*/ warning : แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากจินตนาการของไรท์เตอร์ ไม่ได้มีเจตนาทำให้ตัวศิลปินดังกล่าวเสียหายแต่อย่างใด ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย
pairings : Damon Albarn / Noel Gallagher
This short fanfiction is inspired from Iceland landscapes and ' Everybody Robots ' by Damon Albarn.
นับตั้งแต่อัลบั้ม Parklife ที่ถูกวางจำหน่ายในคริสตศักราช 1994
เดม่อน อัลบาร์น ฟรอนท์แมนแห่งวง Blur ก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย โดยทิ้งไว้เพียงผ้าพันคอที่เขาได้มอบไว้กับเกรแฮมเป็นของต่างหน้า เพื่อนในวง รวมถึงครอบครัวของเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเดม่อนหายตัวไปไหน นี่จึงเป็นคดีใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิงก็ว่าได้ ไม่มีใครทราบดีว่าเดม่อนไปอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร
คดีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เพราะเหล่าตำรวจก็อับจนหนทางที่จะค้นหาตัวเดม่อน อัลบาร์น และเป็นอันยุติคดีนี้ว่า เดม่อน อัลบาร์น ได้เสียชีวิตไปแล้ว สร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัว เพื่อนร่วมวงรวมถึงเหล่าแฟนเพลงทั่วโลก ทุกคนจึงไว้อาลัยให้กับเดม่อน อัลบาร์น ทุกๆ วันที่ 10 ของเดือน จนวันหนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดก็จางหายไป เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำ
โนล กัลลาเกอร์มีเหตุจำเป็นที่ต้องเดินทางมายังไอซ์แลนด์ เพียงแค่เขาบอกกับวงว่า "เราเหนื่อยกันมาเยอะแล้ว พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน" ทุกคนจึงเป็นอันตกลงที่จะพักกับทัวร์ รวมถึงการทำเพลงด้วย
เขาเดินทางมายังประเทศที่เขียวชะอุ่มสวนทางกับชื่อ เพราะได้ยินข่าวถึงเพลงปริศนาที่ถูกปล่อยลงยูทูปโดยบังเอิญ แถมน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้น ทำให้เขามั่นใจว่านั่นคงจะเป็นบุคคลที่ผู้คน 'คิดว่า' ตายไปแล้ว บางอย่างกระตุกต่อมให้เขาต้องสืบค้นเรื่องราวเหล่านี้เท่าที่จะหาได้ โดยได้ความช่วยเหลือจากลูกสาวของเขา อนาอิส กัลลาเกอร์— เรคยาวิก เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ที่ตั้งใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด เขาได้ถามไถ่และสอบถามถึงการมาตั้งรกรากของเดม่อน อัลบาร์น หลายคนในระแวกนั้นเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่า "เดม่อน อัลบาร์นอะไรกัน เด็กคนเนี้ยชื่อ ไอนาร์ ต่างหาก" โนลจึงถือโอกาสสอบถามต่อไปถึงที่อยู่ของเดม่อน และก็ได้คำตอบมาว่า "บ้านของเด็กคนนี้อยู่ชานเมืองเลย เดี๋ยวเธอก็เจอเอง"
Hollow Pond คือรังบรรพตปักษาสีตุ่น โนลยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะใช้คำทักทายแบบไหนกับชายที่หายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์วงการเพลงไปมากกว่า 25 ปี และกลับมาอีกครั้งเป็นข้อความที่เรียกว่า 'เสียงเพลง'
โนลเลือกจะกดออดที่ประตูบ้าน และถอยออกมายืนรอเป็นผู้เยือนที่ดี ไม่มีใครมาเปิดประตูให้เขา.. โนลเลือกจะกดออดอีกครั้งและรอ เขาทำแบบนี้เป็นเวลาสิบห้านาทีถ้วน จนจับลูกบิดประตูจึงรู้ได้ว่า มันไม่ได้ล็อค
"คุณไอนาร์" โนลถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบงัน มันไม่สมควรทำเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเดม่อนจริงๆ.. โนลก้าวขาไปจนถึงห้องโถงที่มีวอลเปเปอร์เป็นทิวเขาขาวโพลนไปด้วยหิมะ นกที่บินผ่านและเปียโนเก่าๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของทิวทัศน์นี้ มันเหมือนฝันเกินกว่าจะเป็นความจริง เกินกว่าจะสาธยายออกมาเป็นคำพูด ถ้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาเปล่า
"คุณไม่ควรบุกรุกเข้ามานะ คุณกัลลาเกอร์ ผมคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่สำหรับผู้มาเยือนนะ" โนลหันไปหาเจ้าของเสียงที่ว่านั่น ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มที่สาวๆ ต่างหมายปองว่าเดม่อน อัลบาร์นคือหนุ่มในอุดมคติ ใบหน้าอันหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มแสนทะเล้นที่สามารถทำให้เลียม กัลลาเกอร์ถึงขั้นเกลียดเข้าไส้ ตอนนี้เป็นชายวัยกลางคนที่ดูนุ่มนิ่มด้วยสรีระ รอยยิ้มของเดม่อนเผยให้เห็นฟันทองหนึ่งซี่ เปลี่ยนไปจนโนลเองก็ยังตกใจ โนลที่กำลังจะอ้าปากถาม แต่ก็ถูกอ้อมกอดของเดม่อนเข้ามาแทน เสื้อสเวตเตอร์ตัวโคร่งทำให้เขานึกถึงเลียมที่เคยใส่ขึ้นคอนเสิร์ตแกสตันบูรี่ โนลได้แต่ยืนนิ่งและสวมกอดกลับไปในที่สุด
"มึงทิ้งทุกคน เดม่อน แม้แต่ครอบครัวมึ—" เดม่อนใช้นิ้วชี้แตะบนริมฝีปากของโนล เชิงให้เขานั้นหยุดพร่ำบ่นเสียที เดม่อนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะชักนิ้วกลับมา "ฉันจะเล่าให้ฟัง"
โนลและเดม่อนต่างก็นั่งเงียบให้กันและกัน ปล่อยให้ไอชาได้ลอยขึ้นมาปะทะบนผิวหน้าของทั้งคู่ จนไอเริ่มจางลง โนลไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเดม่อน ที่จะยอมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและหันมายืนหยัดตัวเองในประเทศห่างไกลขนาดนี้ เงินตั้งมากมายมหาศาลจากการทำเพลง ถ้าเป็นตัวโนล คงจะทำมันต่อไปจนตาย แต่สำหรับเดม่อน เหตุผลมันต่างกัน
"แล้วทำไมแกถึงยอมปล่อยเพลงของตัวเองลงไปแบบนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่คนทั้งโลกเชื่อว่าแกตายแล้ว เดม่อน นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่?"
