงต้องแบกความรับผิดชอบชีวิตคนอื่นไว้ด้วย ให้เอาผู้บริสุทธิ์มาเสี่ยงด้วยไม่ได้หรอก ในใจได้แต่หวังให้ควีนที่รออยู่ข้างนอกจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ และก็เป็นดั่งใจหวัง เพียงแค่อึดใจเดียวร่างบางก็เปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมกับที่คนร้ายทั้งสามควักปืนออกมาจากข้างเอวพลางตะโกนเสียงดังลั่นร้าน
“ทุกคนอย่าขยับ!! ”
ในนี้จะลงตอนไว้น้อยกว่าใน ReadAWrite 4 ตอนนะคะ
ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in