กลิ่นอายของปลายฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นโชยมาต้อนรับทันทีที่ออกจากสนามบิน ช่วงเวลาของเดือนสิงหาคม หากเป็นที่ประเทศไทย สายฝนคงจะเย็นชุ่มฉ่ำ แต่ที่นี่ กลับเป็นช่วงเวลาที่ฤดูร้อนจะได้เบ่งบานเต็มที่ แสดงแสงแดดแรงกล้าท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยสีเขียวสดใส อาจารย์ที่มารับพวกเราที่เดินทางมาจากประเทศไทยพูดต้อนรับเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าในเวลานั้นไม่มีใครพูดภาษาญี่ปุ่นได้เลยสักคนเดียว การเรียนรู้จึงเริ่มขึ้นในวินาทีแรกแห่งการพบเจอ
ระหว่างการเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าไปยังตัวเมืองชิบะที่อยู่ไม่ไกลนัก สองข้างทางเต็มไปด้วยผืนนาและสีเขียวของต้นไม้ นานๆ ครั้งจึงจะเห็นบ้านเรือนหรือร้านค้าสักที สิ่งเหล่านี้ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเมื่อสัก 50 – 60 ปีที่แล้ว ประเทศไทยก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันนี้
การเดินทางของวันนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเรามาถึงยังที่พัก ภรรยาของอาจารย์ออกมาต้อนรับพร้อมทั้งสอนภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ ให้กับพวกเรา และตลอดระยะเวลาที่อยู่ในชิบะ ฉันได้เห็นโลกกว้างอย่างที่ใจต้องการ
ทะเลที่ญี่ปุ่นไม่สวยเท่าทะเลที่ไทย แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง น้ำทะเลสีเข้มตัดกับผืนทรายสีขาว ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าริมชายฝั่ง มีพ่อลูกนั่งตกปลา ครอบครัวมาเล่นน้ำและผู้คนที่มาพักผ่อนเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เรากลับเข้าโตเกียวในเวลาที่ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน อากาศเย็นฉ่ำ มาพร้อมกับการเปลี่ยนสีของใบไม้และกลิ่นหอมหวานของผลไม้ที่พร้อมให้ลิ้มลอง เมืองหลวงของญี่ปุ่นไม่ต่างอะไรกับเมืองหลวงของไทย นอกไปจากความสะอาดและเป็นระเบียบ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบก็ยังคงใช้ชีวิตเช่นเดียวกัน ฃโชคดีแต่เพียงว่าการคมนาคมที่สะดวก ทำให้คนญี่ปุ่นไม่ต้องพบเจอปัญหารถติดและการไปทำงานสายกว่าเวลาเท่านั้นเอง
พวกเราได้มีโอกาสได้ไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในญี่ปุ่น เพื่อพูดคุยกับนักศึกษา เป็นการฝึกภาษาให้กับตัวเอง ฉันได้พบกับเพื่อนใหม่ที่นั่น พร้อมๆ กับได้ความรู้ใหม่ๆ ผ่านมิตรภาพ คนญี่ปุ่นเองก็สนใจในประเทศไทยมากเช่นกัน เพื่อนบางคนของฉันชอบประเทศไทยมากถึงขนาดเรียนเอกภาษาไทยในมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
เมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วงมาถึง อากาศเริ่มหนาวจับใจ พร้อมๆ กับสีสันอันสดใสของใบไม้หมดลงคงเหลือแต่กิ่งไม้ที่ประดับตัวเองด้วยใบไม้น้อยๆ ไม่กี่ใบ
เราเดินทางไปยังยามากาตะ ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นได้ทันก่อนที่หิมะแรกจะมาถึง ในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมา พวกเราพบว่าหน้าต่างละประตูมีแต่ความมืดมิด และเปิดออกสู่ข้างนอกไม่ได้อย่างเคย เมื่อปีนผ่านช่องใต้หลังคาออกมาดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือภาพของเมืองสีขาวที่มีเกล็ดหิมะล่องลอยลงมาจากบนท้องฟ้า บ้านสีน้ำตาลมีแสงไฟสีนวลมาจากหน้าต่างและสีขาวของหิมะบนหลังคาช่างเหมือนภาพวาดสวยๆ ในหน้าหนังสือนิทาน วันนั้นทั้งวันพวกเราเฝ้าทำความสะอาดตักหิมะออกจากหน้าต่างและประตูเพื่อให้มันใช้งานได้อีกครั้ง เราถมหิมะเป็นเนินเพื่อเล่นรถเลื่อน เป็นความสนุกที่มาพร้อมความเหนื่อยจนเมื่อถึงเวลาอาหารพวกเราก็เพลียจนหลับไปทั้งๆ แบบนั้น
เมื่อฤดูหนาวหมดลง เราเดินทางกลับเข้าโตเกียวอีกครั้งพร้อมกับอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นและสัญญาณการมาของฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้เริ่มมียอดอ่อนสีเขียวและตามกิ่งก้านก็เริ่มมีดอกไม้เล็กๆ เตรียมพร้อมผลิบานในอีกไม่ช้า ในวันที่ดอกไม้เหล่านั้นบานสะพรั่ง พวกเราเหล่านักเรียนไทยล้อมวงกันนั่งใต้ต้นซากุระ ชมความงามของมันพร้อมฝังลึกลงในความทรงจำ
มีคำกล่าวที่ว่าเวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก ฉันพึ่งเข้าใจก็เมื่อตอนที่เดินทางไปยังโอซาก้าเมืองทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ใบไม้ผลิกำลังจะโบกมือลาพร้อมๆ กับการกลับมาของฤดูร้อนอีกครั้ง
อากาศที่เริ่มร้อนมากขึ้นทุกวัน ช่างเข้ากันกับเมืองทางตอนใต้ที่ติดกับชายฝั่ง โอซาก้ามีชื่อเสียงเรื่องอาหารทะเลและของอร่อย ทุกครั้งที่เราออกไปช่วยงานคนญี่ปุ่นเพื่อเรียนรู้ภาษาและผูกมิตร เรามักจะได้ของอร่อยติดมือกลับมาทุกที ทุกความทรงจำยิ่งเด่นชัดเมื่อถึงวันจากลา
พวกเรากล่าวคำอำลาด้วยน้ำตาที่สนามบิน สายลมของปลายฤดูร้อนโชยมาอีกครั้งเช่นวันแรกที่ฉันมาถึง ทว่าในตอนนั้นมันกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับให้กับฉัน แต่ในครั้งนี้สายลมที่พัดผ่านส่งสารบอกฉันว่า แล้วเจอกันใหม่อีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in