"ฉันกำลังจะป่าวประกาศให้โลกรู้ ว่าฉันไม่ใช่เดม่อน อัลบาร์นที่เหี้ยอีกแล้ว"
นับตั้งแต่วันนั้น– ที่โนลได้พบกับเดม่อนอีกครั้ง เป็นเวลาร่วมสัปดาห์ที่โนลได้ฟังเดม่อนเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างออกรสชาติ และในค่ำคืนหนึ่ง เดม่อนชวนโนลทานมื้อค่ำที่สุดแสนจะวิเศษแทนคำกล่าวลาในวันพรุ่งนี้เช้าที่โนลจะต้องกลับอังกฤษไปหาครอบครัว มื้อค่ำแสนรื่นรสเป็นไปอย่างราบรื่น จนมันจบลงด้วยความเงียบ และถูกทลายโดยตัวเดม่อนเองที่ว่า "เต้นรำกันมั้ยโนล" โนลถึงขั้นเลิกคิ้วเป็นคำถามที่ว่า "มึงเพี้ยนไปแล้วหรอ กูเต้นรำไม่เป็นนะ"
โนลและเดม่อนกำลังยืนอยู่มองทิวทัศน์ตรงหน้า มีเพียงแค่เสียงดนตรีที่เปิดคลอไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่นัก เดม่อนเข้ามาสอดประสานมือทั้งสองข้าง และพาโนลขยับเท้าเข้ากับจังหวะเนิบนาบของเพลงที่เปิดไว้อยู่
ท่ามกลางเสียงเพลงที่คลออยู่ ทั้งคู่แทบจะไม่สบตากันเลย กายแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ และจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เดม่อนใช้หน้าผากแต่ไปที่หน้าผากของโนลโดยไม่มีคำทักท้วงหรือโวยวายจนน่าฉงนใจสำหรับเขา คนอารมณ์ฉุนเฉียวแบบโนลในคราวนั้นได้เลือนหายไปตามกาลเวลา กลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรดที่ทำให้เดม่อนรู้สึกสงบใจเป็นที่สุด ปล่อยให้ร่างกายขยับไปตามจังหวะของหัวใจ และมันก็แสนเนิ่นนานจนเดม่อนไม่อยากให้ค่ำคืนแสนพิเศษนี้ต้องจบลงไปเลย แต่เขาก็ต้องยอมรับความจริง.
เดม่อนลืมตาตื่นขึ้นมา เขาพบว่าสัมภาระตั่งต่าง รวมถึงเจ้าของสัมภาระนั้นไม่อยู่เสียแล้ว นอกจากโพสอิทสีอร่ามตาแปะอยู่กลางหน้าผากของเขา เดม่อนดึงมันออกและอ่านข้อความนั้น ก่อนจะยกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย เพราะต่อจากนี้ ระยะทางจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป
โนลนั่งอยู่บนเครื่องบิน มองประเทศใกล้เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลที่เลือนหายเข้าไปในกลีบเมฆ เขาหลับตาลงและฝันหวานถึงคืนคะนึงหาเป็นเวลานาน
เดม่อนเดินมานั่งหน้าเปียโนตัวโปรด ก่อนจะเริ่มกดลิ่มบรรเลงไปพร้อมกับเพลงของเขา รอยยิ้มผุดขึ้นมาเมื่อนึกถึงกัลลาเกอร์คนพี่ มันจะไม่ใช่ความทรงจำสีจางของเดม่อน อัลบาร์นอีกต่อไปแล้วล่ะ.
If the world is too tall
You can jump you won't fall
You're in safe hands
What the day will now give
How those seeds will now live
It's in your hands
Heavy seeds of love
Radiance is in you
As above so below on the
Heavy seas of love
Heavy seas of love
We come together in you
Counting out the new moons on the
Heavy seas of love.
*/end.
(สามารถติชมได้นะคะ เมนชั่นใต้ลิ้งก์ที่แปะไว้บนหน้าทวิตเลยนะคะ ?)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in